การถ่ายทอดสดจะเริ่มต้นขึ้นตอนเที่ยงตรง ขณะนี้เป็นเวลา 11:50 น.แล้ว แต่ทางตำรวจยังคงหาวิธีช่วยตัวประกันออกมาไม่ได้
11:53 น. ยอดผู้ติดตามล็อกอินของฆาตกรพุ่งสูงถึงสิบล้านคน เขาออกมาโพสต์ว่า
ดูท่าทางตำรวจคงจนปัญญาที่จะช่วยแพทย์นิติเวชของพวกเขาออกไป ถ้าอย่างนั้น ฉันจะเริ่มการแสดงก่อนเวลา เพื่อเป็นการขอบคุณทุกคนเลยละกัน
11:54 น. ลู่เป๋าเหยียนได้มาถึงชั้นล่างของอาคารสิบหก ผู้กำกับยื่นข้อความที่ฆาตกรได้โพสต์ไว้ให้เขาดู เขาหรี่ตาลงพร้อมโทรศัพท์หามู่ซือเจวี๋ย
เขาไม่สนว่า ตอนนี้เรียกว่าวินาทีสุดท้ายแล้วหรือยัง เขาไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกแล้ว
มีอีกคนที่ไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป นั่นก็คือ ฆาตกรผู้โด่งดังในขณะนี้
เขาถือมีดพลางเดินเข้ามาใกล้ซูเจี่ยนอัน
“พวกเรากำลังจะเริ่มแล้วนะจ๊ะสาวน้อย ไม่ต้องกลัว มีคนในเน็ตตั้งเยอะกำลังรอชมการแสดงของพวกเราอยู่นะ”
เขาใช้มีดตัดเชือกที่มัดมือซูเจี่ยนอัน ตอนนี้เหลือเพียงขาของเธอเท่านั้นที่ยังถูกมัดไว้ จากนั้นจึงอุ้มเธอวางลงบนพื้น เขาหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป
“รูปนี้จะเป็นรูปสุดท้ายของเธอที่ยังดูสมบูรณ์อยู่ ฉันคงต้องถ่ายให้สวยๆ หน่อย”
ซูเจี่ยนอันมองไปที่เจียงเส้าข่าย ในตอนนั้นเอง เจียงเส้าข่ายก็แก้มัดที่มือได้สำเร็จ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วจึงพุ่งตัวไปยังหน้าต่างทันที
ต้องมีหน่วยซุ่มยิงที่กำลังรอโอกาสอยู่แน่ เพียงแค่เขาเปิดผ้าม่านออก ตำรวจคงจัดการกับฆาตกรได้
ฆาตกรเห็นการกระทำของเจียงเส้าข่ายแล้วถึงกับสีหน้าเปลี่ยน เขาทิ้งมือถือลงแล้วหยิบปืนขึ้นมา
ปากกระบอกปืนสีดำเล็งไปที่เจียงเส้าข่าย ซูเจี่ยนอันร้องตะโกนอย่างตกใจ
“เจียงเส้าข่าย!”
เสียงเปิดผ้าม่านอย่างแรงดังขึ้น พร้อมกับแสงอาทิตย์อันเจิดจ้าในเวลาเที่ยงที่สาดส่องเข้ามา ซูเจี่ยนอันปิดตาลงเพราะแสบตา จากนั้นจึงได้ยินเสียงปืนดังขึ้นสองนัด
ปัง!
ปัง!
เสียงกระจกแตกดังขึ้นตามหลังเสียงปืนนัดที่สอง ซึ่งน่าจะเป็นของทางตำรวจ แต่เสียงแรกนั้น…ดังขึ้นในห้องนี้
แม้จะแสบตามากก็ตาม แต่ซูเจี่ยนอันก็รีบลืมตาขึ้นมาในทันที เธอเห็นฆาตกรและเจียงเส้าข่ายนอนกองอยู่ที่พื้น
ตำรวจได้ยิงซ้ำที่มือของฆาตกรอีกนัด เพื่อสกัดไม่ให้เขาคว้าปืนมายิงใครได้อีก ส่วนเจียงเส้าข่าย เขาถูกยิงเข้าที่ท้อง ตอนนี้เลือดออกจนเปื้อนเชิ้ตสีขาวของเขาเต็มไปหมด หน้าของเขาเริ่มซีดลงเรื่อยๆ
“เจียงเส้าข่าย!”
ซูเจี่ยนอันทำอย่างไรก็แก้มัดของตนไม่ได้สักที จึงได้แต่นอนอยู่ที่เดิม
ในตอนนั้นเอง ก็มีคนพังประตูเข้ามา จากนั้นซูเจี่ยนอันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนหลายคนที่กำลังวิ่งตรงมาทางเธอ แต่ซูเจี่ยนอันไม่มีเวลาไปสนใจอะไรทั้งนั้น เธอมองไปที่เจียงเส้าข่ายพลางเรียกชื่อเขา
มีคนเข้ามานั่งลงข้างๆ และช่วยแก้มัดให้เธอ กลิ่นอันคุ้นเคยลอยมาแตะจมูก แต่ตอนนี้เธอยังไม่มีเวลาไปหาคำตอบอะไรทั้งนั้น เมื่อเป็นอิสระเธอก็รีบพุ่งเข้าไปหาเจียงเส้าข่ายในทันที เธอใช้มือกดปากแผลของเขาเพื่อห้ามเลือด แต่เลือดยังคงไหลลอดผ่านนิ้วมือเธอออกมาไม่หยุด
น้ำตาของเธอเริ่มเอ่อคลอจนขอบตาแดงไปหมด
“อย่าร้องไห้สิ” เจียงเส้าข่ายพยายามยิ้ม “ฉันยังมีอะไรจะบอกกับเธอ เจี่ยนอัน ถ้าฉันอ่อนถึงขนาดโดนยิงแค่นัดเดียวก็ตายแล้วล่ะก็ ฝากเธอช่วยบอกพ่อแม่ฉันว่า อย่าเศร้าไปเลย ฉันก็แค่ไปหาคุณยายเท่านั้นเอง…”
“หยุดพูดเถอะ” สุดท้ายแล้วน้ำตาเธอก็ไหลออกมาจนได้ “เจียงเส้าข่าย นายต้องไม่ตาย!”
หมอและพยาบาลรีบขนเปลผู้ป่วยเข้ามา ซูเจี่ยนอันช่วยพวกเขาย้ายร่างเจียงเส้าข่ายขึ้นไปบนนั้น เหมือนเธอจะได้ยินใครกำลังเรียกเธอ แต่ตอนที่เธอกำลังจะหันกลับไปมอง เจียงเส้าข่ายกลับหมดสติไป เธอจึงรีบกุมมือเขาและเรียกชื่อเขาไม่หยุดไปตลอดทางขณะลงไปชั้นล่าง
ลู่เป๋าเหยียนมองตามหลังซูเจี่ยนอัน มุมปากยกขึ้นเหมือนกำลังยิ้มเยาะตัวเอง เขากดโทรศัพท์หามู่ซือเจวี๋ย
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ให้พวกเขากลับไปได้”
“เอ๋?” มู่ซือเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ “เจี่ยนอันช่วยตัวเองออกมาได้จริงเหรอเนี่ย ฉันถึงได้บอกไงว่าเธอเป็นคนฉลาด เธอ…”
ลู่เป๋าเหยียนกดวางสาย ก่อนมองไปยังฆาตกรที่นอนกองอยู่บนพื้น สายตาเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างเพียงชั่ววินาที จากนั้นจึงเดินออกไป
เขาเดินลงมาที่ชั้นล่าง ก็เห็นซูเจี่ยนอันกำลังวิ่งขึ้นรถพยาบาลอย่างเร่งรีบ เธอกุมมือเจียงเส้าข่ายพลางพูดอะไรสักอย่างกับเขาไม่หยุด คิ้วขมวดด้วยความเป็นห่วงและกังวลใจ หางตาชื้นไปด้วยคราบน้ำตา
ไม่นาน รถพยาบาลก็วิ่งห่างออกไป
เขาเป็นคนที่อยู่ข้างเธอ ช่วยแก้มัดให้เธอ เขานึกว่าเธอจะกลัวมาก จนเขาอยากเข้าไปกอดปลอบเพื่อบอกเธอว่าไม่เป็นไรแล้วนะ แต่สายตาเธอกลับจ้องอยู่ที่ชายคนอื่น ทั้งๆ ที่เขากับเธออยู่ใกล้กันแค่ไม่ถึงเซน
เธอคงไม่รู้ว่าเขามาหาเธอที่นี่
ลู่เป๋าเหยียนขึ้นมาบนรถ และมองไปทางวังหยางที่กำลังสูบบุหรี่อยู่
วังหยางรู้ดีว่าลู่เป๋าเหยียนไม่ชอบคนสูบบุหรี่ ที่จริงเมื่อก่อนลู่เป๋าเหยียนก็สูบ แต่หลายปีก่อนหน้านี้เขาเลิกสูบไปแล้ว ว่าแล้ววังหยางจึงรีบดับบุหรี่ลง
“ฉันไม่สูบแล้ว”
ลู่เป๋าเหยียนหยิบบุหรี่ออกมาจากกล่องบุหรี่ของวังหยางหนึ่งมวน
“ที่จุดไฟล่ะ”
วังหยางนึกว่าตัวเองหูฝาด หลังจากนิ่งอึ้งไปสักพักจึงยื่นไฟแช็กไปให้ลู่เป๋าเหยียน
“ฉันไม่ใช้ไม้ขีดไฟ” เขาเคยได้ยินว่าลู่เป๋าเหยียนชอบใช้ไม้ขีดไฟจุดบุหรี่ ไม้ขีดไฟของเขาบรรจุอยู่ในกล่องสวยงาม
พรึ่บ! เสียงจุดไฟแช็กได้ดังขึ้นพร้อมกับเปลวไฟที่ลุกขึ้นมา
“ไม่เป็นไร” ลู่เป๋าเหยียนพูดพลางจุดบุหรี่ให้ตัวเอง
วังหยางรู้สึกเหมือนตาฝาดขณะมองผ่านกลุ่มควันที่ลอยอยู่ตรงหน้า เขารวบรวมความกล้าถามออกไปว่า
“พวกเราจะไปไหนกัน”
“โรงพยาบาล”
ชั้นล่างของแผนกศัลยกรรมในตอนนี้ เต็มไปด้วยกองทัพนักข่าวที่ตามรถพยาบาลเข้ามา ขณะที่ข้างบนตึกนั้น เจียงเส้าข่ายกำลังเข้ารับการผ่าตัดด่วน
ซูเจี่ยนอันและแม่ของเจียงเส้าข่ายกำลังนั่งรออยู่บนเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด จากนั้นไม่นาน เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบของใครบางคนที่ซูเจี่ยนอันคุ้นเคยก็ดังขึ้น เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมอง น้ำตาก็ไหลออกมาทันที
“พี่คะ…”
มีเพียงเวลาอยู่ต่อหน้าซูอี้เฉิงเท่านั้น เธอถึงกล้ายอมรับว่าตัวเองทั้งกลัวและขวัญเสียมากแค่ไหน
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ตำรวจกุมตัวฆาตกรแล้วเรียบร้อย” ซูอี้เฉิงกอดน้องสาวไว้แน่น “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกลัว”
ซูเจี่ยนอันพยักหน้า ซูอี้เฉิงตบไหล่เธอเบาๆ แล้วจึงเดินไปหาแม่ของเจียงเส้าข่าย
“คุณนายเจียงครับ”
เธอฝืนยิ้มออกมาตอบรับ ซูอี้เฉิงแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ “ครั้งนี้ต้องขอบคุณเส้าข่ายมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเขายอมเสี่ยง น้องสาวของผมก็คง…”
“เขาชอบบอกว่าตัวเองเป็นตำรวจ คงเพราะอย่างนั้นเขาเลยตัดสินใจทำแบบนี้” เธอพูดพลางกุมมือซูเจี่ยนอัน “เจี่ยนอัน หนูคงเหนื่อยมากแล้ว กลับไปกับอี้เฉิงเถอะลูก ทางนี้มีน้าอยู่คงไม่เป็นไร พ่อของเส้าข่ายเองก็กำลังรีบกลับมาจากนอกเมือง”
ซูเจี่ยนอันส่ายหน้า “คุณน้าคะ หนูขอรอจนกว่าเขาจะผ่าตัดเสร็จนะคะ”
“งั้นก็ได้จ้ะ”
แม่ของเจียงเส้าข่ายไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอนั่งลงพลางจ้องมองประตูห้องผ่าตัดอย่างกังวล ซูอี้เฉิงจูงซูเจี่ยนอันให้ไปนั่งอีกด้าน
“น้องเจอลู่เป๋าเหยียนหรือเปล่า”
“เขา?” ซูเจี่ยนอันงง “เขาไม่ได้อยู่อเมริกาเหรอคะ”
“เขากลับมาแล้ว ลงเครื่องปุ๊บก็รีบไปที่เถียนอันการ์เดนท์เลย พี่กับผู้กำกับถังเห็นเขาวิ่งขึ้นไปข้างบนตึก น้องไม่เห็นเขาเลยเหรอ”
ซูเจี่ยนอันนึกถึงกลิ่นอันคุ้นเคยตอนที่มีคนมาช่วยเธอแก้มัด รวมถึงตอนที่มีคนเรียกชื่อเธอ…
นั่นคือลู่เป๋าเหยียน?
เธอส่ายหน้า “ตอนนั้นเจียงเส้าข่ายเลือดออกเยอะมาก หนูไม่ทันได้สังเกต…อีกอย่าง เขาบอกว่าคราวนี้จะไปเจ็ดวันไม่ใช่เหรอคะ ทำไมถึงรีบกลับมา”
คราวนี้ก็บังเอิญอีกงั้นเหรอ…
ซูอี้เฉิงยิ้มตอบ “เรื่องนี้…น้องคงต้องไปถามเขาเอง”
ถ้าเขาเดาไม่ผิด ป่านนี้คนที่โดนเมินบางคนคงกำลังช้ำในจนแทบกระอักเลือดไปแล้วแน่ๆ เขาอยากรู้เสียจริงว่าลู่เป๋าเหยียนจะตอบเจี่ยนอันว่าอย่างไร
ซูเจี่ยนอันรู้สึกว่าพี่เธอยิ้มแปลกๆ แต่ก็ไม่คิดจะซักไซ้อะไร ว่าแล้วจึงเดินกลับไปนั่งลงข้างๆ แม่เจียงเส้าข่าย
ไม่นานเจียงเส้าข่ายก็ถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด คุณหมอบอกแม่เขาว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ตอนนี้ผมนำกระสุนออกมาแล้ว คนไข้ไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ เพิ่มเติม ตอนนี้ปลอดภัยดีแล้วครับ เพียงแค่เสียเลือดมากไปเท่านั้น คงต้องพักผ่อนดูอาการสักระยะ”
แม่เจียงเส้าข่ายถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”
ซูเจี่ยนอันเองก็โล่งใจ เธอเดินตามเจียงเส้าข่ายไปจนถึงห้องผู้ป่วย แต่แม่ของเขากลับไปไม่ให้เธออยู่ต่อ
“เจี่ยนอัน รีบกลับบ้านไปกินข้าวพักผ่อนเถอะลูก ถ้าเส้าข่ายฟื้นแล้วเดียวแม่โทรไปบอกนะ”
ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ซูเจี่ยนอันไม่ได้แตะน้ำสักหยด พอแม่เจียงเส้าข่ายพูดแบบนี้เธอก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาทันที เธอพยักหน้าตอบรับ และกลับออกไปพร้อมซูอี้เฉิง
แต่เธอนึกไม่ถึงเลยว่า จะเห็นรถของลู่เป๋าเหยียนจอดอยู่หน้าโรงพยาบาล
“ดูท่าพี่คงไม่ต้องไปส่งเราแล้วล่ะ”
ซูอี้เฉิงพูดยิ้มๆ แล้วจึงเดินกลับไปยังรถของตัวเอง
ซูเจี่ยนอันนิ่งคิดไปสักพักแล้วจึงเดินตรงไปที่รถคันนั้น ลู่เป๋าเหยียนเปิดประตูรถลงมา
“ผู้กำกับถังให้เธอหยุดพักหนึ่งสัปดาห์”
“อืม เข้าใจแล้ว”
เรื่องที่เกิดทั้งหมดทำเอาซูเจี่ยนอันทั้งเหนื่อยทั้งกลัว เธอต้องการพักผ่อนสักระยะจริงๆ นั่นแหละ
“ขึ้นรถ เดี๋ยวฉันไปส่ง” ลู่เป๋าเหยียนพูดพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนจะสื่อว่าห้ามปฏิเสธ
ซูเจี่ยนอันเองก็หมดแรงจะเดินไปเรียกรถกลับบ้านเอง เธอขึ้นรถไปอย่างว่าง่าย ลู่เป๋าเหยียนขึ้นรถตามมา เธอหันไปมองเขาพลางถามเสียงเบา
“นายบอกว่าจะไปเจ็ดวันไม่ใช่เหรอ ทำไมกลับมาแล้วล่ะ”
เธอไม่รู้จริงๆ หรือเดาไม่ออกกันแน่
ลู่เป๋าเหยียนมองซูเจี่ยนอันพลางตอบ “งานเสร็จแล้วเลยกลับมาก่อน”
เธอคงคิดมากไปเอง ก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นสินะ
“อ๋อ” ซูเจี่ยนอันตอบด้วยน้ำเสียงเจือความผิดหวัง “ถึงบ้านแล้วเรียกฉันนะ”
พุดจบเธอก็หลับตาลง และไม่นานก็เข้าสู่นิทรา
ทุกครั้งที่รถเลี้ยว ตัวซูเจี่ยนอันก็ทำท่าจะเอียงมาทางลู่เป๋าเหยียนอยู่ตลอด เห็นดังนั้นลู่เป๋าเหยียนจึงเขยิบเข้าไปนั่งข้างๆ เพื่อให้เธอซบไหล่เขาได้
เธอขยับตัวให้เข้าที่พร้อมกับกอดแขนลู่เป๋าเหยียนไว้ สีหน้าพอใจเหมือนเด็กที่ได้ลูกอมไม่มีผิด
สภาพจิตใจอันขุ่นมัวของลู่เป๋าเหยียนค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิด เขาสั่งให้คนขับปิดเพลง และยื่นมือไปปิดผ้าม่านเพื่อไม่ให้แสงอาทิตย์แยงตาซูเจี่ยนอัน
เขาดูแลเธอในขณะที่กำลังหลับอย่างดีตลอดทางกลับบ้าน
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง รถก็ได้จอดลงที่หน้าบ้าน ซูเจี่ยนอันยังคงหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ลู่เป๋าเหยียนกำลังคิดจะอุ้มเธอลงไป แต่เธอกลับลืมตาตื่นขึ้นมาก่อน
เมื่อพบว่าตัวเองเอนพิงเขาไม่พอแถมยังกอดแขนเขาไว้แน่น ซูเจี่ยนอันรู้สึกอยากจะตีตัวเองจริงๆ ว่าแล้วจึงรีบหันไปขอโทษ
“โทษทีนะ ฉะ ฉันเผลอหลับไป ฉันไม่ได้ตั้งใจ…”
น้ำเสียงที่ดูเกรงใจและเหินห่าง ทำให้สายตาลู่เป๋าเหยียนเริ่มเย็นขึ้นทุกที เสียงของเขาตอบกลับมาอย่างไร้ความรู้สึก
“ไม่เป็นไร”
ความเย็นชาของเขาที่ส่งมา ทำให้ซูเจี่ยนอันไม่อยากพูดอะไรต่อ เธอรีบลงจากรถไปทันที
อยู่ๆ ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนก็กลายเป็นเหินห่างเหมือนเมื่อตอนพบกันใหม่ๆ ราวกับว่าการกอดจูบกันอย่างใกล้ชิดในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
ซูเจี่ยนอันเคยฝันถึงตอนที่ลู่เป๋าเหยียนกลับมา เขาเอาของมาเซอร์ไพรส์เธอ แต่พอเวลานี้ที่เขากลับมาแล้วจริงๆ เธอกลับไม่กล้าถามเรื่องนี้ออกไปสักคำ
ลู่เป๋าเหยียนคงจะลืมไปแล้วสินะ เธอคิด
ทั้งหมดที่ผ่านมาก็แค่ละคร พวกเราไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันจริงๆ เสียหน่อย