มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 2 บทที่ 59 ดาวชิงดวง ต้องไปให้จงได้

        เหวยชิงฝาน นายน้อยใหญ่ตระกูลเหวย!

        อัจฉริยะผู้เลื่องชื่อลือชาในนครหลวง พลังลมปราณระดับเชื่อมเมล็ดพันธุ์ ตระกูลเหวยยังทรงอิทธิพลใหญ่โตในเมืองหลวง จวนแม่ทัพเมืองหลินเหยียนเบื้องหลังฉู่เหินไม่อาจเทียบเคียงได้แม้ปลายผม

        “ไฉนจึงบอกเล่าเรื่องเหล่านี้แก่ข้า?” ฉู่เหินถามเสียงเย็น

        “คืนพรุ่งนี้ท่านจะเข้าร่วมประชุมใหญ่ดาวชิงดวงหรือไม่?” เหลียงอี้หมิงไม่ตอบซ้ำถามกลับ

        “เข้าร่วมแล้วอย่างไร? ไม่เข้าร่วมแล้วอย่างไร?”

        เหลียงอี้หมิงหัวเราะ เขาชี้ไปยังภัตตาคารจันทร์รอนอีกครั้ง ปากว่า “ชายชุดน้ำเงินนามว่า ‘เหรินชง’ เป็นราชาศิษย์ใหม่แห่งสำนักวายุจักรพรรดิ พลังลมปราณระดับเชื่อมหยวนขั้นสาม ชาติตระกูลสืบทอดขีดจำกัดสายเลือด ‘ตรวนตรึงวิญญาณ’ เรียกสั้นๆ ว่า ‘กายสัประยุทธ์ตรวนวิญญาณ’ มาตรแม้นเผชิญคู่ต่อสู้ระดับเชื่อมหยวนขั้นสี่ก็ยังพอฟัดพอเหวี่ยง…”

        เหวยชิงฝาน เย่โยว และบรรดาหนุ่มสาวเดินไปถึงประตูภัตตาคารจันทร์รอนแล้ว

        พนักงานต้อนรับด้านในออกมาต้อนรับกันอย่างเคารพนบนอบ

        มองไปไกลๆ จะเห็นบุรุษนามเหรินชงเดินอยู่ข้างกายเหวยชิงฝาน ใบหน้าประดับยิ้มเผยความทะนงและพอใจในตัวเองอย่างยิ่งยวด

        “เหรินชงผู้นี้พรสวรรค์สูงล้ำ พลังเลอเลิศ มีสัมพันธ์อันดียิ่งกับเหวยชิงฝาน หากจะกล่าวว่าเขาเป็นราชาในหมู่ศิษย์ใหม่ของสำนักยุทธขั้นสูงทั้งเมืองหลวงก็ไม่เกินความจริงเลย ผู้เดียวที่พอจะต่อกรกับเขาได้ก็เห็นจะมีแต่อันดับหนึ่งของศิษย์ใหม่สำนักยุทธจักรพรรดิ ซูเสวี่ยโหรว…”

        “แล้วอย่างไร?” ฉู่เหินหันกลับมามองเหลียงอี้หมิง

        “ดังนั้น หากท่านอยากมีชีวิตรอด พรุ่งนี้ท่านก็อย่าปรากฏกายที่ ‘หอจวินไหล’ จะเป็นการดีที่สุด เหวยชิงฝานได้สั่งการเหรินชงเรียบร้อยแล้ว ว่าหากท่านเข้าร่วมประชุมใหญ่ดาวชิงดวงเมื่อใด เขาจะดำเนินการขั้นสุดท้าย…”

        ขั้นสุดท้าย?

        ฉู่เหินช้อนตา แววเย็นเยียบเจือจางแลบแล่นแล้วลับหาย

        “เชื่อว่าท่านคงยังไม่รู้ว่าเหตุไฉนหลิ่วเซียวถึงได้วางอุบายทำร้ายท่านเมื่อครั้งอยู่เมืองหลินเหยียนกระมัง?” เหลียงอี้หมิงถาม

        ฉู่เหินดวงตาวาววามแต่ไม่ได้ตอบว่ากระไร

        “เหวยชิงฝานบงการเขา” เหลียงอี้หมิงสรุป

        “โอ๊ะ?” ฉู่เหินขมวดคิ้วแล้วถามกลับนิ่งๆ “ยามนั้นข้าหาได้รู้จักมักจี่กับเหวยชิงฝานไม่ พูดให้ถูก ข้าไม่เคยรู้จักเขามาก่อนเลย เหตุใดเขาต้องมุ่งร้ายข้าด้วย?”

        “ฮะๆ ท่านมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ไยต้องให้ข้าบอกออกมาเล่า!” เหลียงอี้หมิงหัวเราะแผ่วเบา

        “เย่โยว!

        “ถูกต้องแล้ว เหวยชิงฝานปรารถนาในตัวเย่โยวมาโดยตลอด แต่ยามนั้นท่านคือก้างขวางคอคนทั้งสอง เหวยชิงฝานจึงให้หลิ่วเซียวแสดงละครฉากใหญ่ ทำลายชื่อเสียงท่านจนป่นปี้ สิ้นไร้อนาคต คุณหนูใหญ่เย่ผู้นี้ก็จะได้ถีบส่งท่านอย่างถูกต้องและราบรื่น ให้ท่านไม่มีหน้ามีตาพอจะเคียงข้างนางอีกต่อไป”

        

        ฉู่เหินหัวเราะ หัวเราะแสนประชดประชัน

        ประชดทั้งตนเอง ประชดทั้งเย่โยว

        นี่หรือคือความจริง?

        สาเหตุที่เขาถูกทำร้ายปางตายในวันนั้น มันแค่นี้เองหรือ?

        “เย่โยวผู้นั้นจะสำคัญตนผิดไปหน่อยแล้ว ขอแค่นางบอกมาคำเดียว ข้าฉู่เหินหรือจะอยู่เคียงกายนางต่อไป?”

        ฉู่เหินหัวเราะเยาะเย้ยและใจหาย อย่างมากที่สุดเขาก็แค่รู้สึกดีๆ กับเย่โยวเท่านั้นปะไร หาได้หลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้น หรือต้องการเพียงนางไม่สนนารีอื่นไม่

        ไฉนต้องเล่นลูกไม้มากมายปานนี้

        แต่พอคิดดูอีกที นี่คงไม่พ้นเป็นกงการของเหวยชิงฝาน เป้าหมายอันสูงสุดของมันคือให้ฉู่เหินไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้อีกชั่วชีวิต กลับกลายเป็นสวะข้างถนนอย่างสมบูรณ์แบบ

        ขอถามว่าเคียดแค้นแสนชังกันปานใด ถึงทำร้ายเขาได้เพียงนี้?

        คงเป็นเพราะเหวยชิงฝานต้องการให้ตนเองเพลิดเพลินเป็นพอกระมัง?

        “เจ้าเหวยชิงฝานนี่เป็นที่โจษจันกันจนทั่วทั้งนคร นิสัยพิลึกพิลั่น แต่คนผู้เคยผิดใจกับมัน หรือคนที่มันอยากกำจัด…มันจะไม่ลงมือสังหารในทันที แต่จะทรมานอีกฝ่ายให้สาแก่ใจจนกว่าจะแหลกลาญคามือ รอจนคนผู้นั้นสติแตกหมดอาลัยตายอยากแล้วถึงค่อย ‘ฆ่าทิ้ง’ ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นจะเป็นเช่นไร คงไม่ต้องให้ข้าสาธยายมากความกระมังเหตุที่ท่านถูกสำนักยุทธขั้นสูงทั้งหมดปฏิเสธก็เป็นเพราะเหวยชิงฝานบงการอยู่หลังม่านทั้งนั้น แต่ว่า…”

        เหลียงอี้หมิงหยุดลง แล้วจึงเอ่ยต่อด้วยสับสน “ข้าแปลกใจตรงที่ ไฉนท่านถึงยังมีชีวิตรอดมาจนบัดนี้? ตามแนวโน้มของเรื่องนี้ ท่านน่าจะไม่มีโอกาสได้เข้าสำนักดาราสวรรค์เสียมากกว่านี้ เหวยชิงฝานไม่ได้จะให้ท่านนอนตายที่ข้างถนนไปแล้วหรอกหรือ?”

        ฉู่เหินดวงตาลุกวาว

        เรื่องบางอย่างไม่ต้องพูดออกมาน่าจะดีกว่า

        เหลียงอี้หมิงมองว่าในเมื่อเหวยชิงฝานสั่งให้เหรินชงกำจัดฉู่เหินเสียคืนพรุ่งนี้ ก็หมายความว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะปลิดชีพฉู่เหินแน่แล้ว เทียบกันแล้ว ตามนิสัยเดิมของเหวยชิงฝานควรจะลงมือไปนานแล้วมากกว่า

        “หรือข้าต้องบอกท่านเรื่องมือสังหารยี่สิบกว่าคนที่ไล่ฆ่าข้าคืนนั้น?” ฉู่เหินแอบก่นด่าในใจ

        พลันนั้นเขาก็จ้องเหลียงอี้หมิงแววตาวาวโรจน์ น้ำคำที่เอื้อนเอ่ยเบาลงหลายส่วน “ท่านรู้เรื่องพวกนี้ได้เช่นไร?”

        เหลียงอี้หมิงรู้เรื่องพวกนี้ได้เช่นไร?

        มิหนำซ้ำยังรู้ละเอียดปานนี้ด้วย?

        เห็นสายตาระแคะระคายของฉู่เหินแล้ว เหลียงอี้หมิงก็ยิ้มไม่ยี่หระ “คืนวานข้าบังเอิญไปเจอเหวยชิงฝานหารือเรื่องนี้กับเหรินชงเข้าพอดี”

        “พลังลมปราณระดับท่านแอบฟังเหวยชิงฝานพูดไม่ถูกจับได้หรือ?” ฉู่เหินถามเสียงต่ำ

        “ฮะๆ หรือข้าต้องบอกท่านว่าขีดจำกัดสายเลือดข้าครองความสามารถสืบรู้ระยะไกล…”

        ขีดจำกัดสายเลือดครองความสามารถสืบรู้ระยะไกล?

        ฉู่เหินเริ่มคลายแววสงสัยในดวงตา ดูจากสีหน้าและแววของเหลียงอี้หมิงแล้วก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก แต่ฉู่เหินก็ยังไม่กระจ่างอยู่เรื่องหนึ่ง

        “เหตุใดถึงบอกเรื่องเหล่านี้แก่ข้า?”

        ฉู่เหินสนใจคำถามนี้ที่สุดแล้ว

        เมื่อก่อนตอนอยู่สำนักเส้าจง ทั้งสองหาได้มีมิตรภาพใหญ่หลวงอันใดต่อกันนัก ระดับความสัมพันธ์นับเป็น ‘เพื่อนธรรมดา’ ไม่ได้ด้วยซ้ำไป หากเหลียงอี้หมิงจะไม่บอกเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ตนฟังก็สมเหตุสมผลดี

        นับประสาอะไรกับที่การนี้เกี่ยวพันถึงอัจฉริยะผู้ไม่อาจท้าทายอย่างเหวยชิงฝาน เขายิ่งไม่ควรเข้ามายุ่มย่ามเรื่องนี้เข้าไปกันใหญ่

        “ฮะๆ เหตุที่ข้าบอกเรื่องพวกนี้กับท่านนั้นก็มีด้วยกันสองข้อ” เหลียงอี้หมิงผุดยิ้มบาง “ข้อแรก ท่านและข้าต่างก็มาจากเมืองหลินเหยียนด้วยกันทั้งคู่ ข้าทนเห็นท่านเดินเข้าไปในกับดักคนอื่นเสียทุกก้าวไม่ได้ ถือว่าเป็นการเตือนด้วยความหวังดีแล้วกัน!

        เหลียงอี้หมิงหยุดลงแล้วกล่าวต่อ “อีกอย่างคือ ข้ารู้สึกพี่ฉู่ท่านไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่เห็นภายนอก ถือโอกาสนี้ซื้อใจท่านสักครั้ง อนาคตข้างหน้าไม่แน่ว่าพอท่านได้ดิบได้ดีแล้ว ข้าก็ผูกน้ำมิตรแน่นแฟ้นกับท่านได้มิใช่หรือ? แน่นอนว่าก่อนวันนั้นจะมาถึง ท่านก็ต้องรักษาชีวิตตัวเองให้รอดเสียก่อน…”

        เหลียงอี้หมิงพูดตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง

        เขาในยามปกติแม้จะแสนเย็นชา แต่ความจริงนั้นมันสมองปราดเปรื่อง ตอนอยู่เมืองหลินเหยียน ฉู่เหินถูกทำลายเส้นปราณทั้งเก้าจนแหลกละเอียด ซ้ำเส้นเอ็นยังขาดวิ่น…เดิมนึกว่าชีวิตนี้จบสิ้นแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าสามเดือนให้หลังจะกลับมาฟื้นฟูเหมือนใหม่ ไหนจะพลังเพิ่มพูนอย่างมากด้วย

        ใครจะเชื่อกันเล่าว่าฉู่เหินเป็นแค่คนธรรมดาสามัญ?

        ผนวกกับเรื่องราวสารพันที่เกิดขึ้นในนครตลอดที่ผ่านมา เหลียงอี้หมิงจึงมองฉู่เหินในทางที่ดีอย่างยิ่ง นับประสาอะไรกับการที่เขาแค่บอกเรื่องที่ตนบังเอิญได้รับรู้มาโดยไม่ได้ตั้งใจให้ฉู่เหินฟังก็เท่านั้น พูดแค่ไม่กี่คำก็สร้างผลงานเล็กๆ น้อยๆ ได้แล้ว

        แม้จะด้วยเหตุผลอย่างมาจากเมืองหลินเหยียนเหมือนกัน เหลียงอี้หมิงก็สามารถเป็น ‘คนดี’ ได้คราหนึ่งอย่างไร้เงื่อนไข

        “ฮะๆ ท่านคงไม่บอกคนอื่นว่าข้าเป็นคนบอกเรื่องนี้กับท่านกระมังเช่นนั้นข้าจะเคราะห์ร้ายเอาได้” เหลียงอี้หมิงพูดทีเล่นทีจริง

        ครั้นรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องแล้ว ฉู่เหินก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันกายจะเดินจากไป

        “น้ำใจของท่านครานี้ ข้าจดจำไว้แล้ว”

        “อีกอย่าง!” ฉู่เหินไม่ทันเดินได้กี่ก้าว เหลียงอี้หมิงก็เตือนเขา “แม่นางน้อยเย่เหยาก็อยู่ในสำนักวายุจักรพรรดิด้วย ท่านจะไม่หาเวลาไปพบปะนางสักหน่อยหรือ?”

        เย่เหยาก็มาแล้ว?

        ฉู่เหินชะงักฝีเท้า หว่างคิ้วมีแววประหลาดใจหลายส่วน “เหวยชิงฝานให้นางมาหรือ?”

        “ไม่ใช่หรอก แม่หญิงน้อยเย่เหยาเข้าสำนักวายุจักรพรรดิได้ด้วยความสามารถของนางเอง”

        เหลียงอี้หมิงลุกขึ้นยืนบ้าง เขาเดินไปข้างหน้าแล้วตบบ่าฉู่เหิน “นางคิดถึงคนที่นางเคยมองเป็น ‘พี่เขย’ เช่นท่านไม่เว้นวาง อย่าถามว่าข้ารู้ได้เช่นไร เมื่อสายวันนี้แม่นางน้อยลังเลอยู่หน้าประตูสำนักดาราสวรรค์เสียตั้งนาน สุดท้ายก็ไม่กล้าเข้าไปพบท่านอยู่ดี”

        ฉู่เหินขมวดคิ้ว ดวงตาฉายอารมณ์ซ่อนเร้นบางอย่าง

        พลันนั้นก็จากไปโดยไม่ปริปากอันใด

        

        ยามราตรี

        ฉู่เหินเดินไปตามถนนสายกว้างอย่างเดียวดาย

        ไม่รู้ด้วยเหตุใด ฟากฟ้าถึงส่งสายฝนโปรยปรายมาปรอยๆ หยาดน้ำฟ้าเย็นเฉียบตกต้องใบหน้าให้เย็นขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล หลังล่วงรู้ความจริง อารมณ์ภายในของฉู่เหินก็พลุ่งพล่านเหมือนแมกมากลั่นตัวในภูเขาไฟ ดูภายนอกอย่างเงียบสงบ แต่ภายในบ้าคลั่งเกรี้ยวกราดดุจคลื่นทะเล

        เหลียงอี้หมิงไม่ได้โป้ปด เก้าสิบในร้อยส่วนเชื่อถือได้แน่

        ฉู่เหินมั่นใจ

        ฉู่เหินยกมือขวาขึ้นมา นัยน์ตาสะท้อนภาพตราประทับในมือ

        ตราประทับสลักลวดลายวิจิตรงดงาม ตำแหน่งตรงกลางเป็นภาพ ‘สุริยันร้อนแรง

        ตราประทับนี้เป็นหลักฐานที่ฉู่เหินค้นมาจากร่างมือสังหารคนหัวหน้าหลังการลอบสังหารยามราตรีในคืนนั้น ตราประทับเป็นรูปสุริยันร้อนแรงเหมือนกันกับสัญลักษณ์บนเสื้อผ้าของเหวยชิงฝานไม่มีผิดเพี้ยน

        ความจริงเป็นเช่นไร?

        คำตอบปรากฏให้เห็นง่ายดายนัก

        จากเมืองหลินเหยียนไล่มายันนครหลวง ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฉู่เหินเป็นเพราะเหวยชิงฝานทั้งหมด และเย่โยวที่ฉู่เหินเคยไว้ใจที่สุด เป็นเพราะนางด้วยส่วนหนึ่ง

        เปลวเพลิงแห่งโทสะเสมือนคลื่นทะเลก่อตัวขึ้นมา

        เส้นเลือดที่แขนฉู่เหินปูดโปน ตราประทับสีทองในมือถูกบีบจนบิดเบี้ยว เกล็ดน้ำแข็งปกคลุมใบหน้าอันหล่อเหลา โครงหน้าของบุรุษหนุ่มอำมหิตเฉียบขาดขึ้นมาในทันที

        ประชุมใหญ่ดาวชิงดวงคืนพรุ่งนี้ ต้องไปให้จงได้…

 

         …………………………

 

Author Glory Forever