ซูเจี่ยนอันเกลียดเวลาที่คนแปลกหน้ามาแตะตัวเธอที่สุด เธอจึงกระแทกส้นสูงลงบนเท้าของเส้าหมิงจง
“อย่ามาแตะตัวฉัน!”
เธอเหยียบลงมาอย่างเต็มแรง เส้าหมิงจงเจ็บมาก แต่หากร้องออกไปคงเสียหน้า จึงได้แต่กัดฟันทนจนใบหน้าภายใต้หน้ากากบิดเบี้ยวไปหมด มีดในมือของเขาเฉียดผ่านคอซูเจี่ยนอันไปนิดเดียว
“อยากตายหรือไง!”
“ใจเย็นหน่อยสิ ฉันตายแล้วนายจะเอาอะไรไปต่อรองกับลู่เป่าเหยียนล่ะ”
ซูเจี่ยนอันยิ้มบางพลางขยับมือทำอะไรบางอย่าง
เส้าหมิงจงไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร จึงพูดกับลู่เป๋าเหยียนว่า “ลู่เป๋าเหยียน ฉันให้เวลาแกห้าวิ เลือกมา!”
ลู่เป๋าเหยียนมองไปทางซูเจี่ยนอัน ทุกคนนึกว่าเขาจะเลือกปล่อยเธอ ทว่า
“ปล่อยรั่วซี”
คำตอบที่ออกมา ทำเอาทุกคนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เมื่อหานรั่วซีถูกปล่อยตัว ทุกคนต่างสงสารซูเจี่ยนอันเป็นอย่างมาก
แต่ทุกคนก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่ซูเจี่ยนอันยังคงดูสงบนิ่ง เหมือนกับว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
สมเป็นผู้หญิงที่ทำอาชีพแพทย์นิติเวช
เส้าหมิงจงยิ้มอย่างพอใจในการเลือกของลู่เป๋าเหยียน เขาเรียกเส้าหมิงเหรินมาลากตัวซูเจี่ยนอันออกไปอย่างรวดเร็ว
คนทั้งห้องจัดงานต่างถกเถียงกันในเรื่องที่เกิดขึ้น หานรั่วซีเดินอย่างอ่อนแรงมาหาลู่เป๋าเหยียน
“เป๋าเหยียน” เธอพูดเสียงสั่นพร้อมจับมือเขาอย่างหาที่พึ่ง
“ฉันจะให้คนไปส่งเธอที่บ้าน”
สายตาของลู่เป๋าเหยียนยังคงหยุดอยู่ที่ตำแหน่งที่ซูเจี่ยนอันโดนนำตัวไปเมื่อครู่ พูดจบเขาก็ทำท่าจะเดินออกไป
“อย่าไปนะ!” หานรั่วซีขว้าแขนเขา “สองคนนั้นอันตรายเกินไป ให้ตำรวจเป็นคนจัดการเรื่องนี้เถอะค่ะ”
ลู่เป๋าเหยียนหันมามองหานรั่วซีเพียงแค่แวบเดียว เขาสะบัดมือเธอแล้วเดินออกไปทันที
หานรั่วซียืนเหม่ออย่างใจลอย มองตามแผ่นหลังของลู่เป๋าเหยียนไป
ถ้าเธอมองไม่ผิดละก็ ในสายตาของเขาปนความ…กังวล
ไหนเขาบอกว่าไม่สนใจซูเจี่ยนอัน ไหนเขาบอกว่าที่แต่งงานเพียงเพราะอยากให้แม่ดีใจเท่านั้น แล้วเขาจะกังวลเรื่องเธอทำไมกัน?
ทุกคนคิดว่าคนที่ลู่เป๋าเหยียนเลือกคือหานรั่วซี แต่ไม่รู้เลยว่าวินาทีนี้หานรั่วซีเองยอมให้เขาปล่อยเธอไปเสียดีกว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นคนที่เขากำลังตามหาอยู่ตอนนี้คงเป็นเธอ…
ด้านนอกห้องจัดเลี้ยง เมื่อลู่เป๋าเหยียนเดินเข้าไปในลิฟต์ก็รีบโทรศัพท์หาเสิ่นเยว่ชวนทันที
เกิดเรื่องขึ้นสักระยะแล้ว เสิ่นเยว่ชวนน่าจะได้รับแจ้งจากทางโรงแรม และเริ่มสืบเรื่องให้เขาแล้ว
เป็นอย่างที่เขาคิด เมื่อเสิ่นเยว่ชวนรับโทรศัพท์ก็รายงานทันทีว่า “หลังจากรถของสองพี่น้องตระกูลเส้าขับออกไป ฉันให้คนตามไปแล้ว นายขับรถตามไปได้เลย เดี๋ยวฉันจะพาคนไปสมทบอีกที”
ลู่เป๋าเหยียนรีบขับรถขับตามเส้นทางที่เสิ่นเยว่ชวนส่งมาให้ สีหน้าของเขาในตอนนี้เย็นชาเสียจนบรรยากาศรอบกายเย็นเยียบไปด้วย
การที่สองพี่น้องตระกูลเส้ากล้าลงมือกับซูเจี่ยนอัน เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ!
อีกด้าน เสิ่นเยว่ชวนรีบติดต่อแก๊งของหวังไผที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเมือง A พอดีมาช่วยจัดการเรื่องนี้ เมื่อรู้ว่าเป้าหมายเป็นเพียงแค่พี่น้องเจ้าของบริษัทเล็กๆ ที่เพิ่งล้มละลาย หัวหน้าแก๊งถึงกับสบถออกมา “จัดการพวกกระจอกแค่นี้ ต้องถึงมือผมด้วยเหรอ ให้ตำรวจจัดการก็พอมั้ง”
“จะแจ้งตำรวจไม่ได้” เสิ่นเยว่ชวนกล่าว “อาซ้อของพวกนายไม่อยากให้เรื่องที่เธอคือคุณนายลู่ถึงหูพวกตำรวจ อีกอย่าง ที่พี่ใหญ่สั่งให้พวกนายมาเมือง A ก็เพราะ…”
หัวหน้าแก๊งหน้าเสีย “ก็เพื่อเอาไว้รับมือเรื่องเล็กๆ พวกนี้ ปกป้องอาซ้อ?”
“อือฮึ”
หัวหน้าแก๊งและลูกน้องเข้าใจเสียทีว่า ทำไมช่วงนี้พวกเขาถึงถูกสั่งให้ไปจัดการแค่พวกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในเมือง A ว่าแล้วก็อยากร้องไห้ “ไหนว่าเดี๋ยวอีกสองปีก็หย่ากันแล้วไง การแต่งงานระยะสั้นแบบนี้พี่ใหญ่ไม่ควรจริงจังขนาดนี้ ปล่อยๆ ไปบ้างก็ได้นี่!”
เสิ่นเยว่ชวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วถอนหายใจยาว
“คนที่รู้แต่เรื่องรบราฆ่าฟันอย่างพวกนายจะไปเข้าใจอะไร”
ขนาดเขาเองยังเริ่มงง ว่าตกลงลู่เป๋าเหยียนต้องการจะทำอะไรกันแน่
คนที่เริ่มงงเหมือนกันก็คือ สองพี่น้องตระกูลเส้า
ตอนแรกคนที่ถูกลักพาตัวคือซูเจี่ยนอัน แต่ทำไมตอนนี้…กลายเป็นพวกเขาซะเองที่ถูกมัดแขนมัดขานอนกองอยู่ตรงนี้!
ยี่สิบนาทีก่อนหน้านี้
สองพี่น้องตระกูลเส้าพาซูเจี่ยนอันมาที่เมืองรกร้างข้างๆ ขณะที่เส้าหมิงเหรินกำลังโทรสั่งอาหารอยู่ที่ชั้นล่าง เส้าหมิงจงก็อยู่กับซูเจี่ยนอันด้านบนของอพาร์ทเมนต์โทรมๆ แห่งหนึ่ง
เส้าหมิงจงพูดเสียงโหด “ตอนแรกพวกเราพักอยู่ในคอนโดหรูใจกลางเมือง แต่เป็นเพราะลู่เป๋าเหยียน ทำให้พวกเราต้องมาอุดอู้อยู่ในที่แบบนี้!”
“ลู่เป๋าเหยียนขโมยเงินพวกนายหรือไง” ซูเจี่ยนอันถาม
“ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ บริษัทของพวกเราแข่งขันกับลู่เป๋าเหยียน แต่สุดท้าย…” สุดท้ายพวกเขาแพ้ย่อยยับจนเงินทุนไม่มีเหลือ
เขาไม่อยากคิดถึงความทรงจำในตอนนั้นอีก
ซูเจี่ยนอันกะพริบตาปริบๆ “งั้นก็ต้องโทษที่พวกนายเก่งไม่เท่าเขาเอง ปัญหาอยู่ที่ ‘ความเก่ง’ ของพวกนาย ไม่ได้อยู่ที่ ‘เขา’ ล้มตรงไหนก็ลุกจากตรงนั้นสิ การที่พวกนายมาลักพาตัวฉันเป็นการแก้ปัญหาผิดจุดไม่ใช่เหรอ”
เขาสู้ลู่เป่าเหยียนไม่ได้…จุดนี้แหละที่เป็นแผลลึกในใจของเส้าหมิงจง ซูเจี่ยนอันตั้งใจซ้ำเติมเขา
เขาลากซูเจี่ยนอันมาที่เก้าอี้อย่างแรง แล้วผูกข้อมือเธอเอาไว้ด้านหลัง “นั่งซะ ฉันจะทำให้ลู่เป๋าเหยียนรู้ว่ารสชาติของการสูญเสียมันเป็นยังไง”
ซูเจี่ยนอันไม่ขัดขืน แถมยังยิ้มออกมา เส้าหมิงจงคิดผิดแล้ว ลู่เป๋าเหยียนสนใจเธอที่ไหนกัน ถึงจะเสียเธอไปเขาก็คงไม่รู้สึกอะไร
ท่าทางไม่ว่าจะทำอย่างไรพี่น้องคู่นี้ก็คงไม่เข้าใจ แต่ว่ามีความจริงบางอย่างที่เธออยากจะบอกเส้าหมิงจง
“เส้าหมิงจง นายรู้หรือเปล่าว่าฉันทำงานอะไร” เธอถาม
“ไม่ใช่ว่าเธอแต่งงานกับลู่เป๋าเหยียนแล้วหรือไง ยังต้องทำงานอีก?”
“ใครบอกนายว่าแต่งเข้าตระกูลใหญ่แล้วไม่ต้องทำงานกัน” ซูเจี่ยนอันยิ้มพลางอธิบายช้าๆ “ฉันเป็นแพทย์นิติเวชพิเศษของสถานีตำรวจประจำเมืองนี้ วันๆ อยู่แต่กับศพ อย่างเช่นถ้านายโชคร้ายกลายเป็นศพแล้วละก็ ฉันสามารถผ่าหน้าอกเอาเครื่องในนายออกมา หรือตัดชิ้นส่วนเครื่องในนายไปทำการทดลองวิเคราะห์สาเหตุการตายก็ได้นะ…”
เส้าหมิงจงยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแย่ แต่ก็ไม่อยากแสดงให้ซูเจี่ยนอันเห็นว่าเธอทำเขาตกใจ จึงยกบุหรี่ขึ้นมาสูบกลบเกลื่อน
“สูบบุหรี่ดูคล่องเชียว สูบมานานเป็นสิบปีแล้วสิ? รู้หรือเปล่าว่าปอดนายตอนนี้จะเป็นยังไง” ซูเจี่ยนอันบรรยายอย่างเห็นภาพ “จะมีจุดดำๆ เต็มปอดนาย เหมือนเชื้อราขึ้นเลยล่ะ”
เส้าหมิงจงชักจะทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาดับบุหรี่แล้วถลึงตาใส่ซูเจี่ยนอัน “เธอต้องการจะสื่ออะไร”
“ปล่อยฉัน” ซูเจี่ยนอันพูด “ถึงฉันจะไม่ได้ถูกบรรจุเป็นทางการ แต่ก็นับว่าเป็นข้าราชการเหมือนกัน นายไม่รู้หรือไงว่าการลักพาตัวฉันผลลัพธ์มันแย่ยิ่งกว่าลักพาตัวหานรั่วซีซะอีก”
“ฮึ ปากเก่งนักนะ” เขาถอดเสื้อออก เดินท่อนบนเปลือยเปล่าเข้ามาใกล้ซูเจี่ยนอัน
“ฉันจะคอยดู ว่าเธอจะปากเก่งได้อีกนานแค่ไหน”
มือทั้งสองข้างของเขาจับลงบนแขนเก้าอี้ ก้มตัวลงมา สายตาที่มองซูเจี่ยนอันเริ่มแปรเปลี่ยน
“ฉันว่าเธอก็ไม่ได้แพ้หานรั่วซีนะ ลู่เป๋าเหยียนช่างโชคดีในเรื่องพวกนี้จริงๆ”
ซูเจี่ยนอันยิ้มอ่อน ยกขาขึ้น แล้วใช้รองเท้าส้นสูงของเธอเตะเข้าไปที่หว่างขาของเส้าหมิงจงเต็มแรง
“อ๊ากกก!”
หนนี้เจ็บยิ่งกว่าตอนโดนเธอเหยียบเท้าเมื่อครู่เป็นพันเท่า เส้าหมิงจงเจ็บจนหน้าเขียว เสียงร้องโอยครวญดังเสียจนหลังคาแทบสั่น
ซูเจี่ยนอันถือโอกาสที่เขายังไม่มีแรงลุกขึ้นมา แกะเชือกของจากมือตัวเองแล้วนำไปมัดมือเส้าหมิงจงแทน
เส้าหมิงจงมองการกระทำอันคล่องแคล่วของซูเจี่ยนอันอย่างไม่เชื่อสายตา เป็นไปได้อย่างไรเขามัดอย่างดีแล้วแท้ๆ ซูเจี่ยนอันแก้ปมออกมาได้อย่างไรกัน?
“ฉันเคยเรียนมาน่ะ ปมที่นายผูกแก้ง่ายไปหน่อยนะ ไม่ต้องใช้สมองมากก็แก้ออกมาได้สบายๆ” ซูเจี่ยนอันพูดพลางหยิบสกอตช์เทปใสมาปิดปากเส้าหมิงจง แถมยังมัดขาทั้งสองข้างของเขาไว้ แล้วจึงหยิบท่อนไม้ไปแอบหลังประตูเพื่อรอเส้าหมิงเหรินเดินเข้ามา
“อื้อ อื้อ อื้อ” เส้าหมิงจงขดตัวร้องดิ้นอย่างกับกุ้งอยู่บนพื้น
ไม่นานเส้าหมิงเหรินก็เดินกลับมาพร้อมข้าวกล่องสามชุด เขาไม่คิดเลยว่าเมื่อกลับมาจะเห็นพี่ชายตัวเองถูกมัดแขนมัดขานอนกองอยู่ที่พื้น เขารีบทิ้งกล่องข้าวในมือแล้ววิ่งเข้าไปหา “เกิดอะไรขึ้นครับพี่ แล้วซูเจี่ยนอันล่ะ”
“อื้อ! อื้อ!” เส้าหมิงจงพยายามที่จะใช้สายตาบอกให้น้องชายตัวเองระวังข้างหลัง แต่กว่าเส้าหมิงเหรินจะรู้ตัวก็สายไปซะแล้ว
“พลั่ก” ซูเจี่ยนอันฟาดท่อนไม้ในมือลงไป
เส้าหมิงเหรินรู้สึกเจ็บแปลบตรงท้ายทอยแล้วจึงสลบล้มลงไปที่พื้น
เส้าหมิงจงมองอย่างตื่นตะลึง
แย่แล้ว นี่พวกเขาเผลอไปลองดีกับปีศาจในคราบกระต่ายน้อยเข้าให้เสียแล้ว