หนิงมู่ฉือมองเด็กรับใช้เก็บถ้วยน้ำแกงของท่านอ๋องและจ้าวซีเหอซึ่งถูกทานจนสะอาดเอี่ยมกระทั่งเสร็จเรียบร้อย ขณะกำลังจะเดินกลับออกไปเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเรียกนางเอาไว้
ท่านอ๋องกล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อย “นางหนูหนิง ทานข้าวเช้าแล้ว ไม่มีของหวานตบท้ายด้วยหรือ”
จ้าวซีเหอพยักหน้าเห็นด้วย หนิงมู่ฉือเห็นท่าทางทั้งสองคนก็ยิ้มออกมา นับเป็นวาสนาของนางยิ่งนักที่ได้มาอยู่ในตำหนักอ๋อง “ในเมื่อท่านอ๋องกับซื่อจื่ออยากทาน เช่นนั้นบ่าวจะไปทำมาให้นะเจ้าคะ”
หนิงมู่ฉือเดินนำคนรับใช้กลับไปยังห้องครัว นางขบคิดว่าจะทำของหวานอันใดดีที่ทั้งรสชาติดีและใช้เวลาน้อย เพื่อให้ท่านอ๋องและซื่อจื่อทานแก้เลี่ยน ขบคิดไปมา นางตัดสินใจว่าจะทำขนมสุ่ยจิงเกา
นางคิดว่านางได้สืบทอดเคล็ดวิชามาจากเจ้าแม่อาหารบูชาจริงๆ ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายของการที่นางต้องตกอยู่ในทะเลเพลิงครานั้น ไว้มีเวลานางค่อยจุดธูปขอบคุณเจ้าแม่อาหารบูชา
โดยปกติการทำขนมสุ่ยจิงเกาต้องใช้เวลามาก หากนางปั้นแป้งสาลีดำ[1] ให้เป็นชิ้นเล็กๆ ทำให้ประหยัดเวลา ใส่ดอกกุ้ยฮวาที่หมักกับน้ำตาลเข้าไป นำไปวางไว้ใต้ดินที่มีไอเย็น นางทำขนมสุ่ยจิงเกาออกมาโดยใช้เวลาแค่ไม่นาน ภายในแทรกด้วยกลีบของดอกกุ้ยฮวา ตัวขนมเป็นสีใส ทำให้เห็นกลีบดอกกุ้ยฮวาได้อย่างชัดเจน ทั้งยังได้กลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาอีกด้วย
หนิงมู่ฉือยกขนมสุ่ยจิงเกาสีใสไปวางตรงหน้าท่านอ๋องและซื่อจื่อ กลับพบว่าสีหน้าของทั้งสองคนดูแปลกๆ
จ้าวซีเหอเห็นหนิงมู่ฉือเดินเข้ามาพร้อมทั้งนำพากลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาเข้ามาด้วย เขาพลันรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตา หากยังไม่ทันจะได้รู้สึกยินดีปรีดา ท่านอ๋องส่งยิ้มให้ พลางเอ่ยอย่างมีเมตตา “นางหนูหนิง กงกงมาถ่ายทอดรับสั่งของฮ่องเต้ ฮ่องเต้อยากเสวยอาหารฝีมือเจ้า”
หนิงมู่ฉือหันไปมองด้านข้าง พบหัวหน้าขันทีจางกงกงในมือถือแส้กำลังส่งยิ้มมาให้นาง เสียงของจางกงกงราวกับไก่ตัวผู้ที่กำลังฝึกขัน “ไปเถิดแม่นางหนิง เชิญตามข้ามา”
นางคาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินจะส่งจางกงกงมาเชิญนางไปด้วยตัวเองเช่นนี้ เห็นสีหน้าท่านอ๋องและจ้าวซีเหอดูผิดปกติ นางเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาโดยพลัน หรือฮ่องเต้จะทรงมีพระประสงค์จะให้นางอยู่ในวัง?
จ้าวซีเหอลุกขึ้นยืน ยิ้มประจบ ปรี่เดินเข้าไปหาจางกงกงด้วยสีหน้าเอาอกเอาใจเต็มเปี่ยม “จางกงกง อย่างไรแม่นางหนิงก็เป็นแม่ครัวในตำหนักของข้า เช่นนั้นให้ข้าไปด้วยได้หรือไม่”
“ขอซื่อจื่อได้โปรดอย่าทำให้ข้าน้อยต้องลำบากใจเลยขอรับ ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าต้องการให้แม่นางหนิงเข้าวังแค่คนเดียว เรื่องนี้ข้าน้อยไม่อาจตัดสินใจเองได้”
จางกงกงหันไปส่งยิ้มให้หนิงมู่ฉือ ก่อนจะเดินนำหน้าออกไป
หนิงมู่ฉือไม่อาจขัดขืนรับสั่งของฮ่องเต้ได้ ได้แต่ต้องเดินตามหลังจางกงกงไป แต่ก็ยังไม่วายหันกลับไปมองท่านอ๋องและจ้าวซีเหอเป็นระยะ ทว่าจ้าวซีเหอไม่แม้แต่จะมองนางเลย มีแต่ท่านอ๋องที่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเป็นการปลอบโยนนาง ในใจตอนนี้ของนางทั้งรู้สึกผิดหวังและหมดอาลัยตายอยากยิ่ง
จางกงกงเดินนำนางมายังรถม้า บรรยากาศกระอักกระอ่วนเหลือจะบรรยาย
นางคิดว่าจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าในอนาคตจางกงกงอาจมีประโยชน์กับนางก็เป็นได้ คิดได้ดังนั้นจึงหันไปส่งยิ้มให้จางกงกง “ท่านกงกง บ่าวโง่เขลาจึงไม่ทราบว่าทั้งๆ ที่ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ที่ทรงปรีชาสามารถและฉลาดหลักแหลมยิ่ง แต่เหตุใดผู้อื่นถึงกล่าวว่าฝ่าบาททรงเป็นคนโหดเหี้ยมเย็นชา”
นางถือโอกาสนี้ทำความเข้าใจฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจิน นางต้องรู้เสียก่อนว่าฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินมีนิสัยเช่นไร จึงจะสืบเรื่องของฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินได้
จางกงกงได้ยินจึงแค่นเสียงฮึอย่างไม่พอใจ มองนางอย่างรู้ดีก่อนจะกล่าวเสียงเล็กแหลม “ในฐานะประชาชนเรื่องแค่นี้กลับไม่รู้! ได้ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้า”
นางรีบพยักหน้าโดยพลัน มองจางกงกงอย่างเลื่อมใส
“นับตั้งแต่ฝ่าบาททรงขึ้นเป็นฮ่องเต้ พระองค์เห็นชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญและมาก่อนเสมอ แม้คนอื่นจะกล่าวว่าพระองค์ทรงมีอารมณ์ร้าย ทว่ามีแต่พวกข้าที่เข้าใจความลำบากของพระองค์” จางกงกงเล่าด้วยสีหน้าทุกข์ระทม ทว่าไม่นานสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม
“ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ฝ่าบาทก็รู้จักเอาใจใส่คนอื่นแล้ว มารดาของฝ่าบาทสวรรคตตั้งแต่ฝ่าบาทอายุได้หกชันษา ตอนที่ขึ้นครองราชย์ พระองค์อายุไม่ถึงสิบชันษาด้วยซ้ำ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการกระทำอันไร้มารยาทของเหล่าขุนนาง พระองค์ก็ทรงรู้ว่าควรต้องทำเช่นไรถึงจะอุดวาจาร้ายกาจของขุนนางเหล่านั้นได้” จางกงกงเล่าจบก็ทำท่าจะร้องไห้ออกมารอมร่อ
ดังนั้นด้วยเกรงว่าอำนาจของแม่ทัพจะคุกคามตำแหน่งฮ่องเต้ของตัวเอง จึงสั่งให้คนไปฆ่าล้างสกุลหนิงอย่างลับๆ เช่นนั้นหรือ? หนิงมู่ฉือโกรธแค้นเป็นอย่างมาก สกุลของนางไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง!
นางมาถึงวังหลวงในที่สุด จางกงกงเดินนำหน้านางผ่านประตูสีแดงเข้มเข้าไป วังหลวงอันใหญ่โตนี้ ทุกที่ล้วนมีแต่ภยันตราย
นางมองฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินที่แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามอยู่เบื้องหน้านาง กลิ่นอายนี้อดทำให้ผู้คนต้องคุกเข่าแสดงความเคารพไม่ได้ นางคุกเข่าลงกับพื้น ก้มศีรษะแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินส่งสัญญาณทางสายตาให้แก่จางกงกง จางกงกงรู้ความรีบล่าถอยออกไปทันที ทิ้งให้หนิงมู่ฉืออยู่กับฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินตามลำพังในตำหนัก
หนิงมู่ฉือมองฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินอย่างงุนงง สายตาของฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินที่จ้องมองนาง ทำให้นางเกิดความรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมา จึงก้มหน้าลงไปแล้วกล่าวอย่างร้อนใจว่า “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้หม่อมฉันเข้าเฝ้าด้วยเหตุอันใดเพคะ”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินจ้องหนิงมู่ฉือนิ่ง ใบหน้าทุกข์ตรม “เจ้าทำน้ำแกงลืมความทุกข์เป็นหรือไม่”
หนิงมู่ฉือได้ยินพลันเงยหน้าขึ้นมา พบว่าใบหน้าของฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินเศร้าโศกและระทมทุกข์ยิ่ง ในใจอดประชดไม่ได้ ลืมความทุกข์หรือ คนไม่มีหัวจิตหัวใจเช่นพระองค์แบกรับความทุกข์บนโลกนี้ไม่ไหวแล้ว หรือเกิดรู้สึกผิดขึ้นมา?
นางส่ายหน้า “หม่อมฉันไร้ความสามารถ น้ำแกงลืมความทุกข์ที่ฝ่าบาทตรัสถึง หม่อมฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเพคะ”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินเค้นเสียงหัวเราะหึๆ อย่างเย็นชา “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ แต่เราได้ยินมาว่า ตอนที่เจ้าอยู่ที่ตำหนักอ๋อง เจ้าทำอาหารได้มากมายหลายอย่าง”
นางมีสีหน้าตระหนก “หากฝ่าบาทมีพระประสงค์อยากจะลองเสวย หม่อมฉันก็จะลองดูเพคะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะเสวยได้หรือไม่เท่านั้น”
หนิงมู่ฉือมองดอกลิลลี่[2] นิ่ง ดูท่าฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินจะเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว นางลุกขึ้นยืน หยิบดอกลิลลี่ขึ้นมา ใส่วัตถุดิบลับแล้วเริ่มเคี่ยว ไม่นานก็ได้น้ำแกงลืมความทุกข์ซึ่งมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกลิลลี่ออกมาหนึ่งถ้วย
น้ำแกงลืมทุกข์เป็นน้ำแกงที่ปกตินางจะไม่ทำเด็ดขาด พร้อมกันนั้นยังหวังว่าชีวิตนี้นางจะไม่มีโอกาสต้องทำมันด้วย
ดอกลิลลี่ที่ใช้ทำน้ำแกงลืมความทุกข์มีสรรพคุณเหมือนกลิ่นวานิลา ทำให้คนมีความสุข ลืมความทุกข์ชั่วครู่ นางใส่ต้นฝิ่นและดอกลำโพงลงไปในน้ำแกงเพิ่มด้วย
ปริมาณการใช้ต้นฝิ่นและดอกลำโพงในแต่ละครั้งต้องใช้เท่าไหร่นางรู้ดี ถ้าใส่น้อยเกินไปจะไม่ได้ผล แต่มากเกินไปก็จะทำให้ฮ่องเต้ถูกพิษจนสวรรคต
นางตักน้ำแกงลืมความทุกข์ใส่ถ้วยกระเบื้องเคลือบอย่างดี ก่อนจะยกไปวางตรงหน้าฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจิน เอ่ยอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท เชิญเสวยเพคะ”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินพยักหน้ารับรู้แล้วหยิบเข็มเงินขึ้นมาทดสอบพิษ เมื่อพบว่าไม่มีปัญหาก็ยกขึ้นเสวยจนหมดถ้วย จากนั้นเอามือเช็ดปาก
“รสชาติของน้ำแกงนี้ยอดเยี่ยมมาก ทำให้เรานึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขในวัยเด็ก” หลังจากได้ดื่มน้ำแกง สีหน้าฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินดูมีเลือดฝาดขึ้นมาก หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
[1] แป้งสาลีดำ คือแป้งบัควีทหรือแป้งโซบะ ทำมาจากเมล็ดบัควีท เป็นแป้งที่ปราศจากกลูเตน มีโปรตีนและใยอาหารสูง นิยมนำมาทำโซบะและขนมปังไร้กลูเตน
[2] ดอกลิลลี่ คนจีนเรียกอีกชื่อว่า ดอกไม้ลืมความทุกข์