เริ่มทำตอนนี้ก็ยังไม่สาย?
เขาคิดจะทำอะไร?
สมองซูเจี่ยนอันเริ่มสับสนไปหมด ใบหน้าของลู่เป๋าเหยียนก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ถึงหนึ่งวินาทีให้หลัง เธอก็จับเสื้อเขาและหลับตาลงโดยอัตโนมัติ
ทว่า ริมฝีปากอุ่นกลับไม่ประทับลงบนเรียวปากตามที่คิด มีเพียงเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่ดังขึ้น
เธอลืมตาขึ้นมา สายตาปะทะกับนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความขบขันของลู่เป๋าเหยียน
เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นลู่เป๋าเหยียนหัวเราะอย่างไร้มาด แต่มันกลับเกิดขึ้นหลังจากที่เขาแกล้งเธอนี่สิ!
“คนบ้า!”
เธอดันเผลอทำท่าเหมือนกำลังรอคอยให้เขาจูบซะอย่างนั้น ซูเจี่ยนอันหน้าแดงก่ำอย่างเขินอาย ว่าแล้วจึงดิ้นขืนตัวให้หลุดออกจากวงแขนเขา แต่ทำยังไงลู่เป๋าเหยียนก็ไม่ยอมปล่อยเธอ
“อยู่นิ่งๆ” ลู่เป๋าเหยียนเอนศีรษะซบลงไปบนไหล่ของเธอ น้ำเสียงดูอ่อนล้า “วันนี้ฉันเหนื่อยมาทั้งวัน”
ซูเจี่ยนอันคิดถึงคำพูดของเสิ่นเยว่ชวนในทันที
‘หายากนะที่จะเห็นเขาขมวดคิ้วเคร่งเครียดกับเรื่องงานแบบนี้’
เพื่อชดเชยสัญญาที่ล้มเหลวในครั้งนั้น เขาคงเหนื่อยมากสินะ
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ที่เขาทิ้งสัญญามาก็เพื่อกลับมาหาเธอ เพราะฉะนั้นให้เขายืมไหล่สักพักคงไม่เป็นไร แต่ว่า…เขากอดเธอไว้แบบนี้จะพักได้อย่างสบายจริงเหรอ?
ซูเจี่ยนอันนึกสงสัย จนกระทั่งรถได้จอดลงตรงหน้าโรงแรม
พนักงานรีบเดินมาช่วยเปิดประตูรถ ลู่เป๋าเหยียนลงจากรถด้วยอย่างสง่าและสูงศักดิ์ เขาจูงมือซูเจี่ยนอันเดินเข้าโรงแรม ใครก็คงนึกไม่ถึงว่า เมื่อครู่เขาคือคนที่นอนกอดพลางซบพิงไหล่เธออยู่บนรถ
ขณะเตรียมตัวเข้านอน ลู่เป๋าเหยียนก็บอกกับซูเจี่ยนอันว่า
“พรุ่งนี้เธอช่วยบอกกับสวี่โยว่หนิงทีว่า ให้ไปหาเจ้าของร้านได้เลย”
“เอ๋? เพื่อนนายตอบตกลงให้เธอไปเริ่มงานแล้วงั้นเหรอ” ทำไมไม่เห็นได้ยินลู่เป๋าเหยียนคุยโทรศัพท์กับมู่ซือเจวี๋ยเรื่องนี้เลย
“อืม” ลู่เป๋าเหยียนยกมุมปากยิ้มมองเธอ “ควรจะขอบคุณฉันหรือเปล่า”
“คนที่ควรจะขอบคุณนายคือสวี่โยว่หนิงมากกว่าไม่ใช่เหรอ”
ซูเจี่ยนอันย้อน ลู่เป๋าเหยียนไม่ได้ช่วยหางานให้เธอสักหน่อย แล้วทำไมเธอต้องขอบคุณเขาด้วยล่ะ
“เพราะเธอ ฉันถึงลงมือจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง” ลู่เป๋าเหยียนกล่าว “เธออยากให้สวี่โยว่หนิงได้งานที่ร้าน ฉันก็เลยช่วยทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริง”
ซูเจี่ยนอันเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดเขา จึงพยักหน้า
“ก็ได้ ขอบคุณนะ”
ลู่เป๋าเหยียนหรี่ตาลงอย่างไม่พอใจ “ไม่จริงใจเลย”
“…” ลู่เป๋าเหยียนยังจะเรื่องมากกับเธออีกเหรอเนี่ย?
คนที่ทำเหมือนจะจูบเธอ แต่ก็ทิ้งเธอไว้กลางคันแบบนั้นต่างหากที่เรียกว่าไม่จริงใจ!
ความคิดแผลงๆ เริ่มผุดขึ้นมาในสมอง ซูเจี่ยนอันจึงตัดสินใจว่า จะให้ลู่เป๋าเหยียนรู้ซึ้งถึง “ความจริงใจ” ของเธออย่างเต็มที่ ว่าแล้วก็เขย่งเท้าขึ้น และจุ๊บปากเขาไปหนึ่งที
“ขอบคุณนะ”
ขอบคุณที่เขาช่วยเธอในยามคับขัน ขอบคุณที่เขารีบกลับมาหาเธอหลังจากเกิดเรื่อง
ขอบคุณที่เขาทำให้เธอใจเต้นรัว ขอบคุณที่เขาทำให้เธอรู้ว่าการชอบใครสักคนนั้นรู้สึกอย่างไร
หายากที่ลู่เป๋าเหยียนจะนิ่งอึ้งไปแบบนี้
เขาแค่ตั้งใจจะพูดแหย่ซูเจี่ยนอันเฉยๆ นึกไม่ถึงว่าเธอจะให้ความจริงใจกับเขาขนาดนี้
ที่จริงตอนอยู่บนรถ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจูบเธอ แต่เพราะคนขับก็อยู่ด้วย เขากลัวว่าตัวเองจะห้ามใจไม่ไหวจนเผลอทำอะไรเกินเลย
แต่ว่าในตอนนี้…ไม่มีคนอื่นอยู่อีกแล้ว แถมปีศาจน้อยก็ยังเปิดเกมรุกหาเขาแบบนี้…
“อื้อ…”
คราวนี้เป็นซูเจี่ยนอันบางที่ตั้งตัวไม่ทัน เธอถูกลู่เป๋าเหยียนรั้งตัวเขาสู่อ้อมกอด และเริ่มจูบเธออย่างเร่าร้อน
ริมฝีปากของเขาเหมือนมีเวทมนตร์ ยามที่ได้สัมผัส มันทำให้เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งการขัดขืน
เธอเหมือนเหยื่ออันโอชะ ที่นายพรานอย่างลู่เป๋าเหยียนจับเอาไว้ได้ และไม่มีทางดิ้นหลุด
แต่ในความเป็นจริง คนที่สูญเสียการควบคุมไปอย่างสิ้นเชิงคือ ลู่เป๋าเหยียน
เรียวปากของปีศาจน้อยหวานล้ำและนุ่มนวลดุจสายไหมรสชาติเยี่ยม เขาอยากจะกอดเธอไว้ และค่อยๆ ชิมลิ้มรสความอ่อนหวานของเธอทีละนิดไปตลอดชีวิต
แต่ปีศาจน้อยตัวเกร็งเกินไปแล้ว ลู่เป๋าเหยียนพูดเสียงต่ำ
“เด็กดี ทำตัวสบายๆ”
ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาที่รดลงมา ทำให้สติขาดผึง ร่างกายของเธอเริ่มผ่อนคลายลงพลางโถมเข้าสู่อ้อมกอดของเขา
ปฏิกิริยาของเธอทำให้ลู่เป๋าเหยียนพอใจจนยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาให้รางวัลเธอเป็นจูบอันดูดดื่มพลางกอดรัดเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม ซูเจี่ยนอันไม่อาจต้านทานเขาได้อีกต่อไป
น้อยครั้งที่เธอจะยอมเชื่อฟังเขา ลู่เป๋าเหยียนเริ่มอยากได้อะไรมากขึ้นกว่าที่เคย
เขาผละออกจากเรียวปากของเธออย่างนึกเสียดาย พลางมองเธอนิ่งด้วยสายตาเหมือนยังคงอยู่ในภวังค์
“เจี่ยนอัน จูบฉัน”
สายตาของเขาช่างเย้ายวน ซูเจี่ยนอันมองลงไปในนัยน์ตาสีนิลคู่นั้น ทั้งที่รู้ดีว่าไม่ควร แต่เธอก็ควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้
เธอประทับเรียวปากบางลงบนริมฝีปากหนาของเขา พลางถึงภาพเวลาเขาจูบเธอว่าทำเช่นไร จากนั้นก็ค่อยๆ เลียนแบบทุกสิ่งอย่าง จึงได้รู้ว่า มันเป็นเรื่องยากขนาดไหน
สำหรับลุ่เป๋าเหยียน ถึงท่าทางของซูเจี่ยนอันจะดูอ่อนหัด แต่ถึงอย่างนั้น มันกลับน่าหลงใหลชวนลิ้มลอง
เขาหลับตาลง และครอบครองเรียวปากบางอย่างอดใจไม่ไหว จูบของเขาหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งร่างกายและหัวใจของเขาต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า
ยังไม่พอ แบบนี้ยังไม่พอ เขายังอยากได้มากกว่านี้!
ซูเจี่ยนอันถูกเขาจูบจนสติกระเจิดกระเจิง เธอรู้สึกเหมือนตนเองกำลังล่องลอยอยู่ในหมู่เมฆ ตัวเธอนอนทับอยู่บนปุยฝ้ายอ่อนนุ่ม แต่บนตัวกลับหนักอึ้งไปด้วยรสสัมผัส ลมหายใจร้อนรุ่มของเขารดอยู่บนพวงแก้มเธอไม่ห่าง
ผ่านไปนานกว่าเธอจะรู้ตัวว่า เมฆอะไรกัน นี่มันฉากเดิมกับเมื่อวันก่อนชัดๆ เธอถูกลู่เป๋าเหยียนคร่อมทับอยู่บนเตียงอีกแล้ว
เขาไม่ได้ป่าเถื่อนเหมือนเมื่อวันก่อนอีกต่อไป ทุกการกระทำช่างอ่อนโยนและทะนุถนอม จนเธออดหลงใหลไปกับการกระทำเหล่านั้นไม่ได้
เธอพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักเขาออกไป
“ลู่เป๋าเหยียน ไม่ได้นะ…”
การแต่งงานของพวกเธอเป็นแค่เรื่องธุรกิจ เธอจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้…เกิดขึ้นไม่ได้ แถมตอนนี้เธอเองก็…ไม่สะดวก
ลู่เป๋าเหยียนรู้ดีว่าเธอไม่สะดวก แต่เธอเหมือนดอกฝิ่นที่สวยงามที่สุดในโลก แค่เพียงได้สัมผัสก็เสพติดจนถอนตัวไม่ขึ้น เรื่องง่ายๆ อย่างการปล่อยเธอให้เป็นอิสระ เขากลับรู้สึกราวกับต้องใช้พลังมหาศาล
เขายิ่งจูบยิ่งดุดัน เขาส่งลิ้นเกี่ยวกระหวัดแลกความหวานกับซูเจี่ยนอันอย่างเร่าร้อน ราวกับจะสูบพลังของเธอไปให้หมดสิ้น จนซูเจี่ยนอันขมวดคิ้ว
“เจ็บ…”
ลู่เป๋าเหยียนเหมือนคนเพิ่งตื่นออกจากฝัน เขาพยายามควบคุมตัวเองและผละริมฝีปากออก จากนั้นจึงประทับจูบอ่อนโยนลงบนหน้าผากมน
“ฉันจะไปอาบน้ำ”
เสียงประตูห้องน้ำปิดลง ซูเจี่ยนอันนอนมองเพดานพลางนึกว่านี่เรื่องจริงหรือความฝัน
เธอยกมือสัมผัสริมฝีปากอิ่มที่เริ่มบวมแดงและเจ็บนิดๆ ลมหายใจอุ่นละสัมผัสอันเร่าร้อนของเขาที่เห็นกับตาเมื่อครู่ ทำให้เธอเชื่อแล้วว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
ครั้งนี้ เขาจูบเธอ ส่วนเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ…
นี่มันหมายความว่าอย่างไร ซูเจี่ยนอันเองไม่กล้าคิดหาคำตอบ ว่าแล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง พยายามข่มตาหลับภายใต้ความมืด เธออยากจะให้ตัวเองสามารถหลับได้ในหนึ่งวินาทีจริงๆ
แต่เมื่อประตูห้องน้ำเปิดขึ้นอีกครั้ง เธอก็ยังข่มตาหลับไม่สำเร็จ และเมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนล้มลงนอนที่ข้างกาย เธอก็ตัวแข็งเป็นหิน แม้แต่หายใจยังไม่กล้า
ลู่เป๋าเหยียนถอนหายใจ เขาตลบผ้าห่มที่เธอยกขึ้นมาคลุมจนมิดหัวออกมา
“ตอนนี้เธอเหมือนกุ้งฝอยเลย”
ซูเจี่ยนอันยอมให้เขาว่าเสียที่ไหน เธอพลิกตัวหันกลับมามองหน้าลู่เป๋าเหยียน
“นายต่างหากที่เป็นกุ้งฝอย!”
พูดจบภาพเหตุการณ์เมื่อกี้ก็เริ่มฉายซ้ำในความคิดอีกครั้ง หน้าของเธอแดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ จนทนไม่ไหว ต้องมุดตัวกลับเข้าใต้ผ้าห่มอีกรอบ
ลู่เป๋าเหยียนดึงเธอเขาสู่อ้อมกอดในทันที และเมื่อเธอเริ่มดิ้นก็พูดขึ้นว่า
“อย่าดิ้น ไม่งั้นเรื่องที่เธอกำลังกลัว ฉันอาจจะทำมันลงไปจริงๆ ก็ได้”
คำพูดและน้ำเสียงอันคลุมเครือของเขาทำเอาซูเจี่ยนอันตกใจ เธอจึงไม่กล้าดิ้นอีกต่อไป และนอนซุกอยู่บนแผงอกแกร่งอย่างเชื่อฟัง
ลู่เป๋าเหยียนลูบผมเธอแผ่วเบาอย่างพอใจ “นอนซะนะ”
ที่จริงซูเจี่ยนอันอยากจะขัดขืนเขาเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แต่อาจเป็นเพราะอ้อมกอดของเขาที่มักทำให้เธอสบายใจ เธอจึงหลับไปหลังจากนั้นไม่นาน
เธอชอบนอนขดตัว ขนตางอนยาวที่ปรกลงมาบนเปลือกตาและลมหายใจที่แผ่วเบาเป็นจังหวะ ทำให้เธอเหมือนเด็กน้อยที่กำลังหลงทางไม่มีผิด
นิ้วเรียวของลู่เป๋าเหยียนลากผ่านพวงแก้มของเธอ ถ้าเธอยังตื่นอยู่ละก็ คงได้เห็นแววตารักใคร่ทะนุถนอมของลู่เป๋าเหยียนในตอนนี้
คืนนี้ เป็นคืนที่ซูเจี่ยนอันไม่ฝันร้ายอีกแล้ว
เป็นคืนแรกหลังเกิดเหตุ ที่เธอนอนได้อย่างสงบสุข หลังตื่นขึ้นจึงรู้สึกสดชื่นกว่าทุกที
คราวนี้แม้ตนเองจะตกอยู่ในอ้อมกอดของลู่เป๋าเหยียน แต่เธอก็ไม่ตกใจอีกแล้ว เธอยกมือของเขาขึ้น และลุกออกจากเตียงอย่างเงียบเชียบ จากนั้นจึงล้างหน้าล้างตาและเดินออกจากห้องไป
เมื่อลู่เป๋าเหยียนตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบซูเจี่ยนอัน เขาเดินหาทั่วห้องรับแขกและห้องหนังสือแต่ก็ไม่พบเธอแม้แต่เงา ในขณะที่กำลังจะเรียกให้พนักงานโรงแรมช่วยกันตามหา ประตูห้องก็ถูกใครบางคนเปิดเข้ามา
เธอกลับมาแล้ว
เขาวางโทรศัพท์ลง พลางเดินขมวดคิ้วเข้าไปหา “แอบหนีไปไหนแต่เช้า”
น้ำเสียงที่ดูเหมือนจะต่อว่า แต่เจือความโล่งใจดังขึ้น ซูเจี่ยนอันมองชายตรงหน้าที่ผมเผ้าและชุดคลุมดูยุ่งเหยิงไปบ้าง พลางแย้มยิ้ม
“นายกำลังตามหาฉันเหรอ”
เธอยังจะยิ้มอีก?
ลู่เป๋าเหยียนดึงซูเจี่ยนอันเข้ามา และปิดประตูดังปัง เขาหรี่ตามองเธออย่างข่มขู่หวังให้เธอตกใจกลัว
แต่ซูเจี่ยนอันไม่กลัวสักนิด เธอส่งยิ้มดีใจกว่าเดิม และยกมือลูบหน้าเขา
“ฉันก็แค่ลงไปขอยืมห้องครัวของโรงแรมเพื่อต้มโจ๊ก นายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวพนักงานก็คงเอาอาหารมาเสิร์ฟแล้วล่ะ”
พูดจบเธอก็เดินยิ้มๆ เข้าห้องนอนไป
ลู่เป๋าเหยียนเพิ่งหายอึ้ง ซูเจี่ยนอันไม่เพียงไม่กลัวเขา แถมยังกล้าสัมผัสเขาก่อน
ปีศาจน้อยของเขาเริ่มใจกล้าขึ้นบ้างแล้ว?
หลังมื้อเช้า ลู่เป๋าเหยียนก็จัดการให้คนขับรถไปส่งซูเจี่ยนอันที่บ้านคุณย่าสวี่ ระหว่างทางซูเจี่ยนอันก็ได้รับโทรศัพท์จากลั่วเสี่ยวซี
“ผู้จัดการจากหัวซิงติดต่อฉันมา!” ลั่วเสี่ยวซีพูดอย่างตื่นเต้นราวกับตัวเองโด่งดังเป็นพลุแตกเป็นที่เรียบร้อย “ขอแค่ฉันผ่านสัมภาษณ์ ต่อด้วยอบรมอีกนิดหน่อย ก็จะได้เข้าวงการเต็มตัวแล้วล่ะ!”
“คุณลุงลั่วยอมแล้วงั้นเหรอ” ซูเจี่ยนอันถาม
“แน่นอนว่าไม่ แถมยังบอกอีกว่าจะส่งบอดี้การ์ดมาจับฉันกลับบ้าน” ลั่วเสี่ยวซีพูดอย่างหงุดหงิด “แต่ฉันไม่ยอมหรอก ครั้งนี้ฉันเอาจริงนะ ไม่เชื่อฉันเหรอ?”
ซูเจี่ยนอันขี้เกียจจะบ่น “เรื่องนี้เธอคงต้องถามตัวเองแล้วล่ะ ใช่สิ แล้วพวกเขาจะสัมภาษณ์อะไรเธอล่ะ”
“ยังไม่รู้เหมือนกัน” ลั่วเสี่ยวซีตอบ “แต่ว่าหัวซิงก็นับว่าเป็นโมเดลลิ่งระดับต้นๆ ของวงการ คงไม่ใช้วิธีประหลาดๆ หรอกมั้ง วางใจเถอะ ฉันจะระวังตัว ว่าแต่ เธอกับบอสใหญ่อยู่เมือง G เป็นยังไงบ้าง”
ภาพเมื่อคืนเริ่มผุดขึ้นมาในความคิดของซูเจี่ยนอันอีกครั้ง เธอหน้าแดงพลางตอบช้ากว่าทุกที
“จะให้เป็นยังไงล่ะ…”
“ฮ่าๆๆ!” ลั่วเสี่ยวซีหัวเราะแบบมีเลศนัย “ต้องมีอะไรแน่ๆ พวกเธอแบบนั้นกันแล้วใช่ไหม? อย่างว่า พักโรงแรมด้วยกันนี่ยิ่งเกิดขึ้นง่ายนะ…”
“ยุ่งกับการสัมภาษณ์ของตัวเองเถอะ!”
ซูเจี่ยนอันตัดสายในทันที