กลางดึก ณ Zijing Palace Garden
ถังอวี้หลันนั่งบนโซฟาคลาสสิกสไตล์ยุโรป เธอจิบชาพลางคุยโทรศัพท์ไปด้วย “นายสวี เป๋าเหยียนกับเจี่ยนอันเป็นอย่างไรบ้าง”
ถังอวี้หลันรู้ดีว่าสองคนนั้นไม่ได้ชอบพอกันก่อนแต่งงาน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะสวีทหวานกันเหมือนคู่อื่นๆ แต่คนเราพออยู่ด้วยกันนานวันเข้าความรู้สึกพิเศษก็ก่อตัวขึ้นได้ เธอกลัวก็แต่ทั้งสองคนแต่งงานกันแล้วก็จริง แต่ความสัมพันธ์กลับหยุดอยู่แค่เพื่อนร่วมชายคาเดียวกัน จึงให้ลุงสวีคอยจับตาดู หากมีอะไรให้รีบโทรหาเธอทันที
ฝั่งลู่เป๋าเหยียนเขารู้ดีว่าแม่เป็นคนอย่างไร จึงกำชับกับลุงสวีมาเช่นกัน ลุงสวีจึงรายงานไปอย่างรู้งานว่า
“คุณนายไม่ต้องกังวลไปครับ คุณชายกับคุณผู้หญิงสบายดี วันนี้ทั้งสองคนเดินทางไปเยี่ยมบ้านฝ่ายหญิงมาเรียบร้อย ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ครับ”
ถังอวี้หลันยิ้ม “งั้นค่อยวางใจหน่อย อ๋อใช่ นายสวี ช่วยจัดการเรื่องหนึ่งให้ฉันหน่อย…”
ลุงสวีฟังสิ่งที่ถังอวี้หลันสั่งจบก็ถึงกับเหงื่อตก “คุณนาย ถ้าคุณชายรู้เข้าล่ะก็ ผมคง…คงถูกส่งไปอยู่แอฟริกาแน่ๆ คุณนายเอาจริงเหรอครับ?”
“จะกลัวอะไร มีฉันอยู่ทั้งคน ถึงเวลาถ้าเป๋าเหยียนรู้เรื่องแล้ว เธอก็บอกไปว่าฉันสั่งมา เขาไม่กล้าส่งเธอไปแอฟริกาหรอกนะ วางใจแล้วไปจัดการให้เรียบร้อย”
ลุงสวีกัดฟันพูดออกมาว่า “ครับ!”
ถังอวี้หลันได้ยินดังนั้นจึงวางสายอย่างพอใจ นั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ “ระหว่างรอข่าววันพรุ่งนี้ คืนนี้ฉันคงได้นอนหลับฝันดีซะที”
วันรุ่งขึ้น
วันลาของซูเจี่ยนอันหมดลงแล้ว เธอหมดเหตุผลที่จะนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงอีกต่อไป หลังนาฬิกาปลุกตอนเจ็ดโมงกว่าเธอจึงรีบลุกขึ้นมา
เมื่อล้างหน้าแปรงฟันและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เธอจึงเดินออกจากห้อง คิดไม่ถึงว่าจะเจอลู่เป๋าเหยียนเป็นคนแรก
เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีดำพอดีตัวทำให้เขาดูสงโปร่ง เขายกเสื้อคลุมพาดไว้บ่นไหล่ด้วยท่าทางสบายๆ กิริยาที่ใครก็ทำได้ แต่ทำไมพอเขาทำมันช่างดูสง่างามไปหมด เธอถูกเขาดึงดูดโดยไม่รู้ตัว
ผู้ชายคนนี้มันปีศาจชัดๆ อันตราย!
ซูเจี่ยนอันแกล้งทำเป็นไม่สนใจเขา แล้วรีบเดินไปทานอาหารเช้า
อาหารเช้าวันนี้เป็นสไตล์จีน มีทั้งโจ๊กปลาแสนอร่อยและเสี่ยวหลงเปาหอมกรุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอชอบสุดๆ
ลุงสวีหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาสองฉบับ ฉบับหนึ่งวางไว้ข้างมือลู่เป๋าเหยียน แล้วหันมาถามเธอ “คุณผู้หญิงอยากอ่านหนังสือพิมพ์ไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เวลานี้เธอสนใจเสี่ยวหลงเปาตรงหน้ามากกว่า
แต่ลุงสวีก็ยังคงนำหนังสือพิมพ์มาวางไว้ข้างมือเธอ “มีข่าวซุบซิบของคุณชาย และของคุณผู้หญิงด้วยนะครับ จะไม่อ่านจริงๆ เหรอครับ”
ที่แท้อย่างนี้นี่เอง เธอรีบวางช้อนแล้วหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านทันที แค่อ่านพาดหัว เธอก็ถึงกับช็อก
“ผอ.ลู่ลอบวิวาห์สายฟ้าแลบ!”
การแต่งงานของเธอกับลู่เป๋าเหยียนเป็นข่าวซะแล้ว! แต่ยังดีที่พวกนักข่าวยังขุดได้ไม่ลึก แค่บอกว่าลู่เป๋าเหยียนแต่งงานแล้ว และเจ้าสาวไม่ใช่แฟนสาวในข่าวซุบซิบอย่างหานรั่วซีแต่เป็นคนอื่น ส่วนผู้หญิงคนนั้นคือใคร พวกสื่อยังไม่ทราบแน่ชัด
ซูเจี่ยนอันชักรู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้าพวกสื่อรู้ว่าคนที่แต่งงานกับลู่เป๋าเหยียนคือเธอล่ะก็…อีกหน่อยเธอคงไม่ต้องออกจากบ้านกันพอดี ไม่อย่างนั้นคงได้ถูกแฟนคลับหานรั่วซีฆ่าแน่ๆ
ทางด้านลู่เป๋าเหยียนกลับสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด เขาวางหนังสือพิมพ์ลงอย่างกับว่าไม่เห็นมีอะไรพิเศษ และก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าต่อไป
ลุงสวีถามหยั่งเชิง “คุณชายจะให้ผมไปสืบไหมครับว่าใครเป็นปล่อยข่าว หรือว่าจะให้ผมแจ้งความหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ดีครับ”
“ไม่ต้อง” เขารู้ดีว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้
ลุงสวีถอนหายใจอย่างโล่งใจ “ได้ครับ งั้นเชิญตามสบายนะครับ ผมขอตัวไปตรวจเช็คบัญชีของเมื่อเดือนที่แล้วก่อนนะครับ”
ซูเจี่ยนอันรู้สึกไม่สบายใจ “ลู่เป๋าเหยียน ถ้าพวกนักข่าวรู้ว่าฉันแต่งงานกับนายแล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้”
“เธอกลัวงั้นเหรอ” เขาถาม
“แน่สิ ฉันเกลียดความวุ่นวายที่สุด ถ้าขืนเป็นแบบนี้ อีกหน่อยฉันคงกลายเป็นเหยื่อในออฟฟิศแน่ๆ”
ถ้าเป็นแบบนั้นเธอต้องแย่แน่ๆ เธอไม่มีวันปล่อยให้โศกนาฏกรรมนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด
ลู่เป๋าเหยียนยิ้ม “วางใจได้ เขาคงยังไม่ปล่อยข่าวเรื่องเธอ”
“เอ๋? นายหมายความว่าไง”
ลู่เป๋าเหยียนไม่สนที่จะตอบคำถามเธอ
ซูเจี่ยนอัน “เชอะ” ใส่เขาไปหนึ่งที และไม่ถามอะไรต่ออีก เธอก้มหน้าอ่านข่าวบันเทิงต่อ จึงพบว่าข้างล่างข่าวของลู่เป๋าเหยียนคือข่าวของหานรั่วซี
“หานรั่วซีเมาเละหลังถูกหักอก”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของหานรั่วซีคือสาวมั่นผู้เย่อหยิ่ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกพวกปาปารัสซีถ่ายภาพตอนเมาอย่างหมดสภาพในผับ จากภาพ เธอกำลังขาดสติ คราบน้ำตายังคงติดอยู่บนใบหน้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง พวกนักข่าวเดาว่า เป็นเพราะการแต่งงานของลู่เป๋าเหยียน ทำให้เธอเจ็บปวดมากจนกลายเป็นแบบนี้
ลู่เป๋าเหยียนก็คงเจ็บเหมือนกันสินะ? ซูเจี่ยนอันลอบมองลู่เป๋าเหยียน เขาดูนิ่งมากเหมือนเดิม
นี่เขามองไม่เห็นข่าวของหานรั่วซี หรือไม่สนใจจริงๆ กันแน่?
แต่คำตอบของคำถามนั้น ซูเจี่ยนอันเองก็ไม่ได้อยากรู้สักเท่าไร