บ่ายวันต่อมา ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ซูเจี่ยนอันดูเมนูระหว่างรอซูอี้เฉิง ตอนนั้นเองก็มีคนเข้ามาสะกิดไหล่ซ้าย การสะกิดแบบนี้เธอคุ้นเคยดี จึงหันไปทางขวาแทน
“ลั่วเสี่ยวซี ทำไมมาอยู่นี่ได้ล่ะ”
“ฉันสิต้องถามเธอ” ลั่วเสี่ยวซียิ้มแบบมีเล่ศนัย “มากินข้าวกับบอสลู่ที่นี่เหรอจ๊ะ เขาไปไหนแล้วล่ะ”
“เปล่า ฉันนัดพี่ไว้” ซูเจี่ยนอันถาม “กินข้าวแล้วหรือยัง มากินด้วยกันไหม”
ลั่วเสี่ยวซีทำท่าคิดหนัก “ไม่กิน! ฉันไม่อยากเจอหน้าซูอี้เฉิง”
“ทำไมล่ะ” ซูเจี่ยนอันถามอย่างสงสัย “ได้กินข้าวกับเขา เธอควรดีใจจนเนื้อเต้นไม่ใช่เหรอ”
ลั่วเสี่ยวซีจับผมลอนยาวสลวยของเธอไปอีกทางพลางสะบัดเสียง
“ฉันไม่ใช่ลั่วเสี่ยวซีคนเดิมอีกต่อไป!”
“เธอเซ็นสัญญากับโมเดลลิ่งแล้ว?”
“อือฮึ” ลั่วเสี่ยวซีนั่งลงตรงข้ามซูเจี่ยนอันด้วยท่าทางดีใจ
“เธอลองทายดูสิ ว่าฉันได้เซ็นสัญญากับบริษัทอะไร”
ซูเจี่ยนอันไม่รู้ว่าจะทายอะไรจึงตอบไปว่า
“Lu Media?”
“เอ๋ ทายรอบเดียวก็ถูกเลย!” ลั่วเสี่ยวซีดีดนิ้วเสียงดังอย่างถูกใจ “ใช่แล้ว ฉันเซ็นกับสัญญา Lu Media เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เธอก็คือเถ้าแก่เนี้ยของฉัน! ฉันต้องเทรนงานอีกสามเดือน จากนั้นผู้จัดการถึงจะวางตารางงานให้ ภายในสองปี ฉันจะต้องกลายเป็นนางแบบที่ฮอตที่สุดของประเทศ!”
“ว่าแต่ เรื่องที่เธอจะเป็นนางแบบ กับเรื่องที่ไม่อยากเจอพี่ชายฉัน มันเกี่ยวอะไรกัน?”
“ก็เขาไม่เชื่อว่าฉันจะเป็นนางแบบที่ดีได้น่ะสิ” ลั่วเสี่ยวซีพูดด้วยน้ำเสียงดื้อรั้น “ฉันตัดสินใจแล้วว่า จนกว่าฉันจะมีผลงานออกมา ฉันจะไม่เจอเขาอีก! ตามตื๊อเขามาเป็นสิบปี เขาเห็นฉันคนเดิมทุกวันก็คงเอียนแล้วล่ะ คอยดูนะ คราวหน้าฉันจะเจอไปเขาในฐานะใหม่ ลุคใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม ฉันจะทำให้เขาตะลึงจนใจเต้นรัวให้ได้!”
เพื่อจีบซูอี้เฉิง ลั่วเสี่ยวซีทำมาทุกหนทางแล้ว แต่วิธีนี้ค่อนข้างอยู่นอกเหนือความคาดหมายของซูเจี่ยนอัน
ซูเจี่ยนอันพยักหน้า “งั้นฉันคงต้องเตือนเธอไว้ก่อนว่า พี่ชายฉันจะถึงที่นี่ในอีกห้านาที”
ลั่วเสี่ยวซีลุกพรวด
“งั้นฉันไปละ! อ๋อใช่สิ อย่าบอกเขาเรื่องที่ฉันเซ็นสัญญากับบริษัทสามีเธอล่ะ แล้วก็นี่ มือถือเธอ”
ลั่วเสี่ยวซีวางมือถือลงบนโต๊ะ จากนั้นก็รีบเดินออกจากร้านทันที ไม่นานซูอี้เฉิงที่อยู่ในชุดสูทรองเท้าหนังก็เข้ามาในร้าน
ซูอี้เฉิงเป็นคนรูปร่างสูงมาก เขาออกกำลังกายเป็นประจำทำให้รูปร่างที่โดดเด่นอยู่แล้วยิ่งดูแข็งแกร่งน่าเกรงขาม ถึงจะเป็นแค่ชุดสูทธรรมดา แต่เมื่ออยู่บนตัวเขา กลับดูน่ามองขึ้นเป็นไหนๆ ท่าทางที่ดูสุขุมนุ่มลึกดูไม่ยินดียินร้าย แต่ก็ไม่ถึงกับเย็นชา คนที่หล่อเหลาดูน่าเชื่อถืออย่างเขา ไม่ว่าไปที่ไหนก็ทำให้ทุกคนต่างหลงใหลโดยไม่มีข้อยกเว้น
ซูเจี่ยนอันเคยคิดว่า ถ้าหากเธอไม่ใช่น้องสาวของซูอี้เฉิง และไม่เคยเจอลู่เป๋าเหยียนมาก่อน เธอก็อาจจะเป็นเหมือนลั่วเสี่ยวซี ที่หลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำ
ซูอี้เฉิงนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของซูเจี่ยนอัน
“สั่งอาหารหรือยัง”
“สั่งแล้วค่ะ” ซูเจี่ยนอันบอกให้พนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟได้ จากนั้นจึงเท้าคางมองหน้าคนเป็นพี่
ซูอี้เฉิงขยับตัวนั่งให้เข้าที่ แล้วจึงถามว่า
“มีอะไร วันนี้พี่ดูแปลกไปงั้นเหรอ”
ซูเจี่ยนอันส่ายหน้า “พี่ยังคงไร้ที่ติเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ที่หนูอยากถามก็คือ เมื่อคืนดึกขนาดนั้นแล้ว พี่ไปหาลู่เป๋าเหยียนที่บ้านทำไม มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าคะ”
ซูอี้เฉิงเอนพิงพนักเก้าอี้พลางมองหน้าน้องสาวอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“นี่เราเป็นห่วงพี่ หรือว่าเป็นห่วงลู่เป๋าเหยียนกันแน่เนี่ย”
“ไม่ห่วงทั้งคู่นั่นแหละ” ซูเจี่ยนอันตอบยิ้มๆ “แต่หนูห่วงเสี่ยวซี เมื่อกี้หนูเจอเธอที่นี่ เธอเพิ่งได้เซ็นสัญญากับ Lu Media”
“แล้วยังไง?” ซูอี้เฉิงพูดเสียงนิ่ง
ซูเจี่ยนอันไม่ตอบในทันที เธอจ้องหน้าพี่ชายและยกน้ำขึ้นดื่มช้าๆ พลางวิเคราะห์
เธอกำลังสงสัยว่าที่ Lu Media เซ็นสัญญากับเสี่ยวซี พี่ชายเธอจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ แต่พี่แค่ไม่อยากให้คนอื่นรู้
เธอเรียนจิตวิทยามา เธอสามารถคาดเดาจากรายละเอียดสีหน้าท่าทางได้ว่า คนคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ โดยปกติขอแค่มองตาฝ่ายตรงข้าม เธอก็สามารถรู้ได้ว่าเขากำลังโกหกหรือร้อนรนอยู่หรือไม่
แต่เรื่องพวกนี้ก็แค่สิ่งที่ในตำราเขียนไว้ มันใช้ไม่ได้กับซูอี้เฉิง เธอมองไม่เห็นอะไรผิดแปลกเลยจากสีหน้าของเขา
ในเรื่องนี้ทั้งพี่ชายและลู่เป๋าเหยียนต่างก็เหมือนกันจนน่าตกใจ ท่าทางของพวกเขาดูเว้นระยะห่างกับคนทั่วไป สายตานิ่งสงบไร้อารมณ์ นานๆ ครั้งอาจจะมียิ้มบ้าง แต่ก็ไม่แสดงออกอย่างชัดเจน ทำให้คนอื่นคาดเดาได้ยากว่า พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
ซูเจี่ยนอันยกมือยอมแพ้
“หนูยอมรับเลยค่ะ ว่าสีหน้าพี่อ่านยากมาก”
ซูอี้เฉิงยิ้ม “คำถามคือ ทำไมอยู่ๆ เรามาถามพี่แบบนี้”
ซูเจี่ยนอันนิ่งไป
“ช่วงนี้ Lu Media ไม่ได้มีแผนจะปั้นเด็กใหม่ แถมปกติพวกเขามักจะเซ็นสัญญากับดาราหรือไม่ศิลปินนักร้อง พวกเขาไม่มีผู้จัดการนางแบบด้วยซ้ำ” เธอพูดพลางยิ้มกว้างยิ่งกว่าซูอี้เฉิงเสียอีก
“อีกอย่าง ก่อนหน้าที่พี่จะไปหาลู่เป๋าเหยียน เครือลู่ก็ไม่เคยติดต่อมาหาลั่วเสี่ยวซีเลยด้วย”
“น้องก็เลยสงสัยว่าพี่ช่วยลั่วเสี่ยวซี?” ซูอี้เฉิงยังคงตอบหน้านิ่ง
“เวลาคลี่คลายคดี หลักฐานจากคำให้การของพยานอย่างเดียว ไม่สามารถโน้มน้าวผู้พิพากษาได้หรอกนะ”
ซูเจี่ยนอันยักไหล่ “หนูไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ลู่เป๋าเหยียนเองก็คงไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับหนู แต่สำหรับหนู การที่พี่ทำหน้านิ่งแบบนี้นี่แหละคือหลักฐานชั้นดี ถ้าหากไม่ใช่เพราะหนูเดาถูก พี่ก็คงไม่เถียงหนูกลับมาแบบนี้ หนูเป็นน้องสาวพี่นะคะ ไม่ใช่นักธุรกิจที่กำลังเจรจาเรื่องผลประโยชน์กับพี่ กลไกการป้องกันตัวเองของพี่แบบเมื่อกี้ เห็นได้ชัดเลยว่า พี่กำลังร้อนตัว”
ร่องรอยความขบขันในแววตาของซูอี้เฉิงยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก ในตอนนั้นเองซุปก็มาเสิร์ฟพอดี เขาจึงตักซุปให้ซูเจี่ยนอัน
“รอให้น้องหาหลักฐานจริงๆ ได้เสียก่อน แล้วค่อยมาสอบสวนพี่แล้วกัน ตอนนี้เรามากินข้าวกันก่อนดีไหม น้องกับลู่เป๋าเหยียนไปเมือง G มา เป็นอย่างไรบ้าง”
ภาพของเหตุการณ์อันใกล้ชิดที่ทำให้เธอต้องหน้าแดงโผล่ขึ้นมาในความคิดของซูเจี่ยนอันทันที เธอก้มหน้ากินซุปพลางตอบ
“จะ จะให้เป็นยังไงล่ะคะ”
ซูอี้เฉิงรู้จักน้องสาวตัวเองดี ที่เธอไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาคงเพราะกำลังเขินอายอย่างร้อนตัว
“มีอะไรจริงๆ ซะด้วย”
ซูเจี่ยนอันเงยหน้าขึ้นทันที
“พี่อย่าเดามั่วนะ!”
“จูบกันหรือยัง”
ซูอี้เฉิงจ้องตาน้องสาวนิ่ง ตอนแรกซูเจี่ยนอันก็จ้องตาเขากลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ยิ่งจ้องเธอก็เริ่มทนไม่ไหวจนหลุบตาลงก่อน
ซูอี้เฉิงยิ้มอย่างเข้าใจ
“ถ้ายังไม่จูบสิแปลก น้องสาวพี่สวยขนาดนี้ ผู้ชายธรรมดาที่ไหนจะทนอยู่เฉยได้ไหว”
“…”
ซูเจี่ยนอันเริ่มเซ็งตัวเอง เมื่อกี้เธอเป็นฝ่ายสอบสวนพี่อยู่แท้ๆ แต่ทำไมตอนนี้…กลับกลายเป็นเธอโดนเขาสอบสวนเสียเองล่ะเนี่ย?
“เทคนิคทางจิตวิทยาที่น้องเรียนมาในมหาวิทยาลัย คงใช้ได้เฉพาะกับพวกโจรกระจอกเท่านั้น” ซูอี้เฉิงส่ายหน้า “ดีนะที่น้องแต่งงานกับลู่เป๋าเหยียน”
“หมายความว่าไงคะ” ซูเจี่ยนอันพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งกว่าเดิม
ซูอี้เฉิงถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“อีกหน่อยน้องก็จะเข้าใจ”
ขณะนั้นเอง อาหารที่ซูเจี่ยนอันสั่งก็เริ่มทยอยเข้ามาเสิร์ฟทีละอย่าง เธอเอียงคอเล็กน้อยพลางพูด
“โอเคค่ะ” จากนั้นจึงเริ่มตั้งใจทานอาหารตรงหน้า
ในเมื่อพี่บอกว่าอีกหน่อยเธอจะเข้าใจเอง งั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องถามซักไซ้ให้มากความ โดยเฉพาะเวลามีอาหารเลิศรสอยู่ตรงหน้าแบบนี้ด้วยแล้ว
เหมือนที่ลั่วเสี่ยวซีชอบพูดว่า อาหารก็มีชีวิตจิตใจ เราต้องใส่ใจกับมันให้มากๆ
เมื่อกินข้าวเสร็จ ซูอี้เฉิงก็ต้องรีบกลับไปประชุมที่บริษัททันที ตอนที่เธอกำลังคิดว่าช่วงบ่ายจะทำอะไรแก้เบื่อดี เสียงคุ้นหูของคนสองคนก็ดังขึ้น
เป็นเสียงของเจี๋ยงเสวี่ยลี่ และซูหยวนหยวน
เพราะสองแม่ลูกคู่นี้ทำร้ายร่างกายและเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเธอ จึงถูกคุมตัวอยู่ช่วงระยะหนึ่ง ซูเจี่ยนอันลองนับเวลาในใจ นี่คงได้เวลาที่สองคนนี้จะออกมาก่อความวุ่นวายได้ต่อแล้วสินะ
ซูหยวนหยวนก้าวเท้าเดินเข้ามาหยุดลงข้างโต๊ะซูเจี่ยนอัน พลางยืนกอดคอจ้องมองเธออย่างโอหัง
“คุณหนูซู ไม่ใช่ว่าแต่งงานกับลู่เป๋าเหยียนแล้วเหรอคะ เห็นคนอื่นพูดกันว่าลู่เป๋าเหยียนรักคุณ โอ๋คุณมาก แล้วทำไมถึงมากินข้าวกับซูอี้เฉิงแบบนี้ล่ะ คงไม่ใช่เพราะลู่เป๋าเหยียนกำลังสวีทหวานอยู่กับหานรั่วซีหรอกนะ”
ซูเจี่ยนอันไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับแม่ลูกคู่นี้ เธอจึงลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ
“ทำไม แค่นี้ก็ทนฟังไม่ไหวงั้นเหรอ” ซูหยวนหยวนยังคงไม่หยุด “ฉันพูดแทงใจดำเลยคิดจะหนีใช่ไหมล่ะ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อบอกความจริงกับฉัน ฉันคงเชื่อไปแล้วว่าพวกเธอรักกันจริงๆ แต่ต้องขอชมเชยนะ ว่าฝีมือการแสดงของเธอนี่ใช้ได้เลย แถมเธอยังยุยงให้ลู่เป๋าเหยียนจับฉันกับแม่เข้าคุกอีก ขอบอกไว้เลยนะ เรื่องนี้ฉันไม่ยอมให้มันจบง่ายๆ แน่!”
ซูเจี่ยนอันยิ้มเย็น “แล้วใครบอกเธอว่าเรื่องที่เธอเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวฉันมันจบไปแล้ว? อยากจะคิดบัญชีกับฉันเมื่อไรก็ไปหาฉันที่สถานีตำรวจได้ทุกเมื่อ แต่ขอเตือนสติเธอไว้อย่าง การข่มขู่และขัดขวางการทำงานของเจ้าพนักงาน โทษสถานเบาก็แค่คุมขัง แต่ถ้าสถานหนักก็คงต้องลงอาญา โดยเฉพาะกับพวกที่เคยมีประวัติ ก็คงเจอบทลงโทษที่รุนแรงกว่าเดิม”
การมีประวัติอาชญากรรมติดตัวเป็นเหมือนจุดด่างพร้อยในชีวิตของซูหยวนหยวน เธอถลึงตาจ้องหน้าซูเจี่ยนอันอย่างโมโห
“เธอมีสิทธิ์อะไรมาอวดดีขนาดนี้ ลู่เป๋าเหยียนประกาศไปทั่วว่าเขาจะหย่ากับเธอในอีกสองปี แต่ก็อย่างว่า ระหว่างที่ยังเป็นคุณนายลู่ เธอก็คงอยากจะใช้โอกาสนี้กดหัวคนอื่นให้พอใจล่ะสิ”
ซูเจี่ยนอันยิ้ม “อย่างน้อยในสองปีนี้ฉันก็กดหัวเธอได้ แต่ว่านะ สิบกว่าปีที่ผ่านมาที่ฉันยังไม่ได้เป็นคุณนายลู่ ก็ไม่เห็นว่าเธอจะทำอะไรฉันได้เลยไม่ใช่เหรอไง”
จริงอย่างที่เธอว่า ซูเจี่ยนอันไม่เคยปล่อยให้ใครมารังแกเธอง่ายๆ อยู่บ้านตระกูลซูมาตั้งหลายปี สิ่งเดียวที่ซูหยวนหยวนแย่งชิงจากซูเจี่ยนอันไปได้ก็มีแต่ความรักของซูหงเยวี่ยน แต่ซูเจี่ยนอันไม่เคยต้องการมันอยู่แล้ว นอกจากสิ่งนี้ ซูหยวนหยวนไม่เคยเอาเปรียบซูเจี่ยนอันได้เลยสักครั้ง ต่อให้เธอพยายามกลั่นแกล้งซูเจี่ยนอันมากแค่ไหนก็ตาม
ซูหยวนหยวนกระทืบเท้าอย่างขัดใจ เห็นดังนั้นซูเจี่ยนอันก็หยิบกระเป๋าและเดินออกไป ซูหยวนหยวนยืนชี้นิ้วตะโกนมาทางเธอ
“เธอคิดว่าตัวเองเก่งมาจากไหน! ฉันมองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอกับลู่เป๋าเหยียนก็แค่แต่งงานกันหลอกๆ ไม่งั้นทำไมถึงไม่จัดงานแต่ง? แค่นั้นยังไม่พอ ขนาดแหวนแต่งงานยังไม่มีเลย คนอะไรแต่งงานแล้วนิ้วยังโล่งอยู่เหมือนเดิม ซูเจี่ยนอัน มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะเชื่อว่าเธอกับลู่เป๋าเหยียนรักกัน!”
คงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าฝีเท้าของซูเจี่ยนอันหยุดชะงักไปเล็กน้อย รอยยิ้มบางบนใบหน้าเธอก็เช่นเดียวกัน
นั่นสินะ เธอกับลู่เป๋าเหยียน…แม้แต่แหวนแต่งงานก็ไม่มี
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ซูหยวนหยวนพูดแทงใจดำเธอได้ในรอบเก้าปี
แต่ถ้าจะหย่ากันในอีกสองปีอยู่แล้ว แหวนแต่งงานก็คงไม่จำเป็นมั้ง? ถึงเวลาถ้าเธอคืนแหวนให้กับเขา เขาก็คงไม่เอาไปใช้ขอคนอื่นแต่งงานอยู่ดี มีไปก็สิ้นเปลืองเปล่าๆ
สู้อย่ามีเลยดีกว่า ถึงเวลาจากลาจะได้ไม่ต้องพกอะไรติดตัวไปด้วย
คนขับรถช่วยเปิดประตูให้ซูเจี่ยนอัน
“คุณผู้หญิงจะกลับบ้านหรือไปที่ไหนต่อครับ”
ซูเจี่ยนอันคิดอยู่ชั่วครู่
“ไป Zijing Palace Garden ค่ะ”
เธออยากไปหาถังอวี้หลัน
ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรกับเธอ แต่ถังอวี้หลันเป็นคนเดียวที่รักเธอดั่งลูกสาวแท้ๆ ของตน และเป็นคนเดียวที่หวังดีกับเธอเสมอ