สิ่งที่อวิ๋นอี้ไม่รู้ก็คือในเมืองหลวง เทพบุตรในสายตาของเหล่าหญิงสาวคือหรงซิว แม้ว่าผู้หญิงหลายคนจะไม่เคยเห็นหน้าที่แท้จริงของเขา แต่จากข่าวลือต่างๆ ทำให้หรงซิวได้รับการยกย่องมาอย่างยาวนานและไม่มีผู้ใดเทียบได้
รูปงาม พื้นฐานครอบครัวชีวิตดี ความสามารถดี ร่างกายแข็งแกร่ง
เหล่าบุรุษที่ทำงานหนักทั้งชีวิต ไม่ใช่เพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านี้หรอกหรือ?
กล่าวได้เลยว่าหรงซิวเกิดมาก็ยืนอยู่บนจุดหมายของทั้งชีวิตของใครหลายคนแล้ว ข้อได้เปรียบที่ไม่เหมือนผู้ใดนี้ ทำให้หลายคนอิจฉา แต่ก็ทำกระไรมิได้
ด้วยเหตุนี้ ในเมืองหลวงจึงมีธรรมเนียมหนึ่งขึ้นมา หากจะชมว่าบุรุษหล่อเหลาความสามารถดี ก็จะนำมาเปรียบเทียบกับหรงซิว
ไม่หล่อเท่าหรงซิวหรือ? แล้วจะพูดด้วยเหตุใด
พื้นเพไม่ดีเท่าหรงซิวหรือ? ขอเถิดนะอย่าพูดให้อายผู้ใดเลย
ไม่มีความสามารถอย่างหรงซิว? เหอะเหอะ ตอนนี้ผู้ใดก็พูดโวได้แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยหรือ?
ร่างกายไม่แข็งแกร่งเท่าหรงซิว? ขอบคุณนะ แต่มาทางที่ใดจงกลับไปทางนั้นเถิด
ไปๆ มาๆ หรงซิวกลายเป็นมาตรฐานของบุรุษที่สตรีต่างก็อยากแต่งงานด้วยมากที่สุดในเมืองหลวง
ชื่อเสียงที่ทำให้คนหยิ่งผยองได้เยี่ยงนี้ ตกเป็นของผู้ใดย่อมเป็นเกียรติมากเป็นธรรมดา แต่ทว่าชื่อเสียงเหล่านี้ กำลังถูกย้ายจากหรงซิวไปเป็นลู่จงเฉิงแทนเสียแล้ว
อวิ๋นอี้เห็นเซียงเหอใบหน้าหมกมุ่น จึงอดขัดจังหวะเซียงเหอไม่ได้ “เหตุนี้ลู่จงเฉิงจึงกลายเป็นชายหนุ่มที่เหล่าสตรีต่างอยากแต่งงานด้วยที่สุดแล้วหรือ?”
“ใช่น่ะสิเพคะ!” เซียงเหอพูดด้วยรอยยิ้ม “พระชายา ข้าเกรงว่าท่านไม่รู้ที่มาของท่านลู่จงเฉิงสินะเพคะ!”
อวิ๋นอี้ส่ายหัว นางไม่รู้เลย
ในความประทับใจของนาง ลู่จงเฉิงเป็นคนรวยเงินเยอะที่โง่เขลาและยังโชคร้ายอีกด้วย
หรงซิวเคยพูดถึงอาชีพของเขา บอกว่าเคยเป็นอาจารย์ในเขตเจียงหนาน
เป็นเพียงอาจารย์ จะมีที่มากระไรอีก?
ความอยากรู้ของอวิ๋นอี้ เป็นแรงให้เซียงเหอพูดต่อ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดด้วยน้ำเสียงราวกับเผยความลับ “ท่านลู่จงเฉิง เป็นถึงอัครมหาเสนาบดีของราชวงศ์เราเลยนะเพคะ!”
“…อ่า เรื่องนั้นข้ารู้”
“นี่ไม่ใช่เรื่องหลักเพคะ” เซียงเหอปัดมือ “ประเด็นคือ เขาเป็นบุตรเพียงคนเดียวของตระกูลลู่ที่เจียงหนาน”
“ตระกูลลู่ที่เจียงหนานหรือ?” เป็นอวิ๋นอี้ที่เริ่มอยากรู้แล้ว ฟังดูช่างยอดเยี่ยมนัก แต่นางไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นตระกูลแบบใดกัน
ความประหลาดใจที่เซียงเหอคาดไว้มิได้มีให้เห็น เมื่อเห็นอวิ๋นอี้ทำหน้างง นางนึกขึ้นได้ว่านางความจำเสื่อม
นางหยุดคิด ทำได้เพียงพูดให้อวิ๋นอี้ฟังคร่าวๆ อีกรอบหนึ่ง
ภายใต้คำบอกเล่าของเซียงเหอนานกว่าครึ่งชั่วยาม อวิ๋นอี้ยิ่งฟังก็ยิ่งตกใจ
ตระกูลลู่ที่เจียงหนาน มีชื่อเสียงมากในเจียงหนานและแม้กระทั่งทั้งแคว้น หลักๆ เป็นเพราะพวกเขาร่ำรวย ทั้งยังทำการค้าเก่งอีกด้วย
หัวหน้าตระกูลลู่คนปัจจุบันคือ ลู่อวิ๋นพ่อของลู่จงเฉิง
ลู่อวิ๋นมีเรื่องเล่าขานเมื่อตอนที่เขาเป็นเด็ก เขามิได้โดดเด่นในหมู่ทายาทตระกูลลู่ แถมยังดูทื่อๆ ซื่อๆ แต่เมื่อเขาอายุได้หกขวบ ได้ออกทะเลกับพ่อแม่ โชคร้ายที่เกิดพายุในทะเลเข้าปะทะ ทำให้ตกลงไปในทะเล
ทุกคนคิดว่าเขาต้องตายแล้วเป็นแน่ จึงไม่ได้ทำการค้นหา ผู้ใดจะรู้ว่าหนึ่งเดือนต่อมา ลู่อวิ๋นไม่เพียงแต่กลับบ้านอย่างปลอดภัย ทั้งยังนำกล่องอัญมณีกลับมาด้วย
หลังจากครานั้น ลู่อวิ๋นก็โชคดีตลอดมา ไม่ว่าเขาทำการใดทุกอย่างล้วนเป็นเลิศเลยทีเดียว
เขากลายเป็นหลานที่โดดเด่นที่สุด และกลายเป็นหัวหน้าตระกูลที่เก่งกาจที่สุด
เดิมทีตระกูลลู่นับว่าร่ำรวยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลังจากที่ลู่อวิ๋นรับช่วงดูแลตระกูลต่อ ในเวลาเพียงห้าปี ก็กลายเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อในราชวงศ์ต้าอวี่
“กระนั้นต้องรวยมากเลยใช่หรือไม่?” อวิ๋นอี้ถึงกับปิดปากไม่ลง ถามต่อ
เซียงเหอพูดอย่างไม่พอใจที่ตีเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า [1] “ไม่ใช่แค่รวยมากเพคะ แต่รวยสุดๆ! กิจการห้าในสิบในเมืองหลวงเป็นของตระกูลลู่ทั้งสิ้นเพคะ”
“ขนาดนั้นเชียว!” อวิ๋นอี้ถามกลับ
เซียงเหอยิ้ม เตือนสตินางอีกว่า “ท่านลู่จงเฉิงเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลลู่เพคะ ซึ่งหมายความว่าเงินทั้งหมดนั่นต่อไปก็จะเป็นของเขา มีเงินมีฐานะทั้งยังหล่อเหลา ผู้ใดมิอยากได้เขาเล่าเพคะ?”
อยากสิ อยากสิ แม้แต่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วอย่างนาง ยังหวั่นไหวเช่นนี้
ขณะที่นางอยู่ในภวังค์ เซียงเหอก็เอารูปมาวางไว้ข้างหน้านาง “พระชายาเพคะ ท่านน่าจะเคยเห็นอัครมหาเสนาบดีขวาลู่ใช่หรือไม่เพคะ ท่านดูให้หน่อยเถิดเพคะว่านี่เหมือนกับเขาหรือไม่?”
ครั้งก่อนๆ ที่ลู่จงเฉิงมาบ้าน เซียงเหอไม่เคยเห็นเขามาก่อน
อวิ๋นอี้เปิดดูภาพ ก็อดขำออกมามิได้
คนในภาพหน้าตาดี แต่นั่งอยู่บนพระที่นั่งบัวที่มีแสงสีทองประกายอยู่ข้างหลัง นี่มันหมายความอย่างไร?
เขากลายเป็นเทพเซียนแล้วหรืออย่างไร?
อวิ๋นอี้ตอบคำถามสองสามข้อจากเซียงเหอ เก็บรูปไว้ คิดว่าจะนำรูปไปให้ลู่จงเฉิงดูวันหลัง
ช่วงนี้ร้านตัดเสื้อกำลังเป็นที่พูดถึง ประกอบกับข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับลู่จงเฉิง ทำให้คนเต็มร้านทุกวัน
เหล่าสตรีหลายคนรวมตัวกันมาที่นี่ ตอนเช้ามาแล้ว ตอนบ่ายก็มาอีก ตอนเย็นก่อนร้านจะปิด ก็ยังมาอีกรอบ
มาวันละสามครั้ง ซื้อเสื้อผ้าหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่อง แต่ทุกครั้งที่มาจะต้องถามจ่างกุ้ยว่า เถ้าแก่ลู่เข้ามาหรือยัง
จ่างกุ้ยส่ายหัวและยิ้มแหยๆ ทุกครั้ง “มหาเสนาบดีลู่ยุ่งกับงานราชการขอรับ ปกติแล้วจะไม่ค่อยเข้าร้านขอรับ”
แม้จะพูดอย่างนั้นแล้ว แต่เหล่าสตรีก็ไม่ลดละ ทุกคนต่างเหยียดปากพูด “อย่างไรเสียร้านก็อยู่ตรงนี้ ข้าจะรอ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่โผล่มาเลย!!”
เสียงหัวเราะเบาๆ ของเหล่าสตรีดังมาจากชั้นล่างอย่างชัดเจน
อวิ๋นอี้ปิดหน้าต่าง ตัดขาดการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก แล้วหันไปมองชายที่นั่งอยู่บนเบาะนั่ง
คือลู่จงเฉิงอย่างไม่ต้องสงสัย
อันที่จริงเขามาที่นี่ทุกวัน แต่เมื่อกลายเป็นบุคคลสาธารณะ เขาจะเข้าทางที่ขึ้นไปด้านบนโดยเฉพาะ
เหล่าสตรีผู้ใดที่มารอ ก็ต้องคว้าน้ำเหลวกลับไปทุกครา
อวิ๋นอี้นั่งตรงข้ามเขา รินชาให้ตัวเอง แล้วถามว่า “พอใจกับรายได้ช่วงนี้หรือไม่เจ้าคะ?”
บัญชีถูกวางลงต่อหน้าลู่จงเฉิง สายตาของเขากวาดมามองที่อวิ๋นอี้ พยักหน้าเบาๆ “พอใจพ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้ท่านเชื่อข้าแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ลู่จงเฉิงเลิกคิ้วขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “เชื่อพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นอี้เอียงคอ หรี่ตายิ้มพูด “ส่วนโรงเตี๊ยมของท่าน มิต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ตอนนี้ข้าต้องเตรียมของบางสิ่งก่อน รออีกสองสามวัน แล้วข้าจะทำให้มันเกิดใหม่!”
หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มาหลายครา ลู่จงเฉิงก็เชื่อมั่นในแนวคิดของอวิ๋นอี้มาก
เขาพยักหน้าเล็กน้อย “ในเมื่อมอบหมายให้ท่านแล้ว ท่านทำได้ตามใจเลยพ่ะย่ะค่ะ ข้าต้องการเพียงผลลัพธ์”
“เยี่ยม!” อวิ๋นอี้ปรบมือ นางชื่นชมบุรุษกล้าหาญเช่นนี้
หลังจากพูดคุยเกี่ยวกับการค้าขายจบแล้ว พวกเขาต่างก็เงียบลง
ลู่จงเฉิงอ่านบัญชีต่อไป ในขณะที่อวิ๋นอี้ชันแก้มมองเขา
เขาดูไร้ที่ติเสียจริง
หากความหล่อของหรงซิวลึกซึ้งและน่าดึงดูด งดงามอย่างน่าทึ่งละก็ ความหล่อของลู่จงเฉิงก็เป็นความงามอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นความเรียบง่ายที่นิ่งสงบ ทำให้เขาดูหนักแน่นได้อยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นเวลาใด
อวิ๋นอี้มองขนตายาวของเขา ตกอยู่ในภวังค์อย่างอดไม่ได้
จนกระทั่งถ้วยชาถูกวางลงตรงหน้านาง ลู่จงเฉิงเคาะโต๊ะเบา ๆ “ดื่มชาเถิดพ่ะย่ะค่ะ อย่ามองข้าเลย”
“……”
อวิ๋นอี้กระแอม รู้สึกน่าอายเป็นอย่างมาก
นางมีประสบการณ์ในการกู้สถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้ ไม่นานอวิ๋นอี้ก็เอาภาพวาดเหมือนมาจากด้านหลัง แล้วกางออกบนโต๊ะ
การกระทำของนางปลุกเร้าความอยากรู้ของลู่จงเฉิง เขาอดไม่ได้ที่จะมองไป
เมื่อเห็นว่าคนในรูปคือเขา นั่งอยู่บนที่นั่งดอกบัว มุมปากก็อดกระตุกไม่ได้ “นี่กระไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“ท่านไงเจ้าคะ!” อวิ๋นอี้เบิกบานใจมาก “ในสายตาของสาวๆ มหาเสนาบดีเป็นเช่นนี้เจ้าคะ!”
“……”
ใบหน้าไร้อารมณ์ของลู่จงเฉิง เริ่มมีอาการ
เขากระแอมเบา ๆ เตือนอวิ๋นอี้ว่า “เอาภาพวาดมาให้ข้า”
“ท่านต้องการเก็บภาพไว้หรือ?” อวิ๋นอี้รู้สึกประหลาดใจ “ไม่ได้เจ้าค่ะ ทุกครั้งที่ข้าดูภาพนี้ข้าหัวเราะราวกับคนเสียสติ ข้าให้ท่านมิได้หรอก”
“เอามาพ่ะย่ะค่ะ” ลู่จงเฉิงพูดอีกครั้ง
อวิ๋นอี้ม้วนรูปขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า กำลังจะเอามันเข้าไปในอ้อมอก
แต่ผู้ใดจะรู้ว่า ลู่จงเฉิงที่กำลังนั่งเงียบๆ อยู่เมื่อครู่ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งเข้ามาหานาง
การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดทำให้อวิ๋นอี้ตกตะลึงอยู่กับที่ นางไม่ได้หลบ ลู่จงเฉิงเลยโอบนางไว้ในอ้อมแขนของเขา
ทันทีที่ร่างกายอยู่แนบชิดกัน นางได้กลิ่นอันหอมหวนบนร่างกายของเขาได้อย่างชัดเจน เหมือนกับตอนที่เขาอุ้มนางลงจากภูเขาในวันที่ฝนตก ค้างอยู่ที่ปลายจมูกไม่คลาย
หัวใจของเขาเต้นเร็ว แต่น้ำเสียงยังสงบนิ่ง หลังจากดึงภาพออกจากมือของนางแล้ว เขาถึงเพิ่งจะตระหนักได้ถึงความแนบชิดระหว่างพวกเขาทั้งคู่
ลู่จงเฉิงถอยหลังไปสองสามก้าวทันที เขามองไปที่อวิ๋นอี้ เม้มปาก และสุดท้ายก็ไม่พูดกระไรออกมา
เขากลับไปนั่ง วางรูปนั้นไว้ข้างๆ และอ่านบัญชีต่อไปราวกับว่าไม่มีกระไรเกิดขึ้น
อวิ๋นอี้หน้าแดง นางยืนนิ่งอยู่นาน ถึงได้ขยับเท้าแล้วนั่งลง
จนกระทั่งถึงเย็น ร้านตัดเสื้อปิดแล้ว ทั้งสองถึงได้ลงไปข้างล่างด้วยกัน
จ่างกุ้ยรายงานผลของกิจการอย่างละเอียด แล้วพูด “เถ้าแก่ขอรับ ในความคิดของข้า ร้านของเรายังเล็กอยู่ ช่วงนี้มีลูกค้าเยอะและกระแสก็มากขึ้นเรื่อยๆ ท่านคิดจะขยายร้านหน่อยหรือไม่ขอรับ?”
ลู่จงเฉิง ได้ยินแล้วก็พยักหน้า มองไปที่อวิ๋นอี้ พูดว่า “พระชายาคิดอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าคิดว่าเรายังมิต้องรีบหรอก ลูกค้าชอบที่จะแย่งกันซื้อ ก็เหมือนกับสินค้ายิ่งมีจำนวนจำกัด ยิ่งแย่งกันราวกับจะปล้น เวลานั้นยังไม่ต้องขยายร้านหรอกเจ้าค่ะ จดจ่ออยู่กับงานตอนนี้ก่อนจะดีกว่า”
“ในเมื่อพระชายาว่าเช่นนั้น ตอนนี้เราก็ทำตามนี้ไปก่อน” ลู่จงเฉิงพูด ทั้งสองก็มาถึงประตูร้านพอดี
ข้างนอกฝนตกปรอยๆ
ฤดูวสันต์เป็นเช่นนี้เสมอ ดูเศร้าแต่ช่างงดงาม
ลู่จงเฉิงมองท้องฟ้าที่มืดมิดแล้วถามอวิ๋นอี้ว่า “คืนนี้องค์ชายมิมารับท่านหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“น่าจะมาเจ้าค่ะ” อวิ๋นอี้ตอบ ช่วงนี้ตอนกลางคืนหรงซิวจะมารับนางตรงเวลาตลอด เป็นบุรุษที่ดีนัก
“กระนั้นข้าจะรอเป็นเพื่อนจนกว่าองค์ชายจะมา” หลังจากที่ลู่จงเฉิงพูดจบ ทั้งสองก็เงียบลงอีกครั้ง
เสียงฝนโปรยปราย ฟ้าและพื้นดินราวกับถูกทอด้วยตาข่ายหนาทึบ ทั้งใกล้และไกลมีหมอกลง ท้องถนนดูไม่ใช่ท้องถนน โลกมนุษย์ก็ดูไม่เหมือนโลกมนุษย์
อวิ๋นอี้นึกถึงคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจมาเนิ่นนาน อดไม่ได้ที่จะถาม “อัครมหาเสนาบดีขวาลู่เจ้าคะ ข้าได้ยินข่าวลือในตลาดว่าการค้าขายของบิดาของท่านใหญ่โตมากหรือเจ้าคะ?”
“พ่ะย่ะค่ะ” ลู่จงเฉิงไม่ได้ปิดบัง พูดเบาๆ ว่า “ใหญ่โตและมากมายนักพ่ะย่ะค่ะ ผู้คนต่างพูดกันว่า เจียงหนานมิใช่เจียงหนาน แต่เป็นเจียงหนานของตระกูลลู่”
“……”
อวิ๋นอี้อ้าปากค้าง เขาไม่ได้ถ่อมตัวเลยจริงๆ แต่นางยังมีคำถามอื่นอีก นางทำได้แค่ระงับคำต่อว่าแล้วพูดต่อ “แล้วเหตุใดท่านถึงยังต้องพยายามมีกิจการของตนเองเล่าเจ้าคะ?”
ลู่จงเฉิงหันหน้ามามองนางอย่างจริงจัง “เพราะหากข้าไม่พยายาม ข้าจะต้องกลับไปสืบทอดมรดกมหาศาลของตระกูล”
“……”
ตรรกะบ้าบอกระไร
อวิ๋นอี้แทบทนไม่ไหวอยากจะตบหน้าตัวเองเสีย
นางไม่ควรถามเลย เป็นเพื่อนกับคนรวย ไม่ว่าจะถามกระไร มีเพียงนางที่เจ็บปวด
เชิงอรรถ
[1] ตีเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า 恨铁不成钢 เปรียบเปรยถึง ไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของคน พยายามกวดขันแล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผล