หลังจากซูเจี่ยนอันกลับมาถึงบ้านตอนเย็น เธอก็ถูกพาไปแต่งหน้าแต่งตัวทันที
ช่างแต่งหน้ายังคงเป็นชุดเดิม สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ วันนี้ถังอวี้หลันก็อยู่ในห้องแต่งตัวด้วย
ถังอวี้หลันสวมชุดสั่งตัดพิเศษสีเทาเรียบหรู รองเท้าหนังแท้สีดำมีส้นเล็กน้อย เธอแต่งหน้าทำผมอย่างประณีต ทั้งยังใส่เครื่องประดับมรกตราคาแพง ทำให้วันนี้ดูสง่างามกว่าทุกวัน แต่ก็ยังคงความใจดีและเป็นกันเองอยู่ในท่าที
หลังซูเจี่ยนอันเดินเข้ามา ถังอวี้หลันก็จับเธอไว้พร้อมส่งสายตาอย่างคาดหวัง
“เจี่ยนอัน แม่ช่วยเลือกชุดไว้ให้หนูแล้ว หนูลองให้แม่ดูหน่อย ถ้าไม่ชอบไว้ค่อยเปลี่ยนเป็นชุดอื่นดีไหมจ๊ะ”
พูดจบ ช่างแต่งหน้าก็หยิบชุดดังกล่าวขึ้นมาโชว์ให้เธอดู
ชุดราตรียาวเกาะอก ผ้าลูกไม้ช่วงบนประดับด้วยคริสตัลดูหรูหราทว่าไม่มากจนเกินไป ช่วงเอวมีผ้าสีขาวเส้นเล็กเพื่อให้ผูกเข้ารูป ตัวกระโปรงบานพลิ้วไหวตามจังหวะการเดิน ดูสวยสง่าจับใจ
เนื้อผ้าและการตัดเย็บอย่างประณีต ทำให้แค่มองก็รู้ได้ว่าราคาต้องไม่ธรรมดา
ถึงชุดจะเป็นสีชมพูนู้ดซึ่งค่อนข้างใส่ได้ยาก แต่ชุดสวยขนาดนี้ไม่มีทางที่เธอจะไม่ชอบ อีกทั้งนานมากแล้วที่เธอไม่ได้มีโอกาสสวมชุดที่คนเป็นแม่ได้เลือกให้ เธอจึงตอบว่า
“หนูจะลองดูค่ะ”
เมื่อซูเจี่ยนอันเปลี่ยนชุดแล้วเรียบร้อยแล้ว ช่างแต่งหน้าก็ถึงกับอึ้งไป
“ชุดนี้เหมาะกับคุณผู้หญิงมากเลยค่ะ สีผิวของคุณเข้ากันได้ดีกับสีชมพูนู้ดมาก แถมตัวชุดยังช่วยขับสีผิวให้ดูขาวนวลขึ้นกว่าเดิมอีกนะคะ สายตาคุณนายเฉียบคมมากเลยค่ะ”
ซูเจี่ยนอันหันมาถามถังอวี้หลันอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “แม่ว่าโอเคหรือเปล่าคะ”
หลังจากที่แม่เธอเสียไป เธอก็ไม่เคยใส่ชุดโทนชมพูอีกเลย จึงไม่ค่อยมั่นใจนัก
“โอเคมากๆ” ถังอวี้หลันเดินเข้ามาช่วยซูเจี่ยนอันจัดกระโปรง “หนูสวยมากจ้ะ แม่ว่าแล้วว่าถ้าลูกสะใภ้ของแม่ใส่ชุดนี้คงสวยยิ่งกว่าดาราฮอลีวู้ดเสียอีก งั้นหนูใส่ชุดนี้ไปงานดีไหมจ๊ะเจี่ยนอัน”
ซูเจี่ยนอันยิ้มพลางพยักหน้า “ค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวหนูแต่งหน้าต่อเลยนะ แม่จะลงไปรอข้างล่าง อ่อใช่ ชุดของเป๋าเหยียนอยู่ในตู้เสื้อผ้านะจ๊ะ ถ้าเขากลับมาแล้วก็บอกให้เขาเปลี่ยนด้วยล่ะ”
พูดจบถังอวี้หลันก็เดินลงไปที่ชั้นล่าง ส่วนซูเจี่ยนอันก็นั่งหน้ากระจกปล่อยให้ช่างแต่งหน้าได้ทำงานของเธอไป
หลังผ่านไปชั่วโมงกว่า ในที่สุดเธอก็แต่งหน้าเสร็จเสียที ซูเจี่ยนอันถอนหายใจเบา เธอลุกขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงผลักประตูออก ลู่เป๋าเหยียนกลับมาแล้ว
“นายกลับมาแล้วเหรอ” หายากที่เธอจะยิ้มต้อนรับเขาทันทีที่พบหน้า เธอชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้า
“แม่บอกว่าชุดของนายอยู่ในตู้ นายรีบไปเปลี่ยนเถอะ เดี๋ยวคงต้องออกเดินทางแล้วล่ะ”
ลู่เป๋าเหยียนยังคงยืนนิ่ง เขามองซูเจี่ยนอันไม่วางตา ซูเจี่ยนอันเห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามาใกล้พร้อมหมุนตัวหนึ่งรอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสดใส
“แม่ช่วยเลือกให้ฉันล่ะ เป็นไงบ้าง”
ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มอย่างประณีตดูสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ กอปรกับส่วนเว้าส่วนโค้งที่ไร้ที่ติ ช่วงไหล่และลำคองามระหงที่เผยให้เห็นตามดีไซน์ของชุด ยิ่งทำให้ดูเย้ายวนสายตาคนมอง
เพราะอยู่ใกล้เธอแค่นี้ ลู่เป๋าเหยียนจึงได้รู้ว่า ถึงซูเจี่ยนอันจะเป็นคนค่อนข้างผอม แต่ในส่วนที่ควรมีเนื้อมีหนังก็ไม่ได้น้อยไปกว่าใครเลย
ท่าทางปีศาจน้อยของเขาคงจะ…ซ่อนรูปน่าดู
ความมั่นใจเต็มร้อยเมื่อครู่ของซูเจี่ยนอัน ถูกลู่เป๋าเหยียนทำลายลงไปทีละนิด
“นายว่าไม่สวยงั้นเหรอ”
ไม่ใช่แค่สวยธรรมดา แต่สวยเสียจนเขาอยากจะลากเธอเข้าห้อง แล้วฉีกชุดตรงหน้าให้ขาดเป็นสองส่วนมันซะตอนนี้ ลู่เป๋าเหยียนคิด
“ไม่ตอบก็เรื่องของนาย” ซูเจี่ยนอันพูดอย่างหงุดหงิด “ยังไงฉันก็ไม่คิดจะเปลี่ยนเป็นชุดอื่นอยู่แล้ว”
ลู่เป๋าเหยียนรั้งเธอไว้ “ฉันบอกตอนไหนว่าไม่สวย ที่เธอดูดีใจขนาดนี้ เพราะว่าแม่ฉันเป็นคนเลือกชุดให้?” เธอถึงกับหมุนตัวไปรอบๆ ให้เขาดูอย่างร่าเริง ซึ่งหากเป็นเวลาปกติเธอคงไม่มีวันทำเด็ดขาด เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังอารมณ์ดีมากขนาดไหน
“ไม่เคยมีใครช่วยเลือกเสื้อผ้าให้ฉันอีกเลยหลังจากแม่ฉันเสียไป” ซูเจี่ยนอันพูดอย่างเศร้าๆ “ชุดที่พี่ฉันส่งมาก็เป็นชุดที่เลขาเขาเลือกให้ทั้งนั้น”
ตอนนั้นเองลู่เป๋าเหยียนก็ถึงกับต้องขมวดคิ้วเป็นปม เขาสังเกตเห็นรอยแดงบนกระดูกไหปลาร้าของเธอ นัยต์ตาเขาแปรเปลี่ยนไปชั่วครู่ สายตาหยุดลงอยู่ที่ตรงนั้นอย่างไม่รู้ตัว
ซูเจี่ยนอันคิดว่าเขากำลังจ้องส่วนอื่นของตน จึงคิดจะต่อว่าเขา แต่เพราะที่นี่มีช่างแต่งหน้าอยู่ด้วย เธอจึงได้แต่อดทนแล้วถลึงตาหน้าแดงใส่ลู่เป๋าเหยียน
ลู่เป๋าเหยียนยิ้มมุมปาก แล้วโน้มตัวลงมาพูดข้างหูซูเจี่ยนอัน
“ถึงจะไม่ได้ ‘แบน’ แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร ฉันคงเอาเปรียบเธอได้ไม่เท่าไรหรอก”
ซูเจี่ยนอัน “…”
ลู่เป๋าเหยียนเรียกช่างแต่งหน้าให้เดินมา แล้วชี้ไปที่ร่องรอยบางอย่างบนแนวกระดูกไหปลาร้าของซูเจี่ยนอัน
“ช่วยปิดรอยนี้ด้วย”
ที่จริงเมื่อเช้าตอนเธออาบน้ำก็สังเกตเห็นรอยแดงๆ นี่แล้ว แต่เพราะผิวเธอค่อนข้างแพ้ง่าย แค่ถูกอะไรชนเบาๆ ก็แดงไปหลายวัน เธอเลยนึกว่าเพราะตัวเองเผลอไปชนอะไรเข้า ไม่ก็โดนยุงกัด เลยไม่ได้ติดใจอะไร
แต่พอลู่เป๋าเหยียนพูดออกไปแบบนี้ พี่ช่างแต่งหน้าก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย ซูเจี่ยนอันหน้าแดงก่ำในพริบตา
เธอมองลู่เป๋าเหยียนอย่างเคืองๆ ทว่าลู่เป๋าเหยียนกลับปลอบใจเธออย่างเอาใจใส่
“อย่าโกรธไปเลย ไว้รอบหน้าฉันจะระวัง”
ตาบ้านี่จงใจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดชัดๆ!
ซูเจี่ยนอันกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายสักหน่อย”
ซื่อบื้อเสียจริงปีศาจน้อยของเขา ลู่เป๋าเหยียนคิดในใจ นี่ผลงานชิ้นเอกของเขาเลยนะ จะไม่เกี่ยวกับเขาได้ยังไง
แต่ถ้าเขาพูดออกไป สงสัยได้โดนปีศาจตนนี้จับกินเป็นแน่
คิดแล้วเขาจึงเดินไปเปลี่ยนชุด
“รอยนี้ทำให้จางลงได้ค่ะ” พี่ช่างแต่งหน้าพูดปลอบซูเจี่ยนอัน “ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เดี๋ยวดิฉันใช้เครื่องสำอางปิดรอยนี้ไว้ รับรองไม่ว่าใครก็ดูไม่ออก ไม่ต้องเขินไปนะคะ”
ซูเจี่ยนอันน้ำตาจะไหล เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบที่พี่คิดนะเข้าใจไหม…
ไม่นาน ลู่เป๋าเหยียนก็เปลี่ยนชุดเสร็จ เขาใส่ชุดออกงานตามปกติ เพียงแต่คราวนี้เปลี่ยนจากเนกไทเป็นหูกระต่าย ที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้ายตกแต่งด้วยผ้าเช็ดหน้าสีขาว ทำให้วันนี้เขาดูเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว
ผู้ชายคนนี้ ยามทำงานก็ดูหล่อเหลาจริงจัง พอต้องออกงานสังคมก็ดูสง่าสูงศักดิ์ ไม่ว่าจะมุมไหนก็น่าหลงใหล มิน่าสาวน้อยสาวใหญ่ถึงพากันหลงหัวปักหัวปำ
อันตรายจริงๆ!
ว่าแล้วชายคนที่เธอแอบนินทาในใจก็เดินเข้ามาจับมือเธอแล้วพาลงไปชั้นล่าง
ตอนแรกซูเจี่ยนอันขัดขืนเล็กน้อย แต่ทำอย่างไรลู่เป๋าเหยียนก็ไม่ยอมปล่อย พอเห็นถังอวี้หลันยืนอยู่ด้านล่าง เธอจึงไม่อิดออดอีกต่อไป
ถังอวี้หลันเห็นทั้งสองคนเดินจูงมือกันลงมาก็อดยิ้มไม่ได้
“รถจอดรออยู่ด้านนอกแล้ว เราไปกันเถอะจ้ะ”
มีรถสองคันจอดอยู่ด้านหน้า คันหนึ่งของลู่เป๋าเหยียน ส่วนอีกคันของถังอวี้หลัน ซูเจี่ยนอันคิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงสะบัดมือลู่เป๋าเหยียนออก
“แม่คะ หนูขอนั่งไปพร้อมแม่ได้ไหมคะ”
“มีอะไรหรือเปล่าลูก” ถังอวี้หลันนึกว่าลูกทั้งสองของเธอทะเลาะกัน จึงถามอย่างเป็นกังวล
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” ลู่เป๋าเหยียนเดินเข้ามา ใช้สายตารักใคร่มองมาที่ซูเจี่ยนอัน “เจี่ยนอันแค่อยากจะคุยกับแม่ งั้นพวกเรานั่งรถของแม่ไปด้วยกันดีไหมครับ”
ได้ยินดังนั้น ถังอวี้หลันจึงยิ้มแล้วจับมือซูเจี่ยนอันขึ้นมา “งั้นเดี๋ยวเรานั่งข้างหลังด้วยกัน เป๋าเหยียน ลูกขับรถแล้วกันนะ”
“ครับ”
ลู่เป๋าเหยียนคว้ากุญแจรถที่คนขับส่งมาให้แล้วจึงเข้าไปนั่งในรถ ซูเจี่ยนอันมองเขาอย่างเซ็งๆ
ทำไมเธอสลัดตาบ้านี่ไม่หลุดสักทีล่ะเนี่ย
จากบ้านไปโรงแรมระยะทางค่อนข้างไกล ลู่เป๋าเหยียนตั้งหน้าตั้งตาขับรถ ส่วนที่นั่นด้านหลังถังอวี้หลันและซูเจี่ยนอันก็กำลังคุยกันถึงเรื่องเมื่อสิบสี่ปีก่อน
สิบสี่ปีที่แล้ว ซูเจี่ยนอันในวัยสิบขวบ มีนิสัยแตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง เมื่อถังอวี้หลันพูดถึงตอนที่เธอตามติดพี่เป๋าเหยียนแจเป็นตังเม หน้าของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นมา
รู้อย่างนี้ตอนนั้นเธอน่าจะทำตัวให้ดูเป็นสาวเย็นชาผู้ถือตัวสักหน่อย ไม่น่าไปตามติดตาบ้านี่เลย!
“ตอนเด็กหนูเอาแต่เรียก พี่เป๋าเหยียนๆ” ถังอวี้หลันลอกเลียนเสียงเธอตอนเด็ก “เรียกเสียจนแม่เองยังใจอ่อนแทน”
“หนู…” ซูเจี่ยนอันอ้ำอึ้ง “หนูลืมไปหมดแล้วล่ะค่ะ…”
แต่ในความเป็นจริง เธอจะไปลืมได้อย่างไร
ตอนนั้นเธอเรียก “พี่เป๋าเหยียน” เสียงหวานอย่างกับน้ำผึ้ง ไม่ว่าใครได้ยินก็คงต้องใจอ่อน ยกเว้นแต่เพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่ไม่สนใจเธอเลย แถมชอบขู่เธออยู่บ่อยๆ อีก
ตอนนั้นเธอรู้สึกว่าเขาคงเกลียดเธอแน่ๆ น้ำตาจึงไหลพรากออกมา แต่พอเธอเม้มปากอย่างน้อยใจเตรียมจะเดินจากมา เขากลับยื่นอมยิ้มที่เสกออกมาจากไหนก็ไม่รู้มาให้เธอ เธอจึงเช็ดน้ำตาแล้วกลับไปเรียกพี่เป๋าเหยียนดังเดิม
ตอนนั้นเธอมีพร้อมทุกอย่าง แค่เพียงอมยิ้มอันเดียวของลู่เป๋าเหยียนเธอก็พอใจแล้ว
เธอในตอนนั้นช่าง…ไม่มีศักดิ์ศรีเอาซะเลย
แต่ไม่นานหลังจากนั้น ถังอวี้หลันก็พาลู่เป๋าเหยียนไปอเมริกา เธอจึงไม่ได้เจอเขาอีก และไม่เคยได้กินอมยิ้มที่อร่อยกว่าอันที่ลู่เป๋าเหยียนให้กับเธออีกเลย
ช่วงแรกเธอเศร้ามาก จนซูอี้เฉิงคิดว่าเธอคงคิดถึงลู่เป๋าเหยียนมากจริงๆ แต่เธอกลับเงยหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมาแล้วบอกว่า
“พี่คะ หนูอยากกินอมยิ้ม อมยิ้มแบบเดียวกับที่พี่เป๋าเหยียนให้หนู”
ซูอี้เฉิงรู้สึกขำที่ซูเจี่ยนอันเห็นแก่กินขนาดนั้น จึงขอให้เพื่อนเอาอมยิ้มมาจากเมืองนอกกล่องใหญ่ ซึ่งเป็นยี่ห้อเดียวกัน ส่วนผสมเดียวกัน ห่อก็แบบเดียวกัน แต่ทว่ารสชาติกลับไม่เหมือนกันเสียอย่างนั้น
เธอกินไปหลายอัน แต่ก็ไม่เจอสักอันที่รสชาติเหมือนกับอันที่ลู่เป๋าเหยียนยื่นให้เธอในวันนั้น
คิดถึงตรงนี้ ซูเจี่ยนอันก็ถอนหายใจ ถังอวี้หลันนึกว่าซูเจี่ยนอันกำลังคิดเสียดายเรื่องในอดีต จึงพูดปลอบ
“เรื่องในอดีตลืมไปแล้วก็ช่างมัน ที่พวกลูกมีในตอนนี้คืออนาคตนะจ๊ะ”
ซูเจี่ยนอันได้แค่ยิ้มตอบกลับไป
ถังอวี้หลันเข้าใจผิดแล้ว เรื่องในอดีตเธอยังจำได้แม่น แต่เธอกับลู่เป๋าเหยียนคงไม่มีอนาคตด้วยกัน
ลู่เป๋าเหยียนมองรอยยิ้มของซูเจี่ยนอันผ่านกระจกมองหลัง เขาไม่ต้องใช้ความคิดสักนิดก็รู้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไร
ยัยโง่…
หนึ่งทุ่มตรง พวกเธอก็มาถึงสถานที่จัดงาน ถังอวี้หลันพาซูเจี่ยนอันเดินไปรอบๆ เพื่อให้คุ้นเคยกับสถานที่ พอประมาณทุ่มสิบห้านาที บรรดาแขกเหรื่อก็เริ่มมาถึง ถังอวี้หลันจึงให้ลู่เป๋าเหยียนไปตรวจเช็กของประมูล ส่วนเธอก็พาซูเจี่ยนอันไปต้อนรับแขกที่ด้านหน้า
ในวงการนี้แต่เดิมก็มีหลายคนที่รู้จักซูเจี่ยนอันอยู่แล้ว ยิ่งช่วงก่อนเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นในโลกอินเทอร์เน็ต ชื่อเสียงของเธอยิ่งถูกรับรู้กันในวงกว้าง ถังอวี้หลันเองก็ได้ปล่อยข่าวไปว่าวันนี้ซูเจี่ยนอันจะมาร่วมงาน ทำให้เพื่อนเก่าของแม่เธอบางคนถึงกลับมางานนี้เพื่อมาเจอเธอโดยเฉพาะ
“เจี่ยนอัน ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี หนูโตเป็นสาวสวยขนาดนี้ไม่ว่า แถมยังได้แต่งงานกับผู้ชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมืองอีก แม่หนูคงหมดห่วงแล้ว หลายปีมานี้พวกน้าทุกคนเองก็คิดถึงแม่หนูมากรู้ไหม”
ซูเจี่ยนอันเป็นคนความจำดี เธอยิ้มพลางทักทายเรียกชื่อทุกคนได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน คุณนายแต่ละคนตื่นเต้นดีใจเสียจนอยากจะรับซูเจี่ยนอันมาเป็นลูกสาวแท้ๆ อีกคน
ที่พวกเขาคิดถึงแม่เธออาจจะเป็นเรื่องจริง แต่ที่บอกว่าวันนี้มาเยี่ยมเธอโดยเฉพาะ เธอคงได้แต่ยิ้มรับ
หากเธอไม่ได้แต่งงานกับลู่เป๋าเหยียน และแต่งชุดหรูหรามาออกงาน แต่กลับอยู่ใสนชุดกาวน์ยืนชันสูตรศพอยู่ในห้องเย็นของเธอ จะมีใครคิดมาเยี่ยมเธอเป็นพิเศษบ้าง?
ถังอวี้หลันเห็นว่าน่าจะพอได้แล้ว เธอไม่อยากให้คนพวกนั้นมาทำให้ลูกสะใภ้ของเธอนึกถึงเรื่องเศร้าของแม่ตัวเอง จึงเรียกลู่เป๋าเหยียนให้มาพาซูเจี่ยนอันออกไป
ลู่เป๋าเหยียนเห็นปีศาจน้อยของเขาดูหมองๆ ลง จึงถามเสียงเบา
“เป็นอะไรไป”
ซูเจี่ยนอันส่ายหน้า แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรต่อ ก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง
“พี่เขยคะ!”