เสียงซอนา ฆ้องกลองและแตรดังขึ้นอย่างครื้นเครง แต่จิ่นเซวียนที่นั่งอยู่บนเกี้ยวกลับคิดเรื่องอื่น การพบกันของนางและซ่งจื่อเฉินถูกสวรรค์ลิขิตหรือเป็นเรื่องบังเอิญกันแน่ คนที่นางชอบในชาติก่อน กลายเป็นสามีของนางในชาตินี้ นางคงต้องหาโอกาสทดสอบดูว่าเขาข้ามมิติมาหรือไม่
ในชาติที่แล้ว พี่จื่อเฟิงสารภาพรักกับนางอยู่หลายหน แต่ติดตรงที่ฐานะของพวกเขาต่างกันเกินไป นางเลยมิกล้ารับรักเขา พ่อแม่ของพี่จื่อเฟิงมิเห็นด้วยที่นางกับลูกชายของพวกเขาจะคบหากัน เพราะนางเกิดในชนบท
สมัยเรียนมหาวิทยาลัยมีการเวนคืนที่ดิน บ้างของนางเลยได้เงินชดเชยจากการรื้อถอนบ้านเก่าและที่ดินมาทั้งหมดแปดล้านสามแสนหยวน พ่อแม่เป็นคนยุติธรรม พวกเขาแบ่งทรัพย์สมบัติให้พี่ชายกับนางเท่าๆ กัน นางใช้ความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาพัฒนาบริษัทเล็กๆ จนกลายเป็นกลุ่มสื่อขนาดใหญ่ คิดว่าคงได้อยู่กับคนที่รักแล้ว ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจะโดนพี่ชายลอบวางเพลิงจนนางตายเสียก่อน
เฮ้อ พี่ชายของนางกลัวภรรยา เขาเลยเชื่อฟังแต่นาง ตั้งแต่พี่ชายแต่งกับพี่สะใภ้ ความสัมพันธ์พี่น้องของเขาและนางก็ห่างเหินขึ้นเรื่อยๆ…..ก่อนข้ามมิติมา พวกเรากลับไปไหว้พ่อแม่ที่บ้านเกิด พี่ชายวางแผนฆ่านาง เพื่อมรดกตกทอดตามกฎหมาย ในเมื่อเถาเยาบอกว่านางกลับไปที่เดิมมิได้แล้ว นางก็จะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข นางเชื่อว่าด้วยความสามารถของนางในเวลานี้ ชีวิตคงมิเลวร้ายเท่าใดนัก
“จื่อเฉิน น้องสะใภ้เลิกม่านมาดูเจ้าด้วย!” ซ่งจื่อเฉินถูกพี่สามเข็นอยู่ด้านหน้าเกี้ยวตลอด เมื่อซ่งหงหันไปมองด้านข้าง เขาเลยเห็นจิ่นเซวียนเลิกม่านมองซ่งจื่อเฉิน
“หยุดพักสักครู่เถิด พวกเรายังพอมีเวลาอยู่” พวกเขาแค่ต้องกลับไปถึงบ้านซ่งให้ทันพิธีกราบไหว้ฟัาดิน ซ่งหงจึงบอกให้ทุกคนหยุดพัก หลังเดินทางออกจากหมู่บ้านสกุลซย่าได้ครู่หนึ่ง ความจริงแล้วเขาคิดถึงสภาพร่างกายของซ่งจื่อเฉินเป็นหลัก จึงบอกให้หยุดพักเสียก่อน
เมื่อคนแบกเกี้ยววางเกี้ยวลงแล้ว จิ่นเซวียนจึงฟุบหน้าลงบนขอบหน้าต่างมองสำรวจซ่งจื่อเฉิน ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างมิถูกต้อง
ซ่งจื่อเฉินรู้ว่าจิ่นเซวียนมองอยู่เลยจงใจมิหันไปหานาง เขานึกสงสัยอยู่ในใจ ตอนอยู่ที่บ้านพ่อแม่ ภรรยาตัวน้อยยังมิสนใจเขาอยู่เลย เหตุใดเวลานี้ถึงมองสำรวจเขาอย่างโจ่งแจ้งเล่า
จิ่นเซวียนถอนสายตาออกจากซ่งจื่อเฉินแล้วปล่อยม่านลง นางแน่ใจว่าซ่งจื่อเฉินมิใช่พี่จื่อเฟิงของนาง หากใช่พี่จื่อเฟิงจริง เขาต้องจำนางได้แน่ เพราะนางมีหน้าตาเหมือนเจ้าของร่างเดิม!
“จื่อเฉิน ข้าว่าน้องสะใภ้ชอบเจ้านะ มิเช่นนั้นนางคงมิแต่งให้เจ้า เจ้าเขินด้วย!” ซ่งหงหัวเราะล้อเลียนซ่งจื่อเฉิน ซ่งจื่อเฉินตอบกลับอย่างจริงจัง “พวกเราเพิ่งพบกันหนแรก คงคุยเรื่องชอบมิชอบไม่ได้หรอก”
ที่จริงแล้วซ่งจื่อเฉินอยากจะบอกว่าจิ่นเซวียนมิได้มองเขา นางเหมือนกำลังมองใครอีกคนอยู่มากกว่า
จิ่นเซวียนมีแผนการในอนาคตแล้ว นางยกยิ้มบาง ซ่งจื่อเฉิน ไม่ว่าท่านจะเป็นพี่จื่อเฟิงของข้าหรือไม่ ข้าก็จะรักษาท่านให้หายดีให้ได้
พักได้ครู่หนึ่งก็เริ่มเดินทางต่อ จิ่นเซวียนนั่งท้องร้องดังโครกครากอยู่ในเกี้ยว ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเวลานี้ ท่านย่าเล็กมิให้นางกินอาหารเลย นางหิวมากจริงๆ !
โชคดีที่นางซ่อนอาหารเอาไว้ในมิติ นางจึงหยิบถุงขนมออกมาทานรองท้องก่อน
“ขนมนี้ทำออกมารสชาติมิค่อยดีนัก แต่ก็พอกินได้” จิ่นเซวียนหยิบขนมโก๋พุทราจีนเข้าปากไปชิ้นหนึ่ง นางมิค่อยพอใจกับรสชาติเท่าใดนัก
เสียงพูดกระซิบกระซาบของนางดังเข้าหูของซ่งจื่อเฉิน ใบหน้าหล่อเหลาหลุดยิ้มบางออกมา ภรรยาตัวน้อยของเขาช่างน่ารักเสียจริง เจ้าสาวคนอื่นมิยอมทานอะไรก่อนพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน แต่นางกลับซ่อนอาหารไว้กินเอง
“น้องห้า ภรรยาของเจ้างดงามกว่าซู่ซินเสียอีก ท่านพ่อมิได้โกหกพวกเราจริงๆ ด้วย” ซ่งหงกลัวซ่งจื่อเฉินจะเบื่อเลยชวนคุย
แม้เขาจะเอ่ยเสียงเบาแต่จิ่นเซวียนก็ได้ยินอยู่ดี นางรู้เรื่องอื้อฉาวระหว่างโจวซู่ซินกับซ่งจื่อเฉินมาบ้าง นางมิสนใจนางชาเขียวอย่างโจวซู่ซินหรอก ไม่ว่านางจะชอบซ่งจื่อเฉินหรือไม่ เขาก็เป็นสามีของนาง นางมิยอมปล่อยโอกาสให้มือที่สามมาทำให้ตนเองขายหน้าแน่
แสงแดดส่องประกายอยู่นอกเกี้ยว ถือเป็นวันดีวันหนึ่ง เมื่อจิ่นเซวียนกินอิ่ม นางก็เข้าไปดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ในมิติ
จะว่าไปแล้วน้ำในสระน้ำศักดิ์สิทธิ์รสหวานอร่อยนัก นางเอามาใช้ล้างหน้า น้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นมิเพียงมีสรรพคุณบำรุงความงาม แต่ยังช่วยเพิ่มพลังวิญญาณอีกด้วย
ผู้คนในบ้านซ่งคึกคักยิ่งนัก ผู้ที่มาร่วมงานส่วนใหญ่คือญาติและสหายของซ่งผิง เดิมทีฉิวจั่งกุ้ยว่าจะไปที่บ้านของจิ่นเซวียนแต่ติดธุระ เขาจึงมาที่บ้านซ่งแทน
ซ่งผิงกับฉิวจั่งกุ้ยมิเคยไปมาหาสู่กัน เมื่อพวกเขาได้ยินว่าฉิวจั่งกุ้ยมาที่บ้าน เขาจึงรีบออกมาทักทายด้วยตนเอง
“เป็นเกียรตินักที่ฉิวจั่งกุ้ยมาเยี่ยมบ้านซ่ง เชิญนั่งก่อนขอรับ”
ซ่งผิงครุ่นคิด ฉิวจั่งกุ้ยมาร่วมงานแต่งลูกชายของเขาเช่นนี้ คงมีส่วนเกี่ยวข้องกับจิ่นเซวียนแน่ ได้ยินว่าจิ่นเซวียนขายแบบภาพให้ร้านเครื่องประดับถงซิน ฉิวจั่งกุ้ยเป็นรองเถ้าแก่ร้านถงซิน เขามาด้วยตนเองเช่นนี้คงอยากผูกมิตรกับจิ่นเซวียนเอาไว้
“นายท่านซ่งเกรงใจเกินไปแล้ว หากท่านมิรังเกียจก็เรียกข้าว่าพี่ใหญ่ฉิวเถิด ข้าก็เหมือนลุงของจิ่นเซวียน!” ฉิวจั่งกุ้ยเข้ากับคนง่าย เขาปฏิบัติกับทุกคนอย่างสุภาพเสมอ
“พี่ใหญ่ฉิว น้องชายขอเรียกตามที่ท่านต้องการขอรับ” คนที่ซ่งผิงคบหาด้วยล้วนแต่เป็นคนที่มีความสามารถ จิ่นเซวียนรู้จักฉิวจั่งกุ้ยเช่นนี้ เขาดีใจยิ่งนัก อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์ต่อการแก้แค้นของพวกเขา
“ท่านแม่ ดูท่าน้องสะใภ้ห้าจะรู้จักกับเจ้าของร้านเครื่องประดับถงซินจริงๆ นะเจ้าคะ แม้ฉิวจั่งกุ้ยจะมิใช่เจ้าของร้านใหญ่แต่ก็เป็นผู้ร่วมลงทุน” ยิ่งจิ่นเซวียนมีความสามารถมากเท่าใด เฉียวซื่อก็ยิ่งหดหู่มากเท่านั้น
“หึ จะเก่งสักเพียงใดก็เป็นลูกสะใภ้ของข้า” เฉียวซื่อร้องเสียงต่ำในลำคอ “เจ้าไปทักทายแขกคนอื่นก่อน ข้าจะเข้าไปทักทายฉิวจั่งกุ้ย”
“สามี นี่มิใช่ฉิวจั่งกุ้ยหรอกหรือเจ้าคะ?” เฉียวซื่อเดินเข้าไปหา และมองฉิวจั่งกุ้ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนหน้านี้นางเคยไปดูเครื่องประดับที่ร้านถงซิน เคยพบกับฉิวจั่งกุ้ยมาก่อน แต่เครื่องประดับในร้านมีราคาสูง นางจึงซื้อได้เพียงอันที่ถูกที่สุดเท่านั้น
นางกำลังคิดว่าจิ่นเซวียนจะแบ่งสินสมรสพวกนั้นให้นางบ้างหรือไม่ หากเอากำไลทองมาให้นางคงจะดียิ่งนัก
“พี่ใหญ่ฉิว นี่คือภรรยาของข้า นามว่าเฉียวจินฮวาขอรับ” ซ่งผิงแนะนำฉิวจั่งกุ้ยให้รู้จักกับเฉียวซื่อ ฉิวจั่งกุ้ยทักทายอย่างสุภาพ เขามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่านางมิใช่คนดี น่ากังวลแทนจิ่นเซวียนจริงๆ ที่มีแม่สามีเช่นนี้ นางอาจจะโดนรังแกได้ตลอดเวลา
“น้องซ่ง เซวียนเซวียนเป็นเด็กดี แม้ข้าจะรู้จักนางได้ไม่นานนัก แต่นางเป็นคนจริงใจและชอบธรรม ข้าหวังว่าจากนี้ท่านจะดีต่อนาง” ฉิวจั่งกุ้ยเปลี่ยนเรื่องมาคุยเกี่ยวกับจิ่นเซวียนจนซ่งผิงเม้มปากยิ้มๆ “ข้าเองก็ชอบเด็กผู้นี้เช่นกัน พี่ใหญ่ฉิวโปรดวางใจ ข้าจะดูแลนางให้เหมือนลูกสาวของตนเองแน่ขอรับ”
“จิ่นเซวียนคือคุณหนูบ้านซิ่วไฉ นางแต่งให้จื่อเฉินเช่นนี้ พวกเราดีใจมากเจ้าค่ะ ฉิวจั่งกุ้ย เชิญท่านนั่งก่อนเถิด พอขบวนเจ้าสาวมาถึงก็ได้เวลาตั้งโต๊ะแล้วเจ้าค่ะ” เฉียวซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง แต่ในใจกลับคิดเรื่องของจิ่นเซวียน