หลังไปจากลานสวนเมเปิ้ลแล้ว ฉู่เหินก็เดินกลับต่อ
ยังไม่ทันได้พบอาจารย์ซีหลานก็ไปก่อความขัดแย้งกับศิษย์ใต้อาณัตินางอย่างอู่เจ๋อเสียแล้ว แต่ฉู่เหินไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาวมาแต่ไหนแต่ไร หากอู่เจ๋อกล้ารังแกเขา ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บงำอดกลั้น
ครู่ให้หลัง ฉู่เหินก็มาถึงลานสวนด้านหน้าของสำนักยุทธ
ตลอดเส้นทางจะมีคนพูดคุยกันถึงเรื่องประชุมใหญ่ดาวชิงดวงคืนพรุ่งนี้เสมอ
“เฮ้อ ถึงกำหนดไอ้ประชุมใหญ่ดาวชิงดวงเฮงซวยนั่นอีกแล้ว วันอัปยศของศิษย์ใหม่สำนักดาราสวรรค์แท้ๆ!”
“อัปยศก็อัปยศเถอะวะ! อย่างไรเสียคืนพรุ่งนี้ข้าก็ไม่ไปแน่”
“ใช่แล้ว ไปก็ขายขี้หน้าเปล่าๆ สู้ไม่ไปเสียดีกว่า”
…
ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นแล้วฉู่เหินก็รู้สึกอาดูรขึ้นมาจางๆ อย่างไร้สาเหตุ
มาตรแม้นอยู่สำนักดาราสวรรค์ แต่คนมากมายกลับเอาศักดิ์ศรีของตนไปแขวนไว้รวมกันกับสำนัก หาได้รู้ไม่ว่า หากสำนักดาราสวรรค์ขายขี้หน้า ศิษย์ในสำนักทุกคนย่อมจะหมดราศีไปด้วย
“ศิษย์น้องฉู่เหิน…”
เสียงตะโกนอันคุ้นเคยลอยมา สองร่างเดินเข้ามาหา ฮ่าวจึกับมู่เฟิงนั่นปะไร
“ศิษย์พี่ฮ่าวจึ” ฉู่เหินยิ้มน้อยๆ แล้วก็ต้องอึ้ง เขาชี้แขนอีกฝ่ายแล้วถาม “นี่มันอะไรกันนี่ท่าน?”
แขนฮ่าวจึแปะกอเอี๊ยะหนาๆ เอาไว้ตามจุดที่ต้องรักษาบาดแผล แต่ที่น่าประหลาดก็คือกอเอี๊ยะกลับผูกเป็นโบสองอันเสียนี่
มู่เฟิงข้างกันเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาชอบใจนัก “แฮ่ๆ เป็นอย่างไรเล่า? ฝีมือข้าไม่เลวเลยใช่ไหม!”
ฉู่เหินหน้ามืด ให้มู่เฟิงเปลี่ยนยาให้ฮ่าวจึเป็นการเลือกที่ผิดมหันต์จริงด้วย
แต่ฮ่าวจึไม่ได้ถือสาหาความ เขาเล่า “ศิษย์พี่กู้ชิงผู้นั้นมาช่วยข้าเรื่องขั้นตอนเข้าสำนักแล้ว ข้าเป็นหนึ่งในศิษย์สำนักดาราสวรรค์แล้ว”
ฉู่เหินพยักหน้า “ท่านไม่ถือสาก็ดีแล้ว”
“จะไปถือสาได้อย่างไรเล่า? สำนักดาราสวรรค์เมื่อก่อนก็เป็นสำนักยุทธขั้นสูงที่เลอเลิศ มิหนำซ้ำการทดสอบเข้าสำนักของเด็กใหม่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักจันทร์สกาว เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่เลวเลย”
“ฮะๆ พูดได้ดีนี่ เจ้าหนู” มู่เฟิงตบบ่าฮ่าวจึ “ที่นี่ดีมากจริงอย่างเจ้าว่า โดยเฉพาะซีหลานหนึ่งในสี่โฉมสะคราญแห่งนครหลวงกับไป๋อวี่เยว่หนึ่งในหกมุกเม็ดงาม เป้าหมายอันสูงสุดของเสี่ยวเฟิงเฟิงผู้นี้”
ฉู่เหินทั้งเคืองทั้งขำ อ้าปากเป็นพูดถึงผู้หญิง เจ้ามู่เฟิงนี่ช่างแน่นอนจริงแท้
ระหว่างสนทนาปราศรัย เสียงเอะอะก็ดังจากอีกฟากหนึ่งของลาน
ชายกลางคนแต่งตัวอย่างอาจารย์แปะป้ายประกาศไว้บนกระดานข่าวสาร
“ประกาศอะไรกันอีกเล่านี่?” มู่เฟิงกระซิบกระซาบแล้ววิ่งไปสำรวจ
ฉู่เหินและฮ่าวจึเองก็เดินเข้าไปบ้างอารามอยากรู้อยากเห็น
เห็นประกาศนั้นกล่าวถึงเรื่องของ ‘ประชุมเฉพาะกิจราชันแสงดาว’ พรุ่งนี้
เนื้อหาโดยรวมคือพรุ่งนี้ให้ศิษย์ใหม่ของสำนักดาราสวรรค์มุ่งหน้าไปยังหอจวินไหล พบปะสื่อสารประลองวิชากับศิษย์ใหม่ของสำนักยุทธขั้นสูงแห่งอื่นๆ ในเมืองหลวง
“ข้านึกว่าจะเป็นเรื่องดีๆ อันใดเสียอีก! ที่แท้ก็ใส่หน้ากากพบปะเอาหน้าให้สำนักตัวเองนี่เอง!”
มู่เฟิงเอียงคอกลอกตาสองสามที พึมพำกับตนเอง “ประชุมเฉพาะกิจราชันแสงดาวน่าจะมีโฉมงามไปเข้าร่วมไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจมีสาวงามสองสามคนที่ลุ่มหลงจนแข้งขาอ่อนเพราะความหล่อเหลาของข้า ใช่ นครหลวงตั้งใหญ่โต ต้องมีสักคนที่ตาบอด เอ่อ…ตาแหลม”
“ศิษย์น้องฉู่เหิน เจ้าจะเข้าร่วมประชุมเฉพาะกิจราชันแสงดาวไหม?” ฮ่าวจึถามขึ้นกะทันหัน
“ทำไมเล่า?”
“คือว่า ข้ากลัวว่าสองพี่น้องเฮ่อนั่นจะทำมิดีมิร้ายกับเจ้า ข้าว่า…”
ฉู่เหินเพียงยิ้มเท่านั้น ไม่ได้เอื้อนเอ่ยเป็นอื่น “วางใจเถิดท่าน! การนี้ข้าเตรียมรับมือไว้แล้ว”
…
ใกล้ยามสายัณห์ ฉู่เหินฝึกเพลงหอกที่ลานแสดงยุทธเสร็จแล้วจึงกลับไปที่พัก
มู่เฟิงกับฮ่าวจึเหมือนจะยังไม่กลับกันมา
กระนั้น เมื่อฉู่เหินเปิดประตูห้องตนเอง ศิษย์ใหม่คนหนึ่งกลับตะโกนเรียกเขาจากนอกเรือน “ศิษย์พี่ฉู่เหิน ท่านอยู่ที่นี่ไหม?”
“ใครกัน?” ฉู่เหินถามอย่างประหลาดใจ
“ศิษย์พี่ฉู่เหิน…” คนผู้นั้นเดินเข้ามาส่งกระดาษใบหนึ่งให้ฉู่เหิน “ศิษย์พี่ เมื่อครู่มีคนข้างนอกฝากข้ามาส่งให้ท่าน”
“โอ๊ะ?” ฉู่เหินประหลาดใจเล็กน้อย มือรับกระดาษมาอย่างงุนงง “คนผู้นั้นคือใคร?”
“ข้าไม่ทราบแล้ว อายุพอกันกับข้า และยังบอกด้วยว่ามาจากที่เดียวกันกับท่าน”
อายุพอกัน มาจากที่เดียวกัน…
เมืองหลินเหยียนกระนั้นหรือ?
ฉู่เหินหรี่ตาเล็กน้อยด้วยสับสน บุรุษหนุ่มคลี่กระดาษนั้นออกมา เห็นเป็นข้อความสั้นๆ ง่ายๆ เพียงว่า
“ก่อนฟ้าจะมืด พบกันที่ทะเลสาบใบไม้โรย ณ เมืองทิศประจิม เคยรู้จักกันมาแต่ครั้งเมืองหลินเหยียน
รู้จักกันมาแต่ครั้งเมืองหลินเหยียน?
ใครกัน?
ฉู่เหินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาสับสนยิ่งกว่าเดิม ใครเป็นคนเขียนกัน? ลายมือไม่คุ้นนัก เคยเห็นมาก่อนหรือเปล่าหนอ? ฉู่เหินก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
กระนั้น ว่ากันตามจริง วินาทีที่ฉู่เหินเห็นกระดาษแผ่นนี้เขาก็หวนนึกถึงเรื่องที่ตนถูกใส่ความในเมืองหลินเหยียนขึ้นมาแล้ว
กระดาษแผ่นเดียวนี่เองที่ทำให้เขาไปยังจุดนัดพบที่ศาลาคว้าเมเปิ้ล
ไม่นึกเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจะเป็นความทรงจำที่ฉู่เหินจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต
ทว่า เขาแน่ใจได้ว่าเย่โยวไม่ใช่ผู้เขียนข้อความนี้
แต่หลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้นมา เมืองหลินเหยียนก็ไร้แล้วซึ่งผู้เป็นสหายของฉู่เหิน
จะไปดีไหม?
หรือจะเป็นกับดักอีกแล้ว?
เห็นท้องฟ้าเริ่มมัวหม่น ฉู่เหินก็ยังลังเล
…
ยามเย็น!
ม่านรัตติกาลโรยตัว ถนนหนทางสว่างไสวด้วยแสงโคมแวววาวพราวระยับ
ทะเลสาบใบไม้โรยที่เมืองทิศประจิม!
ทิวทัศน์ตรึงตา ลมเย็นพัดพาแสนสบาย
ต้นหลิวปกคลุมข้างฝั่งทะเลสาบ สายลมเย็นโบกโบยราวกับร่ายรำ ใบไม้โรยปลิวล่องแล้วร่วงหล่น เกิดเป็นวงคลื่นกระเพื่อมไหวบนผิวทะเลสาบ
ภัตตาคารอันงดงามหรูหราตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบใบไม้โรย
ภัตตาคารโอ่โถงโอฬาร ประดับตกแต่งอลังการ เมื่อแสงโคมวับวาวสาดส่องสอดรับกันก็ยิ่งมลังเมลืองโชติช่วง มองจากที่ไกลตาดูคลับคล้ายพระราชวังสักแห่งก็มิปาน
ภัตตาคารนี้มีนามว่าภัตตาคารจันทร์รอน!
เป็นหนึ่งในภัตตาคารหรูที่เลื่องชื่อที่สุดแห่งนครหลวง ผู้จะเหยียบย่างขึ้นภัตตาคารจันทร์รอนได้ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นสูงมีอันจะกินในเมืองหลวงทั้งสิ้น ประโคมดนตรีและนางรำร่ายรำมิได้ขาด ทั้งอู้ฟู่และฟุ้งเฟ้อเป็นที่ยิ่ง
…
ห้วงเวลานี้ บนหาดเล็กๆ ข้างทะเลสาบห่างจากภัตตาคารจันทร์รอนไปร้อยเมตร
ฉู่เหินจิบน้ำชาหอมกรุ่น จ้องมองผืนทะเลสาบเบื้องหน้าอย่างสงบ
ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ผู้คนไม่น้อยมาเดินเล่นกันอยู่ริมทะเลสาบใบไม้โรย
ยามฉู่เหินดื่มชาถ้วยที่สามเสร็จสิ้น ร่างหนุ่มแน่นก็นั่งลงตรงตำแหน่งตรงข้ามกันในพลัน “ดื่มชาให้น้อยหน่อยจะดีกว่า ประเดี๋ยวกลางค่ำกลางคืนจะนอนไม่หลับ”
เสียงอันอ่อนโยนเจือแววดื้อรั้นอยู่ในที
เขาเป็นบุรุษหนุ่มเครื่องหน้าหล่อเหลา รูปลักษณ์เย็นชาสุดขั้ว แต่กระนั้น ใบหน้านี้กลับคุ้นตาฉู่เหินยิ่งนัก
“เดิมข้าก็ไม่ค่อยจะหลับในยามค่ำคืนอยู่แล้ว” ฉู่เหินตอบ ดวงตาทรหดสบตาอีกฝ่าย ลำคอเคลื่อนไหวเปล่งเป็นคำพูดอันชัดเจน “นายน้อยเหลียง ไม่ได้พบกันนาน”
นายน้อยเหลียง!
เคยรู้จักกันแต่ครั้งอยู่เมืองหลินเหยียน คนเดียวในเมืองหลินเหยียนที่ทำให้ฉู่เหินเรียกว่านายน้อยเหลียงได้นั้น ย่อมคือนายน้อยใหญ่แห่งตระกูลเหลียง เหลียงอี้หมิง
เหลียงอี้หมิง คนรู้จักตั้งแต่ยามอยู่สำนักเส้าจง
หนึ่งในสี่อัจฉริยะเส้าจงเวลานั้นเช่นเดียวกันกับฉู่เหิน เย่โยว และหลิ่วเซียว
“ฮะๆ พี่ฉู่ สบายดีนะ” เหลียงอี้หมิงหัวเราะร่าเริง
เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่ายแล้ว ชายหนุ่มยิ่งนึกไม่ถึงว่าคนผู้นัดตนมาจะเป็นเหลียงอี้หมิง ก่อนหน้านี้ยามอยู่สำนักเส้าจงพวกเขาแทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันเลย นับประสาอะไรกับตอนนี้
“ท่านมาหาข้าด้วยธุระอันใด?” ฉู่เหินถาม
“ข้านึกว่าท่านจะกลับเมืองหลินเหยียน แต่ไม่นึกว่าจะไปสำนักดาราสวรรค์ แต่หากให้ข้าเลือกล่ะก็ บางทีก็อาจเป็นเหมือนเช่นท่าน ยอมลงหลักปักฐานในสำนักที่แย่ที่สุดของเมืองหลวงดีกว่ากลับไปเป็นขี้ปากชาวบ้านร้านตลาด”
เหลียงอี้หมิงยกกาน้ำชาข้างกายขึ้นมารินน้ำชาให้ตนเอง
“วันนี้ท่านคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อสนทนาเรื่องเก่ากับข้ากระมัง? เหมือนว่าพวกเราจะไม่มีเรื่องเก่าอันใดให้สนทนาได้…”
“ฮะๆ” เหลียงอี้หมิงยกยิ้มจาง ชี้ไปยังภัตตาคารจันทร์รอนแล้วเปรย “พี่ฉู่ ท่านดูทางนั้นเสียก่อน…”
ดูทางนั้นเสียก่อน?
ฉู่เหินมองไปตามทิศที่อีกฝ่ายชี้ไป เห็นหนุ่มสาวเยาว์วัยบุคลิกไม่สามัญในอาภรณ์หรูเดินเข้าไปในประตูใหญ่ภัตตาคารจันทร์รอน
“นางหรือ?”
ฉู่เหินขมวดคิ้ว แม้จะห่างกันร้อยเมตรแต่ฉู่เหินก็เห็นร่างเย่โยวในทันที
เย่โยวสวมชุดกระโปรงยาวสีม่วงอ่อน ผมยาวสลวยปรกไหล่ บุคลิกสูงส่งสง่างาม ดูเด่นเป็นราศี แสงโคมพราวระยับอาบไล้ให้ยิ่งงดงามต้องใจ
ข้างกายเย่โยวยังมีบุรุษหนุ่มที่สนามพลังไม่ธรรมดาเดินติดจะใกล้ชิดกับนางด้วย
…
พลันนั้น ฉู่เหินหรี่นัยน์ตา แววน่ากลัวอันเยียบเย็นเรืองรองในดวงตา
เขาพบทันทีว่าหลังเสื้อหรูหราของชายผู้นั้นยังมีลวดลายหนึ่ง ลวดลายภาพ ‘สุริยันร้อนแรง’ ภาพนั้นช่างล่องลอยและกำแหงดุจเดียวกับกรงจักรทองกางใบมีดแหลมคม
เพียงเห็นภาพนั้น ใบหน้าฉู่เหินราวลุกลามอาบเคลือบด้วยเกล็ดน้ำแข็ง
“ฮะๆ พี่ฉู่ท่านนี่ยากลืมรักเก่า!”
เหลียงอี้หมิงไม่รู้ความในใจฉู่เหิน เขาจึงนึกว่าฉู่เหินยังชอบพอเย่โยว เมื่อเห็นเย่โยวอยู่กับชายอื่นถึงได้นึกโกรธ
ความจริงแล้ว ฉู่เหินไม่ได้มองเย่โยวสลักสำคัญอีกต่อไป
มิตรภาพและความรักระหว่างคนทั้งสองมลายหายสิ้นไปตั้งแต่คืนที่ฉู่เหินถูกทำร้ายแล้ว
ครั้นเห็นฉู่เหินไม่ได้เอ่ยปากอันใด เหลียงอี้หมิงก็คลี่ยิ้มบางก่อนว่าต่อ
“คนผู้นั้นคือ ‘เหวยชิงฝาน’ นายน้อยใหญ่แห่งตระกูลเหวย หนึ่งในอัจฉริยะผู้เลื่องลือของเมืองหลวง ว่ากันว่าพลังเข้าระดับเชื่อมเมล็ดพันธุ์แล้ว ส่วนจะกี่ขั้นกันแน่นั้นไม่รู้ชัดได้ ตระกูลเหวยทรงอิทธิพลอย่างยิ่งที่นี่ หากถามว่าแน่แค่ไหน ข้าก็บอกได้แค่ว่ามากพอบดขยี้จวนแม่ทัพท่านกับตระกูลเหลียงข้าได้โดยไม่ต้องออกแรงเป่าลมเลย…”
……………………………