ร่างสูงใหญ่ที่ทาบทับลงมา ทำให้ซูเจี่ยนอันขยับตัวไปไหนไม่ได้ คำพูดของเขาเมื่อครู่ยังคงก้องอยู่ในสมองเธอ
ป้อนเขาด้วยตัวเธอ…ใช้ตัวเธอ…ป้อนเขา…
สมองของซูเจี่ยนอันขาวโพลนไปหมด นานทีเดียวกว่าที่จะเรียกสติกลับคืนมาได้ เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก และพูดขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“เอ่อ…ฉันไม่อร่อยหรอกนะ แต่ไก่น้ำแดงแล้วก็ปลานึ่งที่ฉันทำอร่อยแน่นอน!”
เธอยังไม่เข้าใจ?
ลู่เป๋าเหยียนไม่พูดไม่จา เขายังคงคร่อมทับตัวเธอพลางจ้องมองมาเหมือนเดิม
ซูเจี่ยนอันไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ เธอเบนสายตาหนีเขาตลอดเวลา ผ่านไปสักพัก ดูเหมือนเธอจะเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
ป้อนเขาด้วยตัวเธอ ลู่เป๋าเหยียนหมายความว่า…หมายความว่าแบบนั้น…?
“ตาบ้าโรคจิต!” เธอถลึงตาและผลักเขาออก “ออกไปนะ ฉันจะลงไปข้างล่างแล้ว”
ที่จริงแล้ว สิ่งที่ซูเจี่ยนอันกังวลเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง โรคกระเพาะของลู่เป๋าเหยียนอาการกำเริบอีกแล้ว เพราะเธอใช้มือผลักเขาตรงท้องพอดีกับตำแหน่งของกระเพาะ ลู่เป๋าเหยียนจึงขมวดคิ้วอย่างเจ็บปวด
เธอตกใจ “นายเป็นอะไรไป”
ลู่เป๋าเหยียนจับมือของเธอออก และยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“คุณนายลู่ เธอโดนฉันคร่อมทับอยู่แบบนี้ เป็นห่วงตัวเองจะดีกว่า”
ซูเจี่ยนอันกัดฟันพูดออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“โรคจิตที่สุด!”
ลู่เป๋าเหยียนยิ้มแล้วจึงปล่อยปีศาจตัวน้อยของเขาให้เป็นอิสระ เขาเปิดลิ้นชักหัวเตียงและหยิบขวดยาสีขาวที่อยู่ในนั้น จากนั้นจึงเทยาออกมาสองเม็ดและกินเข้าไป ซูเจี่ยนอันหยิบขวดขึ้นมาดู เป็นยาโรคกระเพาะอย่างที่เธอคิด
ไม่ใช่แค่ยาโรคกระเพาะ ในลิ้นชักของเขายังมียานอนหลับอยู่ด้วย
“ลู่เป๋าเหยียน” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ “นายเป็นโรคนอนไม่หลับ?”
ลู่เป๋าเหยียนปิดลิ้นชักพลางตอบ
“นานๆ ที”
ไม่รอให้ซูเจี่ยนอันพูดอะไรต่อ เขาก็คว้ามือเธอ และเดินลงไปยังห้องอาหาร
ไก่ผัดน้ำแดง ปลานึ่ง แกงจืดมะเขือเทศใส่ไข่ กับข้าวสองน้ำแกงหนึ่งที่ส่งไอร้อนๆ อยู่บนโต๊ะอาหาร อาหารที่เรียบง่ายดูขัดกับโต๊ะอาหารสุดหรูอยู่บ้าง
ซูเจี่ยนอันพูดอย่างเกรงใจ “ฉันมีเวลาไม่มาก เลยทำอย่างอื่นไม่ทัน เอ่อ อาหารมื้อนี้ ถือว่าฉันทำเพื่อไถ่โทษแล้วกันนะ”
ความไม่พอใจที่อัดแน่นภายในใจของลู่เป๋าเหยียนหายไปตั้งนานแล้ว แต่พอได้รับการปรนนิบัติจากปีศาจน้อยแบบนี้ เขาก็ขอรับไว้แล้วกัน
“ใช่สิ นายลางานให้ฉันทั้งหมดกี่วัน” ซูเจี่ยนอันถาม
เธอไม่ได้แตะแฟ้มคดี ไม่ได้เข้าห้องชันสูตรมานานเกือบครึ่งเดือน รู้สึกไม่ชินยังไงก็ไม่รู้
“รอให้งานครบรอบบริษัทผ่านไปก่อน เธอค่อยกลับไปทำงาน” ลู่เป๋าเหยียนตอบ
“งานครบรอบสิบปีของเครือบริษัทลู่?” ซูเจี่ยนอันคิดตาม
“แต่ว่า…มันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยล่ะ”
ลู่เป๋าเหยียนมองเธออย่างสนใจ
“ทำไมเธอถึงรู้ว่าเครือลู่ครบรอบสิบปี”
“…” เอ่อ เธอจะบอกเขาได้อย่างไรว่า ตั้งแต่ที่เขาเริ่มก่อตั้งบริษัท เธอก็ติดตามข่าวสารของเครือลู่มาโดยตลอด
แต่ดูเหมือนทางลู่เป๋าเหยียนเองก็ไม่ได้อยากรู้คำตอบนัก เขาจ้องหน้าเธอพลางอธิบาย
“เธอคือคุณนายลู่ เป็นภรรยาของประธานบริษัท ลองคิดดูแล้วกัน ว่าเธอเกี่ยวข้องกับงานครบรอบในครั้งนี้ยังไง”
พูดแบบนี้ เขาจะบอกว่าเธอคือนางเอกของงาน?
ลู่เป๋าเหยียนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวจากศูนย์ กว่าจะมีเครือลู่ในวันนี้ เขาใช้เวลาและความพยายามมากขนาดไหน คนภายนอกคงยากที่จะจินตนาการ เพราะฉะนั้นงานครบรอบสิบปีในครั้งนี้ คงเป็นวันสำคัญสำหรับเขา
ซูเจี่ยนอันไม่นึกเลยว่าสองปีของการแต่งงานในครั้งนี้ เธอจะมีโอกาสอยู่เคียงข้างเขาในวันสำคัญขนาดนี้
“งั้นมีอะไรให้ฉันช่วยบ้างหรือเปล่า เพราะถึงยังไงฉันก็อยู่บ้านเฉยๆ” เธอถาม
ลั่วเสี่ยวซีก็อยู่ระหว่างเทรนนิ่ง ถ้าไม่มีอะไรทำ ซูเจี่ยนอันคงวิ่งไปหาเจียงเส้าข่ายที่โรงพยาบาลแน่นอน
ลู่เป๋าเหยียนเลิกคิ้ว “มะรืนนี้ไปบริษัทกับฉัน”
ก่อนหน้าที่เธอจะแต่งงานกับเขา เธอเคยขับรถผ่านหน้าบริษัทเขามาก็หลายหน เธอมักจะเงยหน้ามองชั้นบนสุดของตึก พลางจินตนาการถึงภาพของลู่เป๋าเหยียนขณะนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ
ที่จริงเธออยากจะเดินเข้าไปหาเขา ลู่เป๋าเหยียนอยู่ในนั้น คนที่เธอแอบชอบมานานนับสิบปีอยู่ในตึกแห่งนี้แต่ความคิดดังกล่าว ก็มักพ่ายแพ้ให้กับเหตุผลในโลกแห่งความเป็นจริง
มาวันนี้ลู่เป๋าเหยียนให้เธอตามเขาไปที่นั่น เธอพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงท่าทีตื่นเต้นจนออกนอกหน้า ไม่อย่างนั้นลู่เป๋าเหยียนคงมองออกแน่นอน
“โอเค! มะรืนนี้ฉันจะไปกับนาย!”
ลู่เป๋าเหยียนยิ้ม “งั้นกินข้าวเสร็จ อย่าลืมกินยาล่ะ”
“โอเค! ฉัน…” อยู่ซูเจี่ยนอันก็นึกขึ้นมาได้ เธอถลึงตาจ้องหน้าลู่เป๋าเหยียน
“ฮะ?”
ลู่เป๋าเหยียนตอบเสียงเนิบ “ฉันบอกว่า อย่าลืมกินยาล่ะ”
ตอนนั้นเองป้าหลิวก็ยกถ้วยยาเข้ามา
“คุณผู้หญิงค่ะ ยายังร้อนอยู่ รอสักครู่แล้วค่อยดื่มนะคะ”
“ค่ะ” ซูเจี่ยนอันตอบสีหน้าเศร้า ขณะที่เธอชั่งใจว่าจะแสดงละครฉาก ‘เผลอปัดมือโดนถ้วยยาหล่นแตก’ ดีหรือไม่ ลู่เป๋าเหยียนกลับยื่นมือมายกถ้วยยาของเธอไปไว้กับตัวเอง
เขาใช้ช้อนตักยาน้ำสีดำๆ ขึ้นมา จากนั้นก็เทกลับลงไปคนในชาม ทำแบบนี้ซ้ำๆ จนไอร้อนค่อยๆ ระเหยออกมา ไม่นานยาก็เริ่มเย็นตัวลง
จากนั้นเขาก็เลื่อนถ้วยยามาไว้ตรงหน้าเธอ
“ได้แล้ว ดื่มซะ”
กลิ่นยาฉุนๆ ลอยเข้าจมูกเธอจนรู้สึกได้ถึงรสขมแหลมติดปลายลิ้นทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดื่ม
เธอส่ายหน้าพลางมองลู่เป๋าเหยียนด้วยสีหน้าน่าสงสาร
“ไม่กินไม่ได้เหรอ? มะรืนนี้นายจะให้ฉันทำอะไรฉันยอมทุกอย่างเลย!”
ลู่เป๋าเหยียนตอบอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ไม่ได้”
“ลู่เป๋าเหยียน…” เธอส่งเสียงขอร้อง
“ดื่มซะ”
“พี่เป๋าเหยียนคะ…” เธอเริ่มใช้ไม้อ่อน
ลู่เป๋าเหยียนยิ้มบาง “เด็กดี กินยาซะนะ”
“…”
เห็นเธอทำหน้าเหมือนกำลังจะถูกผลักตกเหวแบบนั้น ลู่เป๋าเหยียนจึงปลอบเสียงนุ่ม
“เด็กดี ดื่มเข้าไปรวดเดียว ไม่ขมมากหรอก”
ซูเจี่ยนอันลังเลแล้วลังเลอีก เธอคิดอย่างสิ้นหวังว่าตนเองคงหนีไม่รอดแล้ว สุดท้ายจึงทำหน้าสู้ตายและยกมือบีบจมูก เธออ้าปากกว้างๆ เพื่อดื่มยาน้ำสีดำปิ๊ดปี๋ถ้วยนี้ลงไปรวดเดียว
รสชาติขมซึมเข้าไปทั่วลิ้น และไหลลงคอไปอย่างรวดเร็ว เมื่อดื่มหมดน้ำตาเธอแทบไหล เธอมองหน้าลู่เป๋าเหยียนอย่างเคืองๆ
“คนโกหก!”
ลู่เป๋าเหยียนตักแยมหวานๆ ที่ป้าหลิวเตรียมไว้
“อ้าปาก”
เธออ้าปากสีชมพูระเรื่อของเธอตามที่สั่ง ลู่เป๋าเหยียนจัดการป้อนแยมให้เธอ รสชาติหวานเจี๊ยบเข้าไปกลบความขมเมื่อครู่จนหมด คิ้วที่ขมวดยุ่งของเธอจึงเริ่มคลายปม
“ฉันขึ้นไปนอนก่อน มีอะไรก็ไปเรียกแล้วกัน” ลู่เป๋าเหยียนลุกขึ้นเตรียมกลับขึ้นข้างบน ซูเจี่ยนอันเรียกเขาไว้ เธออยากถามเขาว่า ยังปวดท้องอยู่หรือเปล่า แต่ก็อ้ำๆ อึ้งๆ จนลู่เป๋าเหยียนเลิกคิ้วถาม
“อยากไปนอนด้วย?”
ซูเจี่ยนอันทำหน้าเซ็ง “รีบๆ ขึ้นไปเลยนายน่ะ!”
ยังโรคจิตใส่เธอได้แบบนี้ คงไม่ปวดท้องแล้วสินะ
เธอจัดการนำถ้วยยาและขวดแยมกลับเข้าไปไว้ในครัว จากนั้นจึงเปิดตู้เย็นหาอะไรบางอย่าง
ในเมื่อตอนบ่ายเธอว่าง อย่างนั้นก็อบขนมกินกับน้ำชาฆ่าเวลาดีกว่า
แต่แล้วเธอกลับพบว่าในตู้เย็นมีไอศกรีมหลากหลายรสอยู่เต็มไปหมด
รสสตรอว์เบอร์รี รสวานิลลา…ทั้งหมดใส่ไว้ในถ้วยกระดาษที่ฉลากเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้มั่นใจ ซูเจี่ยนอันจึงหยิบมันออกมาหนึ่งถ้วยและอ่านทุกตัวอักษรบนนั้น
‘Abel homemade ice cream’
เธอเคยบอกกับลู่เป๋าเหยียนว่าสิ่งที่เธอคิดถึงมากที่สุดในอเมริกาก็คือ ไอศกรีมของร้านไอศกรีมโฮมเมดหน้ามหาวิทยาลัย โดยเฉพาะรสวานิลลาที่เธอชอบมากที่สุด
เธอบอกเขาก่อนที่เขาจะเดินทางไปทำงานที่นิวยอร์ก เขาให้สัญญากับเธอก่อนไปว่า กลับมาแล้วจะมีเซอร์ไพรส์ให้เธอ
แต่ตอนหลังเพราะข่าวฉาวของเขากับหานรั่วซี รวมถึงเรื่องที่เธอโดนจับตัวไว้ ทำให้พวกเธอทำสงครามเย็นกันอยู่นาน จนเธอนึกว่าเขาคงลืมคำสัญญาที่ให้กับเธอไปแล้ว จึงไม่กล้าถามถึงอีก
แต่การที่จู่ๆ ไอศกรีมโฮมเมดของ Abel ก็มาโผล่ที่บ้านแบบนี้ เธอก็อดสงสัยไม่ได้
เมื่อเอาเรื่องนี้ไปถามลุงสวี จึงได้รับคำตอบ
“เชฟของ Abel เดินทางจากอเมริกาเพื่อมาทำไอศกรีมที่บ้านให้โดยเฉพาะครับ”
ซูเจี่ยนอันจ้องลุงสวีไม่วางตา และถามต่อ
“เชฟคนนั้นมาที่นี่ตอนไหนคะ คุณลุงพอจำได้หรือเปล่า”
“จำได้ครับ” ลุงสวีตอบยิ้มๆ “วันที่ 3 หลังจากที่คุณชายเดินทางกลับมา พูดง่ายๆ คือวันที่คุณผู้หญิงกับคุณชายเดินทางไปที่เมือง G ครับ”
ตามแผนเดิมลู่เป๋าเหยียนจะต้องอยู่อเมริกาเจ็ดวัน ถ้าไม่ใช่เพราะเขากลับมาก่อน วันนั้นจะเป็นวันที่เขาเดินทางกลับประเทศตามตาราง
ไอศกรีมโอมเมดพวกนี้ เป็นสิ่งที่ลู่เป๋าเหยียนต้องการเอามาเซอร์ไพรส์เธอ เธอบอกเขาว่า เขาคงไม่สามารถเอาไอศกรีมกลับมาได้ สุดท้ายเขาก็เลยพาเชฟกลับมาทำให้เธอกินที่นี่ซะเลย
ว่าแต่ทำไมเขาถึงไม่บอกเธอสักคำ?
“คุณชายสั่งไม่ให้พวกเราบอกคุณผู้หญิงครับ” ลุงสวีถอนหายใจ “ช่วงนี้คุณผู้หญิงยังทานไม่ได้ คุณชายกลัวว่าคุณผู้หญิงจะอดใจไม่ไหวน่ะครับ”
ซูเจี่ยนอันถึงกับเซ็ง เธอมองไปที่ไอศกรีมตรงหน้า อืม ชักจะอยากกินขึ้นมาแล้วสิ หลังจากสู้กับความอยากอาหารไปหนึ่งยก เธอก็กลั้นใจปิดประตูตู้เย็นได้สำเร็จ
เอาเถอะ ลู่เป๋าเหยียนรู้จักเธอดี ที่เขาปิดเรื่องนี้กับเธอไว้…นับว่าฉลาด
แต่เธอในตอนนี้ก็อดดีใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้
ไอศกรีมพวกนี้ไม่ได้มีราคาแพง แพคเกจเองก็เรียบง่ายออกแนวรักษ์โลก แต่เพราะเธอเคยพูดว่าชอบกิน ลู่เป๋าเหยียนถึงกับลงทุนจ้างเชฟให้เดินทางมาทำให้เธอโดยเฉพาะ
เธอรู้มาว่าร้านไอศกรีมเล็กๆ แห่งนี้ขายดีมาก แถมเจ้าของก็ยังค่อนข้างหัวโบราณ ลู่เป๋าเหยียนเชิญเขามาที่นี่ได้ คงลำบากไม่น้อย
เพราะฉะนั้นเธอถึงดีใจเสียยิ่งกว่าได้รับเสื้อผ้าเครื่องประดับราคาแพงเสียอีก
เธอไม่รู้หรอกว่าลู่เป๋าเหยียนคิดอย่างไรกับเธอ และไม่แน่ใจด้วยว่าเขาชอบเธอบ้างหรือเปล่า
แต่เธอมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งคือ ลู่เป๋าเหยียนใส่ใจเธอ ดูแลเธอ และหวังดีกับเธอ
จากสิ่งเหล่านี้อธิบายได้ว่า อย่างน้อยลู่เป๋าเหยียนก็ไม่ได้รังเกียจเธอใช่หรือเปล่า
ถ้างั้น เธอจะลองพยายามดูสักตั้งดีไหม?
พยายามโดยไม่นึกถึงเรื่องการหย่าในอีกสองปีข้างหน้า เขาเองก็บอกว่า สิ่งที่เขาเคยพูดกับหานรั่วซีไม่ใช่คำสัญญาอะไร แบบนี้…เขาก็คงต้องการภรรยาสักคนในชีวิตถูกไหม?
ถ้าเธอจะขอลองทำให้เขาหลงรักเธอ เพื่อให้การแต่งงานครั้งนี้ดำเนินต่อไป พยายามเพื่อให้ตัวเองได้อยู่เคียงข้างเขาไปตลอดจะได้หรือเปล่า
คิดถึงตรงนี้ ซูเจี่ยนอันก็พบว่าฝ่ามือเธอเริ่มชื้นเหงื่อ
การตัดสินใจครั้งนี้ เธอกำลังท้าทายตัวเอง หลายปีมานี้ เธอไม่เคยคิดจะทำเรื่องแบบนี้มาก่อน ตอนที่ยังไม่ได้แต่งงานกับเขา หรือเคยอยู่ด้วยกันกับเขาตามลำพัง สำหรับเธอแล้วความคิดเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องที่ไม่อาจเอื้อม
คนที่เคยแอบชอบเขาอย่างเจียมตัว ตอนนี้ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะลองเอาชนะใจเขาดู เธอรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังในพริบตา
เธอกับเขารู้จักกันมาตั้งเด็ก ถังอวี้หลันเองรักเธอมาก แถมตอนนี้พวกเธอก็แต่งงานกันแล้ว เงื่อนไขทั้งหมดทำให้เธอได้เปรียบ
เพราะฉะนั้นการจีบลู่เป๋าเหยียน สำหรับเธอคงเป็นเรื่องง่ายกว่าใครๆ
งั้นตกลงตามนี้!
จากวันนี้เป็นต้นไป ใครก็ตามที่กล้าเข้าใกล้ลู่เป๋าเหยียน ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เธอจะกำจัดทิ้งให้หมด!
ในอนาคตหากซูเจี่ยนอันย้อนคิดถึงเรื่องในวันนี้ และพบว่าเป็นเพราะไอศกรีมแค่หนึ่งแถว ที่ทำให้เธอมีพลังและความกล้าหาญมากพอจะเริ่มจีบลู่เป๋าเหยียน เธอคงรู้สึกได้ว่า ตัวเองก็เคยผ่านช่วงวัยรุ่นสุดคึกคะนองมาแล้ว