ความเจ็บที่หลังยังไม่ทันหาย ลู่เป๋าเหยียนก็โน้มตัวเข้ามาประกบเรียวปากของเธอทันที
เขาใช้แขนข้างหนึ่งดันผนัง และใช้ร่างสูงใหญ่ขังเธอเอาไว้พลางจูบเธออย่างรุนแรงและดุดัน
“อื้อ…อื้อ…”
ซูเจี่ยนอันพยายามผลักเขาออกไป แต่เหมือนการกระทำของเธอจะทำให้เขายิ่งโกรธ
สองแขนของเขาโอบเอวเธอพลางล็อกมือเธอเอาไว้ อย่าว่าแต่ดิ้นหนีไปไหนเลย ตอนนี้แค่ขยับตัวสักนิดเธอยังทำไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถดูดดื่มกับความอ่อนหวานของเธอได้ดั่งใจอยาก
ในความทรงจำของซูเจี่ยนอัน ถึงบางครั้งลู่เป๋าเหยียนจะชอบเอาเปรียบเธอ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังคงความเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้าง ทว่าครั้งนี้ เขาใช้กำลังจูบเธอราวกับจะดูดวิญญาณของเธอออกไปจนหมด พอเธอเริ่มต่อต้าน เขาก็ส่งลิ้นเข้ามารุกล้ำหาความอ่อนหวานอย่างเอาแต่ใจ มือที่รัดเธออยู่ก็ยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เธอรู้สึกราวกับจะถูกเขากลืนกินไปทั้งตัวในไม่ช้า
ไม่นาน ซูเจี่ยนอันก็รู้สึกหายใจไม่ทัน
เขากับเธอแสดงความใกล้ชิดแบบนี้มาหลายครั้ง ไม่ว่าจะตอนที่เขาจูบเธอในงานประมูลเพื่อให้ซูหยวนหยวนดู ที่ถึงแม้จะเป็นจูบที่ดุดันแต่ก็ยังแฝงด้วยความอ่อนโยนอยู่บ้าง เขายังใส่ใจว่าเธอหายใจทันหรือเปล่า คืนวันนั้นที่เธอไปรับเข้าที่โรงพยาบาล เขาก็จูบเธออย่างแผ่วเบาเพื่อให้เธอสบายใจ
จูบทั้งสองครั้ง ทำให้เธอหลงเคลิบเคลิ้มไปกับมัน
แต่ว่าจูบครั้งนี้ เขาเหมือนปีศาจร้ายที่ควบคุมความต้องการของตัวเองไว้ไม่ได้ จนอยากจับเธอกลืนกินไปทั้งตัวอย่างไรอย่างนั้น เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนเขา แต่กลับถูกเขาขบกัดที่ริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ หลังจากนั้นก็เริ่มได้กลิ่นคาวเลือดตามมา…
ทุกอย่างหยุดชะงักเหมือนมีใครมากดปุ่มหยุดชั่วคราว
ลู่เป๋าเหยียนปล่อยซูเจี่ยนอันให้เป็นอิสระ เขาเห็นปากเธอมีเลือดออก ความตกใจและเสียใจในการกระทำของตนฉายชัดอยู่ในแววตาของเขา
“เจี่ยนอัน…” เสียงของเขาแหบต่ำ
ซูเจี่ยนอันผลักเขาออกไปพร้อมตาแดงๆ พลางใช้มือขวาปาดคราบเลือดออกจากเรียวปาก
ลู่เป๋าเหยียนยื่นมือออกมาเพื่อจะสัมผัสแผลของเธอ แต่เธอกลับเบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจ มือเขาชะงักค้างอยู่อย่างนั้นแล้วจึงค่อยๆ ลดมือลง
ซูเจี่ยนอันมองเขาอย่างโมโห “ลู่เป๋าเหยียน ฉันไม่ใช่หานรั่วซี นายมองให้ดีๆ!”
ในที่สุดเธอก็พูดชื่อนี้ออกไปจนได้
เหมือนลู่เป๋าเหยียนจะอารมณ์ดีขึ้นในพริบตา เขามองซูเจี่ยนอันอย่างหาคำตอบ
“เธอเห็นข่าวแล้ว ไม่ชอบใจ?”
“ทำไมฉันจะต้องไม่ชอบใจด้วย?” เลือดเริ่มไหลซิบๆ ออกมาอีกแล้ว ซูเจี่ยนอันยกมือปาดมันออกไป
“ในวันแต่งงานฉันก็เคยบอกนายแล้วนี่ ว่าฉันไม่สนว่านายกับหานรั่วซีจะไปทำอะไรกันลับหลัง เพราะฉะนั้นนายเองก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องฉันเหมือนกัน”
“เธอคิดจะทำอะไร ถึงไม่อยากให้ฉันยุ่ง หือ?” ลู่เป๋าเหยียนเดินเข้ามาใกล้เธอ
“จะไปหาเจียงเส้าข่าย?”
ซูเจี่ยนอันสะบัดหน้าหนี “ฉันจะไปหาใครก็ไม่เกี่ยวกับนาย นายไปทำอะไรกับใครฉันยังไม่เข้าไปยุ่มย่ามเลย เราสองคนต่างคนต่างเดิน ต่างคนต่างใช้ชีวิตเข้าใจไหม!”
ว่าแล้วเธอก็หันตัวเดินกลับขึ้นห้อง เลือดที่เรียวปากงามหยุดไหลลงเสียที แต่น้ำตาเธอนี่สิที่เริ่มเอ่อล้นออกมาแทน
สองเดือนของชีวิตการแต่งงาน ถึงแม้ในชีวิตจริงเธอกับลู่เป๋าเหยียนจะไม่ได้รักกันหวานชื่นเหมือนที่คนอื่นคิด แต่ก็ไม่เคยมีความขัดแย้งใดๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกับเขาทะเลาะกัน
ซูเจี่ยนอันไม่เคยนึกว่าเลยว่า การทะเลาะกับลู่เป๋าเหยียนจะทำให้ตัวเองรู้สึกเสียใจขนาดนี้
ที่จริงเธอจะไม่สนใจเรื่องที่เขากับคนอื่นอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ตอนที่เธอเห็นข่าวฉาวของเขากับหานรั่วซี ถ้าเธอไม่ได้อยู่ที่บ้านของลั่วเสี่ยวซี หรือไม่ได้ยุ่งอยู่กับการตามหาตัวคนร้าย ป่านนี้เธอคงคลั่งไปแล้ว
เธอไม่มีวันลืมความรู้สึกในตอนนั้น ทุกตัวอักษรในข่าวเป็นดั่งเข็มที่ทิ่มแทงสายตาและหัวใจของเธออย่างไม่ปรานี
ความเจ็บปวดทำให้เธอตื่นจากความฝันอันแสนสุข สิ่งที่ลู่เป๋าเหยียนทำให้เธอเป็นเพียงแค่การแสดง ความอ่อนโยนที่เคยมีให้กันก็แค่ฉากหนึ่งของบทละคร ที่เมื่อเล่นจบเขาจะไปอยู่กับคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เธอยอมอดทนเวลาที่เขาอยู่กับคนอื่น เธอไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเขาในฐานะภรรยา แล้วทำไมเขาต้องมายุ่งกับชีวิตเธอด้วย?
ในขณะเดียวกัน ลู่เป๋าเหยียนที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องของซูเจี่ยนอัน เขาคิดจะยกมือเคาะประตูอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ทำมันลงไป
จนท้ายที่สุด ก็เดินกลับเข้าห้องตัวเอง
พวกเขาสองคนคงต้องการเวลาสงบสติอารมณ์สักหน่อย
ซูเจี่ยนอันรู้สึกเหมือนหัวใจมันหน่วงๆ ทั้งๆ ที่ง่วงมากแต่ข่มตาหลับไม่ลง เธอนอนพลิกไปพลิกมาจนกระทั่งตีสามกว่าจะหลับ วันรุ่งขึ้นกว่าเธอจะตื่นจึงปาไปเกือบเที่ยงแล้ว
เมื่อมั่นใจว่าลู่เป๋าเหยียนออกจากบ้านไปแล้ว เธอจึงเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าหนึ่งชุด จากนั้นฝากให้ลุงสวีบอกกับลู่เป๋าเหยียนว่าคืนนี้เธอจะไปนอนบ้านเพื่อน ลุงสวียังไม่ทันตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอก็ขับรถออกจากบ้านไป
เรื่องที่ซูเจี่ยนอันหนีออกจากบ้านในครั้งนี้ ลั่วเสี่ยวซีรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
ซูเจี่ยนอันที่เธอรู้จักไม่ใช่เด็กน้อย ที่เมื่อมีเรื่องอะไรก็หนีออกจากบ้านมาเพื่อแสดงความไม่พอใจ คราวนี้ดูท่าจะเป็นเรื่องใหญ่
“เธอกับบอสใหญ่ทะเลาะกันเหรอ ทำไมล่ะ? แล้วเขาอธิบายเรื่องที่อยู่กับหานรั่วซีที่โรงแรมแล้วหรือยัง?”
“ทะเลาะกันเพราะเมื่อคืนฉันกลับบ้านดึกน่ะสิ เขายังไม่ได้อธิบาย”
พูดจบซูเจี่ยนอันก็ฉีกถุงขนม เธอล้วงมันฝรั่งทอดกรอบขึ้นมากินอย่างหงุดหงิด
“อ้าว อย่ากินขนมขยะพวกนี้เพื่อระบายอารมณ์สิ” ลั่วเสี่ยวซีดึงถุงขนมออกไปแล้วส่งแอปเปิ้ลมาให้แทน “กินผลไม้ดีกว่า ลู่เป๋าเหยียนคงไม่ใช่แค่เพราะเธอกลับดึกเลยทะเลาะกับเธอมั้ง เข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่า”
“เขานึกว่าฉันอยู่กับเจียงเส้าข่ายจนดึก”
ซูเจี่ยนอันสมมติว่าแอปเปิ้ลเป็นลู่เป๋าเหยียน และกัดลงไปอย่างแรงโดยไม่ได้ระวังแผลบนริมฝีปาก เธอเจ็บแผลจนร้องออกมา
“โว้วๆๆ” ลั่วเสี่ยวซีมองบาดแผลบนริมฝีปากของซูเจี่ยนอันอย่างสำรวจ “บอสใหญ่หึงจนกัดเธอเลยเหรอเนี่ย แล้วทำไมเธอไม่อธิบายความจริงให้เขาฟัง ว่าเธอไปเดินเที่ยวกับฉันเลยกลับดึกล่ะยัยซื่อบื้อ”
ซูเจี่ยนอันเบะปาก “เขาทำเหมือนไปกินระเบิดมาอย่างงั้นแหละ ยังไม่ทันฟังคำอธิบายก็ระเบิดตูมๆๆ…”
ลั่วเสี่ยวซีคิดพลางพูดเสียงต่ำ “งั้นเขาคงไม่ได้หึงธรรมดา แต่หึงมากจนหน้ามืดแล้วล่ะ!”
ซูเจี่ยนอันไม่สนว่าเขาจะหึงหรืออะไร เธอหยิบ iPad ของลั่วเสี่ยวซีขึ้นมาดูหนังแก้เซ็ง
เธอรู้แต่ว่า วันนี้เธอไม่อยากเจอหน้าเขา
ลั่วเสี่ยวซีรู้ดีว่าเพื่อนเธอคงเซ็งสุดๆ ในตอนนี้ เลยสะกิดพลางเสนอว่า
“พวกเราไม่ได้ไปดูหนังด้วยกันตั้งนานแล้ว เรื่องที่เธออยากดูเข้าโรงแล้วนะ ฉันพาเธอไปเลี้ยงหนังดีไหม แล้วพอตกเย็นเราค่อยไปดูการแสดงที่ฮวนเล่อกู่กัน”
ซูเจี่ยนอันมองหน้าลั่วเสี่ยวซียิ้มๆ จากนั้นจึงลุกขึ้นไปใส่รองเท้า แล้วพวกเธอทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปโรงหนังทันที
เมื่อเทียบกับซูเจี่ยนอันที่กำลังเที่ยวเล่นสนุกสนาน ลู่เป๋าเหยียนในตอนนี้กำลังยุ่งหัวหมุนสุดๆ
เรื่องที่เขาทิ้งการเซ็นสัญญาที่อเมริกากลับมาประเทศก่อนกำหนด เริ่มส่งผลกระทบต่อบริษัท ทางคู่ค้าไม่พอใจอย่างมาก หยาดเหงื่อแรงกายของทีมงานในบริษัทแต่ละคนก็ต้องสูญเปล่า
เพื่อนำทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนมา ตัวเขาเองจึงต้องทำงานอย่างหนักยิ่งกว่าเดิม
สามทุ่มกว่า งานทั้งหมดในวันนี้ก็ได้เสร็จสิ้น แต่เมื่อกลับมาที่บ้าน ลุงสวีก็บอกเขาว่า วันนี้ซูเจี่ยนอันออกไปข้างนอกตั้งแต่เที่ยง แถมยังบอกอีกว่าวันนี้เธอจะไปนอนค้างบ้านเพื่อน
ลู่เป๋าเหยียนถอดเนกไทสีหน้าเครียด เขาหยิบมือถือมาโทรหาซูเจี่ยนอัน
คราวนี้ซูเจี่ยนอันยอมรับโทรศัพท์เขา แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงเอะอะวุ่นวายก็ดังแทรกเข้ามา
“เธออยู่ไหน” น้ำเสียงของเขาแฝงความหงุดหงิด
“ฮวนเล่อกู่” ซูเจี่ยนอันตอบอย่างอารมณ์ดี “ลุงสวีไม่ได้บอกนายเหรอ ว่าวันนี้ฉันไม่กลับบ้าน”
“เธออยู่กับลั่วเสี่ยวซี?”
“ใช่น่ะสิ”
ลู่เป๋าเหยียนยกนิ้วนวดขมับพลางตัดสินใจให้เวลาเธออีกหนึ่งคืน
“พรุ่งนี้ฉันจะให้คนไปรับเธอกลับบ้าน”
“ไม่ต้อง” ซูเจี่ยนอันปฏิเสธ เดี๋ยวเธออยากกลับเมื่อไร เธอจะกลับไปเอง
ลู่เป๋าเหยียนให้เธอได้อย่างมากก็แค่คืนเดียว น้ำเสียงของเขาเริ่มเข้มขึ้น
“หรือว่าเธออยากให้ฉันไปรับเลยตอนนี้?”
ซูเจี่ยนอันนิ่งไป “พรุ่งนี้ไม่ต้องมาเช้ามาก ฉันไม่รู้ว่าจะตื่นตอนไหน”
“สิบโมง”
“อืม…งั้นแค่นี้แหละ”
ซูเจี่ยนอันวางสายพลางพูดกับโทรศัพท์
“ตาบ้าหัวรุนแรง”
การแสดงระบำฮาวายยังคงดำเนินต่อไป ฮวนเล่อกู่ในยามค่ำคืนเต็มไปด้วยความสนุกสนานชวนผ่อนคลาย ลั่วเสี่ยวซีหันมาถามซูเจี่ยนอันว่า
“บอสใหญ่โทรมาขอคืนดีหรือไง”
ซูเจี่ยนอันคิดชั่วครู่แล้วจึงตอบว่า “พวกเราอย่ากลับบ้านเลยคืนนี้ ไปนอนโรงแรมแถวนี้ที่เธอชอบดีไหม ห้อง Deluxe twin room เลยเป็นไง!”
ลั่วเสี่ยวซีชูมือขวาขึ้นมาอย่างดีใจ
“ฉันรักเธอ!”
วันรุ่งขึ้น ลู่เป๋าเหยียนให้วังหยางไปรับซูเจี่ยนอันที่บ้านของลั่วเสี่ยวซี แต่วังหยางกลับโทรมาแจ้งว่า ยืนกดกริ่งอยู่นานก็ไม่มีใครมาเปิดประตู
เขาจึงโทรไปหาซูเจี่ยนอัน แต่เธอกลับปิดเครื่อง
เขานิ่งคิดไปชั่วขณะ จึงมั่นใจว่า ซูเจี่ยนอันกล้าหลอกเขา!
เขารีบให้คนไปสืบพิกัดที่อยู่ของเธอ จึงรู้ว่าเมื่อคืนเธอไปนอนโรงแรมใกล้กับฮวนเล่อกู่
ลู่เป๋าเหยียนขบกรามแน่นอย่างโมโห
เขาจำไม่ได้แล้วว่า ไม่มีคนกล้าหือกับเขาแบบนี้มานานเท่าไรแล้ว
เสิ่นเยว่ชวนที่เดินเอาเอกสารมาให้ลู่เป๋าเหยียน พอเข้ามาในห้องก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ หลังทักทายด้วยน้ำเสียงสบายๆ เขาจึงถามว่า
“เจี่ยนอันเมินนายเข้าให้แล้วล่ะสิ”
ลู่เป๋าเหยียนหันมามองหน้าเสิ่นเยว่ชวน
ทำไมเขาถึงรู้ว่าซูเจี่ยนอันเมินเขา?
“เป็นฉัน ฉันก็เมินนายเหมือนกันนั่นแหละ” เสิ่นเยว่ชวนมองเขาอย่างดูแคลน “มีอย่างที่ไหน บินไฟล์ทเดียวกัน แถมนอนโรงแรมเดียวกันกับแฟนสาวในข่าว!”
ลู่เป๋าเหยียนโยนมือถือทิ้งอย่างหงุดหงิด
“เรื่องพวกนี้ฉันไม่รู้มาก่อน”
“แล้วเรื่องที่นายกับหานรั่วซีอยู่ด้วยกันในโรงแรมสี่ชั่วโมงล่ะว่าไง”
ลู่เป๋าเหยียนส่งสายตาเย็นเยียบพลางพูด
“นายก็รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง!”
“แต่เจี่ยนอันไม่รู้ด้วยนี่!” เสิ่นเยว่ชวนเถียง “เธอก็คงคิดเหมือนกับคนในเน็ตนั่นแหละ ว่านายกับหานรั่วซีคงมีอะไรกันเรียบร้อย แถมตอนนั้นเธอกำลังถูกฆาตกรโรคจิตจับตัวไปพอดี พอนายกลับมาก็ไม่อธิบายอะไรสักคำ เธอยอมคุยกับนายนี่ก็นับว่าปรานีแล้ว ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่า กลับบ้านปุ๊บให้รีบคุกเข่าขอโทษเธอซะ นายก็ไม่เชื่อ…”
เป็นครั้งแรกที่ลู่เป๋าเหยียนถามเสิ่นเยว่ชนอย่างจนปัญญา
“ฉันควรทำยังไง”
“สี่คำสั้นๆ อธิบายกับเธอซะ!”
แต่ตอนนี้เธอคงไม่ยอมฟังเขาแน่ๆ ลู่เป๋าเหยียนนิ่งไปสักพัก แล้วจึงสั่งให้เสิ่นเยว่ชวนไปจัดการเรื่องหนึ่ง
เสิ่นเยว่ชวนทำหน้าไม่อยากเชื่อ “นายมั่นใจ?”
“ถ้าข่าวนี้ไม่ถูกแชร์ไปทั่วอินเทอร์เน็ตก่อนเที่ยง นายคงได้เตรียมตัวไปดูงานที่เวียดนาม”
“ให้ตายเถอะ!” เสิ่นเยว่ชวนรีบติดต่อกับสื่อทุกสำนักด้วยความเร็วแสงในทันที