ในส่วนลึกของเทือกเขาซวนโยว ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังตรงเข้าไป เมื่อเดินถึงใจกลางหุบเขาก็พบมังกรทมิฬดำขนาดมหึมา ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ตัวหนึ่งนอนอยู่ด้านใน มังกรทมิฬตัวนี้อาบไปด้วยแสงสีดำบางเบาทั้งร่าง ท่าทางดูสงบสุขไม่เหมือนตายแล้ว แต่กลับเหมือนกำลังหลับใหลไปเท่านั้น
“เจียวอี๋ ข้ามาหาท่านแล้ว“ หลินโม่คุกเข่าก่อนโขกหัวแรงๆ ลงพื้นสามครั้งต่อหน้ามังกรทมิฬ
แม้มังกรทมิฬจะเป็นอสูร ทว่ากลับดูแลหลินโม่มาตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบใหญ่ คอยปกป้องเขาเสมอ ประหนึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดด้วยตัวเอง
ตอนที่หนีตายจากแดนศักดิ์สิทธิ์จากเมืองหวางมาได้ แม้หลินโม่จะอยู่ในอาการสะลึมสะลือ ทว่าเมื่อฟื้นขึ้นมากลับเห็นแต่มังกรทมิฬปกป้องเขาจนบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า…
ลากยาวมากระทั่งถึงส่วนลึกของเทือกเขาซวนโยว อาการบาดเจ็บของมังกรทมิฬก็ทรุดลงเกินเยียวยาแล้ว
“เจียวอี๋ ข้ากลับมาแล้ว มีหลายเรื่องราวที่ข้าจำได้แล้ว ท่านโปรดวางใจ ข้าไม่มีทางโง่เง่าดั่งคราแรกแล้ว คนที่ทำร้ายท่านในตอนนั้น ข้าจะให้พวกมันชดใช้ด้วยตัวข้าเอง…” หลินโม่ยืนขึ้น หยาดน้ำตาไหลรินจากกระบอกตา สองหมัดบีบแน่นด้วยอารมณ์คลุกเคล้า
ชั่วเวลานั้น ลำแสงที่ไหลเวียนบนร่างมังกรทมิฬค่อยๆ สลายไป เกล็ดที่ทอประกายแสงได้หม่นแสงลงกระทั่งมอดดับ
สายลมอ่อนพัดผ่าน ร่างกายมังกรทมิฬสลายตัวเป็นอนุภาคแล้วมลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ครั้นเห็นภาพเบื้องหน้า ใจหลินโม่พลันกระตุกไปชั่ววูบ แม้กายของมังกรทมิฬจะตายไปแล้ว หากแต่ยังหลงเหลือเสี้ยวพลังและจิตใต้สำนึก คงไว้มากระทั่งปัจจุบันเพื่อรอเขากลับมา เพื่อรอเห็นว่าเขาเติบโตไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
“เจียวอี๋…“
หยาดน้ำตาใสไหลรินจากดวงตาของชายหนุ่มอย่างมิอาจอดกลั้น
เงาทมิฬเฝ้ามองมาตั้งแต่แรก มันมิได้ปริปากอันใด กลัวว่าจะทำลายความสงบอันเปราะบางของภาพเบื้องหน้านี้ไป
หลังจากร่างมังกรทมิฬสลายลง เม็ดไข่มุกสีดำขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือก็ค่อยๆ ปรากฏแก่สายตา ไข่มุกเม็ดนี้เปล่งประกายแสงสีดำอันลึกลับ ด้านในมีมังกรสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือเวียนว่ายไปทั่ว
“ไข่มุกมังกร…”
เมื่อเงาทมิฬกงซีมองเห็นก็พุ่งตัวไปทันที ยื่นมือหมายคว้าไข่มุกมังกรเม็ดนั้นเองไว้
ชั่ววินาทีนั้น ประหนึ่งว่าไข่มุกมังกรมีชีวิตขึ้น มันหลบมือเงาทมิฬกงซี สิ้นเสียง ‘ฟิ้ว’ ก็ลอยมาทางหลินโม่ แล้วค่อยๆ ร่วงลงสู่ใจกลางฝ่ามือชายหนุ่ม
ภาพนี้ทำเอาเงาทมิฬกงซีต้องกัดฟันกรอดด้วยความโมโหอีกครั้ง ทุกคราที่มีของอะไรดีๆ มันมักจะแย่งจากหลินโม่ไม่ได้อยู่ร่ำไป อีกทั้งเมื่อของได้ตกไปอยู่ในมือหลินโม่แล้ว คิดจะเอากลับคืนมาก็ยากยิ่ง เจ้าเด็กนี่เป็นดาวมฤตยูตัวร้ายของมันจริงๆ
เมื่อรู้สึกถึงความเย็นของเม็ดมังกรที่แผ่ซ่าน หลินโม่ก็หวนนึกถึงแต่ปางก่อนที่เคยนั่งหลังมังกรทมิฬ เกล็ดบนตัวของมันก็อุณหภูมิเท่านี้และให้ความรู้สึกเช่นนี้ บางทีเจียวอี๋อาจยังไม่ตาย แต่ใช้วิธีอื่นเพื่อให้อยู่รอดต่อไปและปกป้องเขาได้ในคราวเดียวกัน
“นี่คือเม็ดมังกรที่สร้างขึ้นจากอสูรระดับราชัน ใช้พลังและชีวิตหลอมรวมมันขึ้น หากนำไปใส่ในอาวุธวิญญาณละก็ อย่างน้อยจะเพิ่มอานุภาพให้อาวุธวิญญาณได้อีกหลายเท่าตัวเชียวล่ะ” ดวงตาสีทองสกาวของเงาทมิฬกงซีจ้องไข่มุกมังกรไม่ละ นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายร้อนแรง
“ไข่มุกมังกรมีเสี้ยวพลังชีวิตของเจียวอี๋อยู่ด้านใน บางทีอาจพอทำให้เจียวอี๋ฟื้นคืนชีพได้…” หลินโม่พึมพำกับตัว
“เจ้าเลิกฝันได้แล้ว นั่นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ไข่มุกมังกรมีเสี้ยวพลังชีวิตของราชันอสูรมังกรทมิฬอยู่ก็จริง แต่จิตใต้สำนึกของมันสลายหายไปนานแล้ว ยิ่งกว่านั้น หากจะฟื้นคืนชีพมังกรทมิฬด้วยเสี้ยวพลังชีวิตได้ ก็นอกเสียจากว่าเจ้าจะเป็นเทพในตำนานเท่านั้น” เงาทมิฬกงซีอดที่จะพูดตรงๆ เรียกสติไปไม่ได้
เทพเจ้าในตำนานอย่างนั้นหรือ…
ในโลกนี้มีเทพเจ้าจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
หากแต่หลินโม่รู้วิธีที่จะสามารถฟื้นคืนชีพไข่มุกมังกรนี้ได้วิธีหนึ่ง ซึ่งวิธีนี้ยากเย็นเกินคณา ทว่าหลินโม่จะไม่มีทางถอดใจไปง่ายๆ ต้องลองสักตั้งถึงจะรู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่
เมื่อบรรจงเก็บไข่มุกมังกรอย่างเบามือแล้ว หลินโม่จึงเร้นกายออกจากหุบเขา
หลังจากกลับมายังสถานบรรพชนตระกูลหลินแล้ว เขาก็สบเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังถูกผู้คุ้มกันตำหนักชิงเจียวเฝ้าไว้ ในบรรดานั้นมีใบหน้าเป็นที่คุ้นตาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าสาขาลัวซาและพรรคพวก เมื่อเห็นหลินโม่กลับมา สีหน้าก็ย่ำแย่ลงกว่าเดิม
“เจ้าตำหนัก!” อาวุโสผมเงินและคนอื่นๆ ทยอยก้มคำนับ
เจ้าตำหนัก?
เจ้าสาขาลัวซามองหลินโม่ด้วยความตื่นตะลึง
“ยามนี้โม่เอ๋อร์คือเจ้าตำหนักชิงเจียวแห่งสำนักซางไห่ และเป็นผู้ปกครองตระกูลเซียวอันเก่าแก่พันปี” หลินอี้ป๋อยืดอกกล่าวอย่างทระนงตัว
ผู้ปกครองสำนักซางไห่และตระกูลเซียวเก่าแก่พันปี…
เจ้าสาขาลัวซาและพวกพ้องตะลึงตาค้างแทบถลนอีกครั้ง แม้พวกเขาจะไม่เคยไปมณฑลซางไห่ แต่ก็รู้ว่าเจ้าตำหนักชิงเจียวก็คือผู้ปกครองมณฑลซางไห่นั่นเอง แต่ไม่คิดไม่ฝันว่า เจ้าตำหนักชิงเจียวที่ทรงอำนาจพอจะให้พวกเขาแหงนมองนั้น กลับยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาแล้ว และเจ้าตำหนักผู้นี้ยังเคยเป็นศิษย์สำนักเทียนซิง ชั่ววินาทีนี้ ความเสียใจภายหลังอย่างเกินบรรยายผุดขึ้นเต็มกลางทรวงพวกเจ้าสาขาลัวซาแล้ว
อีกทั้งพวกเขายังตระหนักได้ว่า วันนี้พวกตนอย่าได้คิดว่าจะรอดชีวิตกลับไปเลย
“พวกเขามาอยู่นี่ได้อย่างไรกัน?” หลินโม่ถาม
“เจ้าตำหนัก เรื่องเป็นเช่นนี้ เจ้าพวกนี้…” อาวุโสผมเงินบอกเล่าจุดประสงค์การมาของเจ้าสาขาลัวซาออกมาอย่างหมดจด แน่นอนว่าเรื่องนี้พวกเขาก็เพิ่งเค้นถามมาเช่นกัน
ครั้นได้ยินว่าเจ้าสาขาลัวซาคิดจะข่มขู่เหล่าตระกูลหลินแล้ว คิ้วของหลินโม่พลันกระตุกขึ้นทันใด
เจ้าสาขาลัวซาทำหน้าเหมือนตายไปแล้ว ก้มหน้าต่ำไม่กล้าสบตาหลินโม่
“เจ้าตำหนัก เจ้าพวกนี้จะจัดการอย่างไรดีขอรับ?” อาวุโสผมเงินถาม ที่เจ้าสาขาลัวซาและพรรคพวกยังรอดมาถึงตอนนี้ก็เพราะรอหลินโม่มาตัดสิน
“สามเดือนก่อน ทุกเรื่องที่พวกเจ้าทำกับข้า ข้าก็ไม่ตามคิดบัญชี ท้ายสุดพวกเจ้ายังวิ่งมาหาเรื่องด้วยตัวเองถึงหน้าประตูอีก” หลินโม่กวาดมองเจ้าสาขาลัวซาและพรรคพวก สร้างความหวาดสะพรึงจนพวกเขาสั่นระริกไปทั้งตัว
“เจ้าตำหนัก ข้ามีตาหามีแววไม่ ขอท่านเจ้าตำหนักโปรดให้อภัย…” เจ้าสาขาลัวซาที่เดิมทียังแข็งทื่อไม่จำยอมเล็กน้อยพลันคุกเข่าก่อนใครในพริบตา พรรคพวกที่เหลือเมื่อเห็นสภาพการณ์จึงรีบคุกเข่าตาม
“ให้อภัย?”
หลินโม่ปราดตามองเจ้าสาขาลัวซาราบเรียบ “ตอนที่เจ้าเปิดฉากการยึดครองสี่สาขา สั่งให้พวกผู้แข็งรุ่นเยาว์พวกนั้นล้อมสังหารข้า ไฉนไม่เคยพูดว่าจะไว้ชีวิตข้าสักครากัน? อันที่จริงเรื่องพวกนี้ข้าไม่คิดบัญชีใดๆ กับพวกเจ้าแล้ว แต่เจ้ายังปลุกปั่นผู้อื่นมาจับตระกูลหลินของข้า คิดจะใช้เรื่องนี้มาคุกคามข้าหรือ? เจ้าสาขาลัวซา ข้าว่าเจ้าไม่เพียงมีตาหามีแววไม่ แม้แต่สมองก็คงเลอะเลือนไปหมดแล้วล่ะ”
“เจ้าตำหนัก…” เจ้าสาขาลัวซาหวาดกลัวจนสั่นระริก
“ทำลายการบำเพ็ญพวกสาขาลัวซาทุกคนแล้วโยนมันทิ้งไปซะ” หลินโม่สั่งเสียงเย็น
ผู้คุ้มกันพากันถาโถมเข้ามา เสียงแผดร้องอันน่าสังเวชดังขึ้นตามติดๆ เจ้าสาขาลัวซาถูกทำลายการบำเพ็ญทั้งหมด จากนั้นจึงถูกเหล่าผู้คุ้มกันถีบออกไปเรียงคน สีหน้าของเหล่าสาขาเสวียนหลิงและซางเจว๋ซีดเผือดดุจกระดาษ เหงื่อเย็นผุดขึ้นไม่ขาดสาย
“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกท่านทั้งสองสาขาก็แบ่งกันดูแลสำนักเทียนซิงก็แล้วกัน” หลินโม่เอ่ย
เจ้าสาขาเสวียนหลิงและซานเจว๋ตะลึงค้างไปทันที เดิมทีพวกเขาเตรียมตัวรับการถูกทำลายการบำเพ็ญไปแล้ว หากแต่ไม่คิดว่าหลินโม่จะปล่อยพวกเขาไป ทั้งยังให้เป็นผู้ดูแลสำนักเทียนซิงอีกด้วย
ความยินดีที่รอดชีวิตหลังหายนะปริ่มล้นทันใด หลังจากเจ้าสาขาทั้งสองชะงักไปชั่วครู่ก็สบตากันก่อนค่อยๆ คุกเข่าลง
“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปข้ายอมทำตามคำสั่งท่านเจ้าตำหนัก หากวันใดมีสองใจไม่ซื่อสัตย์ ก็จะขอตายอย่างไร้ที่ฝัง” เจ้าสาขาทั้งสองกล่าวคำสาบานหนักแน่น เมื่อคนที่เหลือเห็น จึงค่อยๆ คุกเข่าลงพร้อมกล่าวคำสาบานตามเหมือนกัน
หลินอี้ป๋อตกตะลึงก่อนเผยสีหน้ายินดีทันใด หลินโม่ทำแบบนี้ถูกต้องแล้ว หากทำลายการบำเพ็ญไปทั้งหมดละก็ ทั้งสำนักเทียนซิงและเมืองหลินโจวคงเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่
แม้หลินโม่จะควบคุมไว้ได้ ทว่าก็คงวุ่นวายไม่น้อยเช่นกัน
เพราะเหตุนี้จึงมิสู้ให้เจ้าสาขาเสวียนหลิงและพวกพ้องประคับประคองสถานการณ์เมืองหลินโจวไว้ แน่นอนว่าก็แค่เป็นประคองเบื้องหน้าเท่านั้น ในความเป็นจริงยามนี้นับได้ว่าเกือบครึ่งหลินโจวได้ตกลงในกำมือหลินโม่แล้ว
“เจ้าตำหนัก ยามนี้หลินโจวยังมีตระกูลเลี่ยวเป็นอริกับข้า หากไม่จัดการให้ดีคงยากจะเลี่ยงปัญหาใหญ่ได้” เจ้าสาขาซานเจว๋กุมมือคารวะ
“ข้าจะส่งผู้คุ้มกันสองคนตามพวกท่านไปจัดการเรื่องนี้” หลินโม่เรียกผู้คุ้มกันทั้งสองมา ให้ตามเจ้าสาขาซานเจว๋เข้าเมืองหลินโจวไปจัดการเรื่องตระกูลเลี่ยว ส่วนจะจัดการอย่างไร หลินโม่ไม่จำเป็นต้องสน แค่ส่งมอบเรื่องนี้ต่อให้หลินอี้หลี่ก็ได้แล้ว
ในเวลาอันรวดเร็ว ฝั่งทางเมืองหลินโจวก็มีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่า ตระกูลเลี่ยวได้หนีออกจากเมืองหลินโจวแล้ว
ในเวลาสั้นๆ ไม่กี่ชั่วยาม อำนาจของเมืองหลินโจวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ตระกูลหลินที่เคยตกต่ำขีดสุด ได้ผลัดเปลี่ยนเจ้าบ้านของบ้านตระกูลเลี่ยว และเปลี่ยนเป็นพื้นที่ของตระกูลหลินในที่สุด
การควบคุมเมืองหลินโจวนับว่าง่ายกว่าซางไห่ไปมาก อย่างไรเสียก็เป็นแค่เมืองระดับสามเล็กๆ พื้นที่หนึ่ง แค่จอมยุทธ์ระดับกำเนิดคนเดียวก็เพียงพอที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ระดับกำเนิดหลายคนที่มีตอนนี้เลย
ในสำนักเทียนซิงท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด อสูรเหยี่ยวขนาดมหึมาตัวหนึ่งโฉบลงจากฟ้า ก่อนร่อนตัวลงเกาะบริเวณสาขาเทียนซิงอย่างเงียบเชียบ
คนกลุ่มหนึ่งทยอยลงจากหลังอสูรเหยี่ยว
“ศิษย์พี่หนานหมิง นี่คือที่ที่ท่านเคยมาอยู่ถึงสองปีเลยหรือ? พื้นที่รกร้างชายขอบแบบนี้ พลังแห่งฟ้าดินก็แห้งขอด เทียบกับเขตนอกเมืองหวางของเราแล้วยังห่างกันไปกว่าร้อยเท่า” ชายหนุ่มในชุดเกราะหนังสัตว์สีเงินเผยหน้าไม่สบอารมณ์
“ที่นี่เทียบเมืองหวางไม่ติดดังว่าจริงนั่นล่ะ เดิมทีที่นี่เคยเป็นบริเวณที่พลังแห่งฟ้าดินเข้มข้นมาก หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ภัยพิบัติล้างโลกเมื่อห้าร้อยปีก่อน ผนวกกับสงครามภายในของพวกผู้มากอำนาจ พลังแห่งฟ้าดินก็คงไม่แห้งขอดเช่นนี้” หญิงสาวร่างอรชรงดงามถอนหายใจ ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างทอแสง ดวงหน้างดงามล่มเมืองปกคลุมไปด้วยเสน่ห์ความงามอันลึกลับ
ยามนี้ ลำแสงหนึ่งกะพริบผ่านลงมาจากฟ้า
หลังจากชายหญิงกลุ่มนี้ทอดมองตามจึงละสายตากลับมา
“คนที่เหลือจากเขตรอบนอกเมืองหวางกำลังเร่งมาแล้วเช่นกัน ดูท่าข่าวการเปิดทางสู่แดนเร้นลับใหญ่อีกแห่งของราชวงศ์ซวนหยวนคงเป็นเรื่องจริง เราต้องเตรียมการให้เร็วที่สุด เพราะด้านหลังยังมีคนอีกมากกำลังตามมา” ชายหนุ่มผู้เป็นแกนนำเอ่ย
“แดนเร้นลับใหญ่ของราชวงศ์ซวนหยวน ข้าเคยได้ยินมาว่า เมื่อนั้นราชวงศ์ซวนหยวนคิดซ่อนตัวจากเหตุการณ์ภัยพิบัติล้างโลก จึงนำสมบัติสิ่งล้ำค่ามากมายเก็บไว้ในแดนเร้นลับใหญ่ ต่อมาคนของราชวงศ์ซวนหยวนกำลังหนี แดนเร้นลับก็ถูกทำลาย ของส่วนหนึ่งตกลงมายังเทือกเขาซวนโยวแห่งดินแดนใต้ฝั่งตะวันออก ในบรรดาสิ่งที่มีมูลค่าความเสียหายสูงสุดของแดนเร้นลับ ว่ากันว่ามันคือยอดอาวุธวิญญาณน่าอัศจรรย์ที่ราชวงศ์ซวนหยวนต้องใช้เวลานับหมื่นปีขัดเกลาออกมา” ชายหนุ่มเกราะหนังสีเงินกล่าวพร้อมแววตาลุกโชน