“เปรี้ยง!”
คมดาบของกระบี่คมจันทราได้ฟันลงที่กลางอกของยักษ์หินอย่างรุนแรง และที่คาดไม่ถึงเลยก็คือชั้นหินที่ปกคลุมอย่างหนาแน่นด้านล่างนั้นมีหัวใจอยู่ดวงหนึ่งได้แปรสภาพกลายเป็นอัญมณีไปแล้ว มันคืออัญมณีที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีคล้ำ!
“ว้าว นี่มันคือหัวใจยักษ์หิน…” ซูเหยียนพูดขึ้นอย่างตื่นตาตื่นใจ
“หัวใจยักษ์หินคืออะไรน่ะ?” ข้าได้แต่มึนงง ถึงแม้ว่าข้าจะเดินทางไปทั่วทุกสารทิศมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่เคยเผชิญหน้ากับยักษ์หินมาก่อนเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้ว่าหัวใจยักษ์หินคืออะไร”
ซูเหยียนอธิบาย “ยักษ์หินเกิดจากพลังไสยศาสตร์ระหว่างฟ้าดินหลอมรวมกันเป็นก้อนหินจากนั้นจึงกลายเป็นสัตว์วิญญาณที่มีชีวิตขึ้นมา และยักษ์หินทุกตัวจะมีหัวใจยักษ์หินอยู่ในตัว เมื่อตอนที่ข้ายังเด็กข้าได้ตามไปฝึกกับท่านพ่อจึงเคยเจออยู่ครั้งหนึ่ง ท่านพ่อบอกข้าไว้ว่า หัวใจยักษ์หินคืออัญมณีที่ล้ำค่าชนิดหนึ่ง สามารถนำไปเจียระไนเป็นเครื่องประดับตกแต่งขนาดมหึมาได้ อีกทั้งยังนำมาพัฒนาและดูดซับพลังของมันเพื่อนำมาฝึกพลังวิญญาณในแผ่นดินใหญ่ได้อีก อืม อีกอย่างหัวใจยักษ์หินแต่ละชิ้นก็ขายได้เกือบหนึ่งแสนเหรียญหลงหลิงแน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นของดีน่ะสิ”
ข้ายกมือประคองหัวใจยักษ์หินดวงนั้นออกมาแล้วโยนเก็บเข้าไปในแหวนกระดูกจักรภพ จากนั้นก็ผายมือกวาดออกไป ทันใดนั้นเลือดสดๆ ที่อยู่ตรงหน้าอกของมันทั้งหมดก็ได้ไหลเวียนขึ้นให้ลายสักเทพราชันมังกรดูดซับอย่างไม่ขาดสาย ร่างกายของข้าสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ พลังงานที่อัดแน่นเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งนี้แทรกซึมเข้าสู่ลายสักเทพราชันมังกรภายในร่าง มันเติมเต็มพลังของลายสักเทพราชันมังกรได้อย่างเต็มอิ่ม นี่มันทั้งบริสุทธิ์และมีคุณค่ามากๆ เลย แน่นอนว่าพลังชนิดนี้ควรจะเป็นพลังหลักสำหรับการป้องกัน
หลังจากผ่านไปสิบห้านาที เมื่อข้าพัฒนาเส้นลมปราณของสัตว์วิญญาณเสร็จ จู่ๆ ก็เกิดไอหมอกแผ่คลุมภายนอกร่างของข้าอย่างหนาทึบ จากนั้นจึงปรากฏเป็นพลังพิภพบุษราคัมออกมา
“นี่มันคือ?” ซูเหยียนตะลึงงัน
ถังเชวียหรานเดินเข้ามา ‘แปะแปะแปะ’ แล้วตบลงที่บ่าของข้าพลางพูดขึ้น “หรือว่านี่คือผิวหนังหินที่เขาเล่าลือกันมา?”
ข้าพยักหน้ารับ “ไม่ผิดแน่…แต่ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ไม่นึกเลยว่าหลังจากที่ได้พัฒนาเส้นลมปราณของยักษ์หินแล้วจะได้รับพลังใหม่ติดมาด้วย ผิวเกราะหินจะสุดยอดหรือเปล่านะ?”
“แล้วเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
ถังเชวียหรานมองข้าตาขวาง จากนั้นก็พูดขึ้นอีก “มีแค่ผู้ฝึกฝนวิญญาณผู้ที่มุ่งมั่นกับการฝึกพลังวิญญาณของแผ่นดินใหญ่เท่านั้นถึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นผิวเกราะหิน และอีกอย่างโอกาสเปลี่ยนเป็นผิวเกราะหินได้นั้นก็มีแค่หนึ่งในร้อย ตามที่ข้ารู้มา เขาว่ากันว่าการฝึกผิวเกราะหินนั้นเป็นไปได้ยากมาก
มีผู้คนมากมายที่อาจจะใช้เวลาทั้งชีวิตถึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นผิวเกราะหิน อีกทั้งในตำรายังมีการบันทึกไว้อีกว่าการจะฝึกผิวเกราะหินได้สำเร็จนั้นแม้แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ก็ยังใช้เวลาถึงห้าปีกว่า ทว่าเจ้ากลับ…ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็ทำได้สำเร็จแล้ว…นี่มันไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยเหรอ!”
ซูเหยียนได้แต่หัวเราะร่าก่อนจะพูด “นี่เป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะถ้าการป้องกันของเจ้าคนกินจุแกร่งกล้าขึ้น ต่อจากนี้ไปกลุ่มของพวกเราก็จะมีมาตรการการป้องกันอยู่ตั้งสองชั้นแน่ะ
ถังเชวียหรานยืดอกพยักหน้าพลางยิ้มพูดขึ้น “ไม่ผิดแน่ ทว่าเจ้าหมอนี่แตกต่างกับถงเอ๋อร์อย่างแน่นอน เพราะนอกจากการป้องกันที่บ้าไปแล้ว เจ้าหมอนี่ยังมีความสามารถในการโจมตีที่เพี้ยนไปอีก คนแบบนี้แหละเหมาะกับการเป็นเป้ารับกระสุนที่สุด!
ข้า “…”
เมื่อย้อนกลับมาดูลายสักเทพราชันมังกร หลังจากที่มันดูดซับเส้นลมปราณของสัตว์วิญญาณไปถึงสองตัวติดต่อกัน ทว่าการเติมเต็มของมันกลับคืบหน้าไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ดูแล้วถ้าอยากจะฝึกวิชากายาทองคำขั้นที่สามให้สำเร็จคงจะเป็นไปได้ยาก และแน่นอนว่าขั้นตอนการฝึกจะต้องลำบากมากแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร เพราะเพียงแค่เวลาสั้นๆ ของเช้านี้ ข้าก็ได้รับพลังการตรวจจับคลื่นความร้อนและผิวเกราะหินมาแล้วสองอย่าง ถ้าฝึกไปอีกสักสองสามวันข้าคงกลายเป็นผู้ที่มีฝีมือเยี่ยมยอดเป็นแน่
…
ถึงกระนั้นเวลาก็ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว แวบเดียวความมืดมิดก็ย่างกรายเข้ามา พวกเราได้เคลื่อนย้ายไปตั้งที่พักใหม่ในภูเขาที่ห่างออกไปเกือบแปดลี้ แค่วันนี้วันเดียวพวกเราก็เจอสัตว์วิญญาณไปถึงแปดตัว ทว่าพวกมันทั้งหมดก็ล้วนถูกฆ่าด้วยมือของพวกเราไปเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างสัตว์วิญญาณพวกนี้มักจะเคลื่อนไหวอยู่ตรงชายป่าและทำร้ายผู้คนอยู่เสมอ ที่พวกเราทำแบบนี้เป็นแค่การขจัดสิ่งชั่วร้ายให้ผู้คนแค่นั้นเอง นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
ภายในหม้อมีเนื้อของหมูป่า อุ้งตีนหมี และเนื้อปลาหลีฮื้อหลงหลิงส่วนหนึ่งถูกต้มอยู่ ขณะนั้นข้าก็ได้แต่คิดอยากจะฝึกเคล็ดวิชาสงครามให้จนถึงจุดสูงสุดของสายฟ้าอรหันต์โดยเร็วที่สุด จะได้เสริม “ความแข็งแกร่ง” ในตัวของข้าให้เพิ่มมากขึ้น เพราะหลังจากที่ข้าได้เผชิญหน้ากับเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งของหยู่เหวินชิง ข้าก็ได้รู้เลยว่าเคล็ดวิชาสงครามของข้านั้นจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนต่อไปอีกมาก ไม่เช่นนั้นก็คงมิอาจจะต้านทานการจู่โจมของคนคนนี้ได้เป็นแน่
ซูเหยียนกับถังเชวียหรานนั่งอยู่ด้านนอกเต็นท์จากนั้นแสงจากกองไฟก็ได้ส่องสะท้อนมาที่แก้มของทั้งสองคน มันแดงก่ำขึ้นคล้ายกับมีเลือดฝาด บวกกับผิวพรรณที่เปล่งปลั่งและอ่อนเยาว์ ช่างเป็นภาพที่สวยงามเหลือเกิน
“เจ้าว่า หลังจากที่ท่านรองเจ้าสำนักกลับเมืองหลินเสี่ยเฉิงแล้วท่านจะไปจัดการกับคนของสำนักยาตราสวรรค์ไหม?” ซูเหยียนถามขึ้นอย่างฉับพลัน
“ไม่หรอก”
ข้าส่ายหัวไปมาก่อนจะตอบไป “ก่อนที่ท่านพี่เสวียนยินจะไปนางพูดกับข้าไว้แล้วว่า เรื่องบาดหมางระหว่างข้ากับหยู่เหวินชิงนั้นให้ข้ากับหยู่เหวินชิงไปสะสางกันเอง เพราะไม่เช่นนั้นข้าคงจะเสียใจกับเรื่องนี้ไปตลอดชีวิต”
ซูเหยียนจึงเบ้ปากแล้วถามขึ้น “ปู้อี้เชวียนถ้าเจ้าเจอหยู่เหวินชิงอีกครั้ง เจ้าจะฆ่าเขาไหม?”
ข้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้ามองไปที่ดวงตาคู่สวยของนางแล้วพูดขึ้น “เขาเคยคิดที่จะฆ่าข้าให้ตายไปขนาดนั้น เสี่ยวเหยียนเจ้าคิดว่าข้าไม่ควรฆ่าเขาอย่างนั้นเหรอ? หรือว่า…เพราะเขาเป็นคนของพันธมิตรนักปราชญ์ขาว เจ้าถึงเป็นห่วงกลัวว่าข้าจะฆ่าเขา?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
แววตาของซูเหยียนอ่อนลงทันที “ข้ารู้จักหยู่เหวินชิงตั้งแต่ยังเล็ก ทว่าเมื่อโตขึ้นข้าก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย แต่ครั้งนี้หลังจากที่ข้าได้เจอกับเขามันเหมือนกับว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เขาไม่ใช่คนเดิมที่ข้าเคยรู้จัก เขาเปลี่ยน…เปลี่ยนเป็น…”
ถังเชวียหรานยิ้ม “เปลี่ยนเป็นโหดร้ายและป่าเถื่อนใช่ไหม?”
“ใช่”
ซูเหยียนได้แต่ใช้กิ่งไม้เขี่ยไปที่เปลวไฟแล้วพูดขึ้น “ข้าไม่คิดเลยว่า เมื่อตอนที่ข้ายังเป็นเด็กเขาคนนี้ที่ใจดีและร่าเริงแจ่มใสกับข้าขนาดนั้น แต่ตอนนี้ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปแล้ว ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นคนที่โหดร้ายได้ขนาดนี้กันนะ”
ถังเชวียหรานถอนหายใจยาวแล้วพูดออกไป “เหตุผลง่ายมากๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศักยภาพ ตำแหน่งฐานะ และอีกหลายๆ อย่าง เพราะเมื่อใดที่คนคนหนึ่งเกิดความปรารถนาอยากได้ในสิ่งที่ตนเองไม่มีแล้วนั้น แรงกระหายของความปรารถนาก็อาจเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นคนละคนได้อย่างสิ้นเชิงเลยเชียวล่ะ และยิ่งได้ค้นพบว่าข้างกายของเจ้านั้นมีปู้อี้เชวียนที่นับได้ว่าเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมพอสมควรปรากฏออกมาอีก ความปรารถนานี้จึงยิ่งทวีคูณขึ้นไป นี่มันเป็นสิ่งที่พบเห็นได้มาตั้งแต่ในอดีต อีกทั้งนี่ยังเป็นความโลภที่น่าสะอิดสะเอียนที่สุด การที่อยากจะครอบครองบางอย่างแต่กลับทำไม่ได้นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ใจดีแค่ไหนเขาก็เลือกจะยอมแพ้ให้กับความดีงามนี้อยู่ดี ส่วนคนที่ดุร้ายจึงเลือกเก็บไว้ในใจแล้วรอเวลาที่จะแก้แค้นแทน”
ข้าชำเลืองมองไปที่นางแวบหนึ่งแล้วพูดออกไป “ดูท่าทางเชวียหรานจะผ่านอะไรในชีวิตมาเยอะเหมือนกันนะ ราวกับว่าเป็นท่านอาจารย์ได้เลย คนแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะเนี่ย”
ถังเชวียหรานอดที่จะอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ในกลุ่มของพวกเราก็มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่เป็นท่านอาจารย์ ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างข้ามิบังอาจหรอก!”
ซูเหยียนจึงพูดขึ้น “เจ้าคนกินจุ เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลยว่าถ้าเจ้าเจอกับหยู่เหวินชิงอีก เจ้าจะฆ่าเขาไหม?”
“อันนี้ก็…”
ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดออกไป “ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงจะเข้าใจข้านะ เพราะข้าเป็นคนสบายๆ ไม่ได้มีจิตใจคับแคบ หรือหุนหันพลันแล่นใช้ความรุนแรงอะไร แต่ว่า…ถ้าครั้งหน้าเจอกับหยู่เหวินชิงอีกแล้วเขายังมีเจตนาที่จะฆ่าข้าอยู่ เห็นทีข้าคงจะปล่อยเขาไปไม่ได้แล้วล่ะ เมื่อมีคนที่คิดจะฆ่าข้า และฆ่าเพื่อนพ้องของข้า แน่นอนว่าเขาจะกลายเป็นเป้าหมายหลักในการล่าของข้าทันที ข้าจะไม่อ่อนข้อให้เด็ดข้า และข้าจะลงมือกำจัดมันให้ถึงที่สุดเอง!”
“…”
“…”
ทั้งสองได้แต่อึ้งไปเลยทีเดียว
…
หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ ซูเหยียนก็ได้รวบรวมพลังเพื่อฝึกวิชาลมหายใจมังกรและวิชาเมฆาเพลิงมังกร ส่วนถังเชวียหรานก็ได้เริ่มฝึกวิชาลมหายใจมังกรแล้วเหมือนกัน เพราะอย่างไรก็ตามวิชาลมหายใจมังกรก็ถือว่าเป็นพื้นฐานของพลังภายใน ยิ่งลำดับขั้นของมันสูงมากเท่าไร วิชาลมหายใจมังกรก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น อีกทั้งเมื่อปล่อยพลังออกมาก็จะแกร่งกล้าขึ้นไปอีก เหมือนกับกระบวนท่าของถังเชวียหรานที่สามารถอาศัยจากเคล็ดวิชาเบญจสลาตันไร้เทียมทานได้ ทว่าพลังการโจมตีนั้นกลับต้องพึ่งวิชาลมหายใจมังกรมาช่วยเสริม ไม่เช่นนั้นหากมีแต่ความเร็วแต่ไม่มีพลังการโจมตีเท่ากับว่าการจู่โจมนั้นจะไม่เกิดผลใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งสองคนนั่งขัดสมาธิหลังชนกัน ต่างคนต่างฝึกฝนกันอย่างเงียบๆ และสิ่งที่ข้าทำได้ตอนนี้ก็คือคอยดูแลรักษาความปลอดภัยให้ สงสัยค่ำคืนนี้คงถึงทีที่ข้าจะเฝ้ายามแล้วล่ะ
จากนั้นข้าจึงเริ่มใช้วิชานัยน์ตาเวทบวกกับพลังตรวจจับคลื่นความร้อน ชั่วเวลาพริบตาเดียวโดยรอบก็สว่างและชัดเจนขึ้นราวกับเป็นเวลากลางวัน ข้ามองเห็นกระต่ายกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในโพรงไม้ และนกกำลังหยุดพักอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปเกือบร้อยเมตร ข้ามองเห็นทั้งหมดได้อย่างชัดเจน และอีกอย่างยังมีพลังของผิวเกราะหินที่แผ่ออกมาปกคลุมอยู่ทั่วร่างอีก ยิ่งทำให้รู้สึกปลอดภัยขึ้นมากกว่าเดิม
“ฟู่…”
มีเสียงถอนหายใจออกมาเบาๆ ข้าจึงหันหลังกลับไปมองทั้งสองคน ทว่ากลับเห็นเพียงแค่ใบหน้าอันงดงามราวกับรูปปั้นที่แกะสลักตั้งไว้ของซูเหยียน บวกกับแก้มที่แดงระเรื่อ อีกทั้งยังมีพลังของวิชาลมหายใจมังกรที่วนเวียนอยู่โดยรอบทำให้ขนตาที่ยาวโค้งงอนของนางนั้นกระเพื่อมขึ้นเล็กน้อย พร้อมทั้งริมฝีปากรูปกระจับที่อมชมพูดูชุ่มชื้น มันช่างงดงามเหนือกว่าสิ่งอื่นใดเสียอีก ไม่รู้เลยว่าเป็นผลบุญจากการฝึกชาติไหนถึงได้ส่งข้ามาอยู่ข้างกายของนางได้
สองสามวันมานี้พวกเราฝ่าฟันฝึกฝนกันอย่างดุเดือดจนทุกคนได้รับบาดเจ็บ แต่ยังดีที่มียาสมุนไพรต่างๆ มาช่วยฟื้นฟูร่างกายอย่างไม่ขาดสาย อีกอย่างการพัฒนาของพลังนั้นก็ได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่จะเป็นแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหนกันนะ?
ข้าลุกขึ้นยืนแล้วกระโจนเหยียบไปมาตามกิ่งไม้ จากนั้นก็ร่อนหยุดลงบนยอดไม้พร้อมกับมองออกไปทางทิศเหนือที่ไกลออกไปจนสุดลูกหูลูกตา
ดินแดนกาฬวาตนั้นเป็นของเขตเหนือของสหพันธ์ไปแล้ว แต่ถ้ามุ่งหน้าไปทางเหนืออีกล่ะ?
สิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกกำแพงมีอันตรายบางอย่างจำนวนมากที่ไม่อาจคาดเดาได้กำลังเคลื่อนไหวอยู่ พวกมันกำลังเตรียมการ…มาแล้วเป็นร้อยปี พันปี เพื่อรอการโจมตีตามแผนที่วางไว้มาเป็นเวลานาน ชีวิตนี้ของข้าจะได้เผชิญหน้ากับภัยพิบัตินี้ไหมนะ?
เมื่อก้มมองลงที่ฝ่ามือ พลังสายฟ้าของเคล็ดวิชาสงครามก็ทยอยไหลทะลักออกมา
เคล็ดวิชาสงครามเกิดมาจากตำราปราบวิญญาณ ซึ่งตำราปราบวิญญาณก็คือพลังวิเศษของชนเผ่าหนึ่งในคนเผ่าเวท เมื่อหนึ่งพันปีก่อน พวกบรรพบุรุษได้อาศัยตำราปราบวิญญาณเพื่อเชิดชูแผ่นดินนี้ขึ้น ทว่าในปัจจุบันนี้ชนเผ่าเวทเสื่อมลงไปหลายปีมากแล้ว และผู้คนทั่วไปต่างก็แทบจะลืมไปแล้วว่าบนโลกนี้ยังมีทายาทของคนเผ่าเวทอยู่ แล้วถ้าเกิดว่าพวกมันจู่โจมเข้ามาจริงๆ ส่วนข้าผู้สืบทอดตำราปราบวิญญาณจะทำอะไรได้?
เป็นอย่างที่ถังเชวียหรานพูดไว้ไม่มีผิด เมื่อคนคนหนึ่งเกิดความปรารถนามากเกินกว่าพลังที่มีอยู่ เขาจะสามารถเปลี่ยนไปจากเดิมได้อย่างสิ้นเชิง
แล้วข้าล่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าอยากจะทำในตอนนี้กับพลังที่มีอยู่ของข้านั้นมันเหมาะสมแล้วหรือเปล่า?
แต่เกรงว่าจะไม่ เพราะข้ายังคงพึ่งพาการคุ้มครองจากพี่เสวียนยิน เฉิ่นปู้หยุน และหลันเท้อของคนพวกนี้อยู่ แม้ว่าภายในร่างจะใช้ปราณมังกรมาแทนที่ปราณวิญญาณไว้ชั่วคราวแล้ว ทว่ามันกลับสามารถปล่อยพลังออกมาเต็มที่ได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามก็ไม่เท่ากับปราณวิญญาณระดับสวรรค์อยู่ดี ถ้าอย่างนั้นสุดท้ายแล้วข้าควรจะอาศัยพลังอะไรมาสู้กับคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังจะซัดมาอย่างบ้าคลั่งนี้ได้? หรือว่าจะต้องอาศัยพลังที่บริสุทธิ์นั่นเหรอ?
ชั่วเวลาพริบตาเดียว ความเย็นเยือกได้ทะลุผ่านขึ้นมาตามร่างกาย มือทั้งสองข้างสั่นระริก จากนั้นแสงสีขาวก็พุ่งเป็นสายออกมาจากฝ่ามือ ไม่ได้ ข้าจะถูกมันควบคุมไม่ได้เป็นอันขาด!
ข้าอดไม่ได้ที่จะร้องตะโกนออกมา แล้วใช้แรงทั้งหมดสะบัดแสงสีขาวที่ไต่ตามขึ้นมาจากฝ่ามือออก
ยุคของจอมยุทธ์ดำขาวมันสูญสลายไปตั้งนานแล้ว อีกอย่างถึงจะเป็นความกระหายจากพลังของตัวข้าเอง แต่ก็ต้องพยายามอย่าให้มันควบคุมข้าได้อีกครั้งเป็นอันขาด!
…
ข้ามองไปยังขอบฟ้าที่มีเมฆเรืองรองกำลังเลือนหายไป แล้วถอนหายใจออกพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นจึงพูดพึมพำออกไป “อดีตมันได้ผ่านไปแล้ว แต่ว่า…เจ้าได้จากไปแล้วจริงๆ หรือ? หลินเชียนหยู่…จอมยุทธ์ขาวจะตายไปอย่างน่าอัปยศได้ยังไงกัน? ไม่ใช่ว่าเราคุยกันแล้วเหรอว่าจะอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กันไปชั่วชีวิต?
“ซาซา…”
ท่ามกลางใบไม้ที่สั่นไหวไปมา ซูเหยียนก็หมุนตัวหยุดลงตรงข้างกายข้าพร้อมกับแววตาที่ดูประหลาดใจ “ปู้อี้เชวียน เจ้าปีนขึ้นมาสูงขนาดนี้ทำไมกันเนี่ย?”
“ไม่มีอะไรหรอก เจ้าฝึกเสร็จแล้วหรือ?”
“อืม ข้าเข้าสู่จุดสูงสุดของวิชาลมหายใจมังกรขั้นที่แปดได้แล้วล่ะ!”
“ว้าว เร็วมากเลยนี่นา เสี่ยวเหยียนพรสวรรค์ของเจ้านี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ…!”
ดวงตาคู่สวยของนางหรี่ลงทันที “นี่เจ้ากำลังชมข้าใช่ไหมเนี่ย?”