ลู่เป๋าเหยียนรู้สึกว่าเธอน่ารักสดใสมานานแล้ว?
ซูเจี่ยนอันทั้งดีใจและตกใจกับคำชมของเขา
“งั้นนายยังจะจ้องฉันอีกทำไม?” ซูเจี่ยนอันยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม “หรือว่า…?”
ไม่รอให้เธอพูดจบ ลู่เป๋าเหยียนก็ดึงเธอลุกขึ้นเดิน
ลู่เป๋าเหยียนก้าวเท้ายาวๆ ของเขา ในขณะที่ซูเจี่ยนอันวิ่งซอยเท้าตามไปอย่างเร่งรีบ
“พวกเราจะไปไหนกัน?”
“เปลี่ยนชุด” ลู่เป๋าเหยียนตอบสั้นๆ เฉกเช่นทุกที
“ไม่เล่นต่อแล้วเหรอ” ซูเจี่ยนอันเพิ่งอุ่นเครื่องได้ที่ ทุกอณูของร่างกายกำลังเรียกร้องอยากลงไปเล่นต่อ ถ้าจะต้องเลิกเล่นตอนนี้คงน่าเสียดายแย่
“ไปเปลี่ยนชุดก่อน ถ้าอยากเล่นอีก เดี๋ยวฉันเล่นเป็นเพื่อน” ลู่เป๋าเหยียนพูดเสียงเฉียบ
ซูเจี่ยนอันไม่เข้าใจว่าชุดของเธอไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจ จึงได้แค่ทำตามสิ่งที่เขาบอก
สุดท้ายตอนเปลี่ยนชุด เธอเลยอาบน้ำไปด้วยทีเดียว หลังอาบเสร็จร่างกายก็สดชื่นขึ้น ยิ่งได้พัดลมเย็นๆ จากบนยอดเขาก็ยิ่งสบายตัว เธอไม่อยากเล่นกีฬาให้เหงื่อออกอีกรอบ จึงบอกกับลู่เป๋าเหยียนว่าไม่เล่นแล้ว
ลู่เป๋าเหยียนตามใจเธออย่างหาได้ยาก เขาพูดแค่ว่า
“อืม งั้นไม่เล่นแล้ว”
เธอจับมือเขาอย่างดีใจ “พวกเสี่ยวซีไปไหนแล้วล่ะ”
“พวกเขาอยู่ที่ห้องอาหาร งั้นพวกเราก็ไปกินข้าวกันเลยไหม” ลู่เป๋าเหยียนตอบ
ที่คลับเฮาส์แห่งนี้มีภัตตาคารสามแห่งคือ ภัตตาคารสไตล์จีน ตะวันตก และฝรั่งเศส พวกลั่วเสี่ยวซีตอนนี้อยู่ที่ภัตตาคารอาหารจีน
ภัตตาคารแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก การตกแต่งนั้นดูเรียบหรู ที่มุมห้องประดับด้วยดอกมะลิที่กำลังบานสะพรั่ง ดอกไม้สีขาวที่กำลังเบ่งบานส่งกลิ่นหอมจางๆ ใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา บ่อน้ำด้านนอกมีปลาคาร์ปแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางดอกบัวสีชมพูที่ผลิบานอยู่บนผิวน้ำ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้บรรยากาศในร้านอบอวลไปด้วยความเป็นจีนดั้งเดิม
ลั่วเสี่ยวซีมาที่นี่พร้อมกันกับฉินเว่ยและพวกเสิ่นเยว่ชวน ถึงเธอกับเสิ่นเยว่ชวนจะไม่ได้สนิทกันมากมาย แต่เพราะเธอเข้ากับคนอื่นง่าย คุยกันไม่กี่คำก็เริ่มซี้กับเสิ่นเยว่ชวนอย่างรวดเร็ว คนหนุ่มสาวนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยละทิ้งภาระหน้าที่การงานเอาไว้ข้างหลัง ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายสนุกสนาน
เมื่อลู่เป๋าเหยียนและซูเจี่ยนอันมาถึง เสิ่นเยว่ชวนก็บอกให้พนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟ หลังจากนั้นจึงหันมาพูดกับลู่เป๋าเหยียน
“เสี่ยวซีเป็นคนสั่งอาหารทั้งหมด ได้ข่าวว่ามีของโปรดของเจี่ยนอันอยู่ในนั้นด้วยหลายอย่างเลยล่ะ”
ลั่วเสี่ยวซีได้ยินดังนั้นจึงเคาะโต๊ะทีสองที และพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“แหม ก็ตอนนี้บอสลู่เป็นเจ้านายฉันนี่น่า บอสคะ คุณสามารถเข้าใจได้เลยค่ะ ว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่คือการประจบประแจง”
ลู่เป๋าเหยียนเข้าใจสิ่งที่ลั่วเสี่ยวซีกำลังจะสื่อในทันที จึงถามออกไป
“เธออยากได้อะไร”
ลั่วเสี่ยวซียิ้มหวานพลางตอบ “ฉันได้ยินมาว่าอีกไม่กี่วันจะมีงานครบรอบสิบปีของเครือลู่ เรื่องอื่นฉันไม่สน แต่อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็เป็นนางแบบในสังกัด เพราะฉะนั้นคุณจะส่งบัตรเชิญให้ฉันด้วยได้หรือเปล่า”
ศิลปินดาราใต้สังกัด Lu Media มีอยู่นับร้อยนับพัน งานเลี้ยงใหญ่ครบรอบสิบปีของเครือแบบนี้ ปกติแล้วดารานักแสดงที่จะได้รับเชิญมีเพียงคนดังระดับเดียวกันกับหานรั่วซีเท่านั้น
ที่ลั่วเสี่ยวซีอยากไปงานนี้เพราะเธอมีเป้าหมาย ถ้าเรื่องนี้เธอให้ซูเจี่ยนอันเป็นคนออกปาก แน่นอนว่าลู่เป๋าเหยียนจะต้องตอบรับ แต่เธอไม่อยากรบกวนเพื่อน จึงลองขอเขาด้วยตัวเอง
แต่คนที่เอาจริงเอาจังเรื่องงานอย่างลู่เป๋าเหยียน ไม่แน่อาจจะไม่ยอมตอบรับเธอง่ายๆ
ทว่า เขากลับมองหน้าซูเจี่ยนอันหนึ่งทีก่อนตอบไปว่า
“พรุ่งนี้ฉันจะให้คนส่งบัตรเชิญไปให้”
ลั่วเสี่ยวซีแทบไม่อยากเชื่อว่าตนจะโชคดีขนาดนี้ เธอยิ้มแล้วหันไปมองซูเจี่ยนอันพลางชูสองนิ้วอย่างดีใจ
อาหารเริ่มถูกทยอยนำมาเสิร์ฟ ในนั้นมีอาหารหลายอย่างที่ซูเจี่ยนอันชอบมากอยู่ด้วยจริงๆ ลู่เป๋าเหยียนรู้ดีว่าเธอชอบกินอะไร จึงคีบอาหารเหล่านั้นมาให้เธอ
“ตอนบ่ายไม่มีธุระอะไรแล้ว ค่อยๆ กินนะ”
ซูเจี่ยนอันกินอาหารตรงหน้าพลางถาม “งั้นตอนบ่ายพวกเราจะทำอะไรกัน”
“พวกฉันต้องคุยงานกัน เธอกับเสี่ยวซีลองวางแผนกันดูดีไหม”
พูดจบเขาก็คีบหมูแดงอบน้ำผึ้งของโปรดของซูเจี่ยนอันใส่ในจานเธอ
ซูเจี่ยนอันเอียงคอมองเขาอยู่ชั่วอึดใจ
“โอเค ฉันก็อยากคุยกับเสี่ยวซีอยู่พอดี งั้นถ้านายคุยงานเสร็จแล้ว เราจะกลับบ้านกันเลยหรือเปล่า”
ประโยคสุดท้ายช่างเป็นการจี้จุดอ่อนในหัวใจลู่เป๋าเหยียนเข้าอย่างจัง
“อืม” เขาตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
ขณะที่คนอื่นกำลังแสร้งทำเป็นกินอาหารไม่ก็พูดคุยกัน มีเพียงมู่ซือเจวี๋ยเท่านั้นที่ถึงกับช็อก เมื่อได้เห็นภาพของลู่เป๋าเหยียนที่ดูว่านอนสอนง่ายขนาดนี้
เรื่องที่ลู่เป๋าเหยียนชอบตามใจซูเจี่ยนอันนั้นเขารู้ดี แต่เขานึกว่าจะเป็นเฉพาะตอนที่ลู่เป๋าเหยียนอยู่กับซูเจี่ยนอันแค่สองคน แต่ในตอนนี้ ต่อหน้าพวกเขาทุกคน ลู่เป๋าเหยียนไม่แม้แต่จะปิดบังมันสักนิด
“เหอๆ” เสิ่นเยว่ชวนพูดขึ้น “ฉันช็อกจนชินไปแล้วล่ะ”
มู่ซือเจวี๋ยยกมือนวดขมับ วีรบุรุษยากที่จะผ่านด่านหญิงงาม ดูท่าเขาไม่ควรเผลอใจรู้สึกดีกับสาวงามคนไหนจะดีกว่า
หลังมื้ออาหาร พวกผู้ชายก็แยกตัวออกไปคุยงาน ลู่เป๋าเหยียนจัดการเปิดห้องรับรองให้กับซูเจี่ยนอันและลั่วเสี่ยวซี พร้อมสั่งให้คนนำผลไม้และขนมนมเนยมาให้ระหว่างที่พวกเธอนั่งคุยกันฆ่าเวลา
เครื่องเคลือบสามชั้นสุดประณีตที่มีอาหารว่างจัดเรียงอยู่อย่างสวยงามดูน่ารับประทาน ไอร้อนหอมกรุ่นที่ค่อยๆ ลอยโชยออกมาจากถ้วยน้ำชา ถาดผลไม้ที่มีผลไม้สดวางอยู่เต็ม และภาพทิวทัศน์ของป่าไม้เขียวชอุ่มนอกหน้าต่าง ทั้งหมดนี้ทำให้คนมองรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายเป็นที่สุด
ลั่วเสี่ยวซีกินไปพลางถอนหายใจ
ซูเจี่ยนอันรู้ดีว่าเพื่อนของเธอถอนหายใจทำไม
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ”
“แต่ซูอี้เฉิงคงคิดว่าฉันตั้งใจแน่ๆ” ลั่วเสี่ยวซีพูดพลางกัดมาการอง
“ชิ ถ้าฉันอยากทำให้ยัยจางเหมยนั่นบาดเจ็บจนเลิกแข่งไปแล้วล่ะก็ ฉันไม่เสียเวลาเล่นกับเธอเต็มกำลังแบบนั้นอยู่ตั้งนานหรอก ขับรถชนตั้งแต่ตอนเธอยังนั่งอยู่ในรถบริการก็หมดเรื่อง!”
ซูเจี่ยนอันเงียบไปชั่วอึดใจ
“จริงสิ ฉันยังดูไม่ออกเลยว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันแบบไหน เธอคิดว่าไง?”
ตามจีบซูเจี่ยนอันมานับสิบปี ลั่วเสี่ยวซีขายหน้ามาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความสามารถพิเศษหนึ่งอย่าง นั่นก็คือ ขอแค่เธอได้เห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขา ก็สามารถบอกได้ทันทีว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันแบบไหน
“เขากับจางเหมยดูมีอะไรพิเศษต่อกัน ต้มสุกแล้วหรือยังฉันไม่แน่ใจ แต่ว่าพวกเขา…คงต้มสุกในไม่ช้าเข้าให้สักวัน” ลั่วเสี่ยวซีพูดเสียงอ่อนใจ พลางยกมือกุมหน้า “เจี่ยนอัน ฉันรู้สึกเหนื่อยจัง”
หญิงสาวที่มาปรากฏกายอยู่เคียงข้างซูอี้เฉิงคนแล้วคนเล่า เธอเจอเรื่องแบบนี้เยอะเกินไปแล้ว
สิบกว่าปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเจี่ยนอันได้ยินลั่วเสี่ยวซีบอกว่าเหนื่อย เธอจึงถามเพื่อนออกไป
“เธอคิดจะยอมแพ้แล้วงั้นเหรอ”
นิ่งไปชั่วอึดใจ ลั่วเสี่ยวซีจึงเอามือออกจากใบหน้าและยิ้มให้ซูเจี่ยนอัน
“วางใจเถอะ ฉันพยายามมาตั้งนานขนาดนี้ ไม่ยอมแพ้กับเรื่องแค่นี้หรอก! ฉันจะต้องจับซูอี้เฉิงให้อยู่หมัดให้ได้!”
แต่ใครจะรู้ว่า หลังจากนั้นไม่นาน ลั่วเสี่ยวซีจะได้รู้ว่าชีวิตคนเราก็สามารถพบเจอเรื่องที่สิ้นหวังจนหมดกำลังใจได้เหมือนกัน คำพูดที่เธอเพิ่งกล่าว กลับกลายมาเป็นฝันร้ายที่ย้อนเข้ามาทิ่มแทงจิตใจของเธอทุกครั้งที่นึกถึง
ซูเจี่ยนอันคิดแล้วว่าลั่วเสี่ยวซีคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“จะว่าไป เธอไม่ได้อยากจะแค่ไปเดินเล่นสวยๆ ในงานครบรอบบริษัทหรอกใช่ไหม”
“แน่อยู่แล้ว!” ลั่วเสี่ยวซีตอบ “ฉันจะต้องเป็นคู่ควงของพี่ชายเธอให้ได้!”
“แล้วฉินเว่ยล่ะ เขาจะทำยังไง” ซูเจี่ยนอันถาม
“เรื่องของเขาสิ คนแบบเขาไม่ขาดคู่ควงหรอกน่า” ลั่วเสี่ยวซีตอบ “ที่วันนี้ฉันมากับเขา ก็เพราะพ่อบังคับล้วนๆ แต่ถ้าฉันไม่มาก็คงไม่รู้ว่ามีศัตรูคนใหม่โผล่มาอีกแล้ว เพราะงั้นต้องยกความดีความชอบให้พ่อนะเนี่ย!”
ซูเจี่ยนอันยิ้มไม่ออก ลั่วเสี่ยวซีถนัดเรื่องปลอบใจตัวเองที่สุด และคงเพราะสาเหตุนี้ ที่ทำให้เพื่อนเธอคนนี้ตามจีบซูอี้เฉิงมาได้ตลอดสิบกว่าปี ทั้งๆ ที่ถูกเขาปฏิเสธมาโดยตลอด
เวลาช่วงบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากบนยอดเขาสามารถเห็นพระอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำลงอย่างช้าๆ อย่างชัดเจน เมื่อพวกผู้ชายคุยงานกันเสร็จ บรรดาคนไร้คู่ทั้งหลายก็ขอตัวกลับกันหมด เหลือเพียงลู่เป๋าเหยียนกับฉินเว่ยที่เดินเข้ามารับซูเจี่ยนอันกับลั่วเสี่ยวซีที่ห้องรับรอง
ฉินเว่ยจูงมือลั่วเสี่ยวซีกลับออกไปก่อน ในขณะที่ซูเจี่ยนอันยังคงนั่งอยู่บนโซฟา ลู่เป๋าเหยียนเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า
“ที่นี่มีห้องพักอยู่ ถ้ายังไม่อยากกลับจะค้างที่นี่สักคืนก็ได้”
ซูเจี่ยนอันคิดถึงวันพรุ่งนี้ แต่ก็คิดถึงมาการองตรงหน้า แต่ท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ เธอปัดมือเบาๆ พลางลุกขึ้น
“กลับกันเถอะ พรุ่งนี้นายต้องทำงาน แถมฉันเองก็ต้องตามนายไปบริษัทอีก”
ในที่สุดลู่เป๋าเหยียนก็ได้รู้ว่าทำไมเธอไม่ยอมลุกขึ้นเสียที เขาสั่งให้คนนำรถมาจอดที่หน้าประตู และก็ได้เจอกับมู่ซือเจวี๋ยพอดี
มู่ซือเจวี๋ยยืนพิงรถแลนด์โรเวอร์สีดำสนิทด้วยท่าทีน่าเกรงขาม ทั้งๆ ที่เขาดูเป็นคนสบายๆ แต่รอบกายกลับมักเต็มไปด้วยรังสีอันตราย จนทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้
เขาเดินมาหาซูเจี่ยนอัน และยื่นนามบัตรส่งให้เธอ
“ผมลืมเอานี่ให้คุณ ฝากด้วยนะครับ”
ซูเจี่ยนอันก้มมองนามบัตรร้านอาหารหม้อไฟตรงหน้าอย่างเซอร์ไพรส์
“คุณจะมาเปิดร้านสาขาที่เมือง A จริงๆ งั้นเหรอ”
มู่ซือเจวี๋ยนิ่งไปก่อนตอบ
“ครับ จะเปิดในอีกหนึ่งอาทิตย์”
“ฉันจะไปแน่นอนค่ะ!”
ซูเจี่ยนอันให้คำมั่นสัญญา เธอยิ้มกว้างอย่างสดใส รอยยิ้มที่ฉายอยู่บนใบหน้างดงามของเธอ ทำเอาคนมองรู้สึกเพลินใจไปด้วย
มู่ซือเจวี๋ยเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมลู่เป๋าเหยียนถึงได้พยายามทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้เธอคนนี้ดีใจ
เขาแย้มยิ้มหายากออกมา
“ขอตัวก่อน”
ซูเจี่ยนอันโบกมือลา จากนั้นจึงยื่นนามบัตรให้ลู่เป๋าเหยียนดู
“เขาบอกว่าอีกหนึ่งอาทิตย์จะเปิดร้านแล้วล่ะ!”
ลู่เป๋าเหยียนไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเธอถึงได้ดีใจขนาดนี้กับแค่การเปิดร้านอาหารเล็กๆ ร้านหนึ่ง เขาเปิดประตูรถอย่างเนือยๆ
“ขึ้นรถก่อน พวกเราจะได้กลับบ้านกัน”
ซูเจี่ยนอันขึ้นรถอย่างว่าง่าย ลู่เป๋าเหยียนเข้าไปนั่งข้างหลังกับเธอ จากนั้นรถจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวมุ่งหน้ากลับไปยัง Dingya Mountain Villa
ปกติซูเจี่ยนอันมักจะนอนกลางวันเป็นกิจวัตร เนื่องจากวันนี้เธอเล่นเทนนิสช่วงเช้าไปชั่วโมงกว่า แถมตอนบ่ายก็นั่งคุยกับลั่วเสี่ยวซีโดยตลอด พอขึ้นรถจึงเริ่มง่วง ลู่เป๋าเหยียนจับศีรษะเธอให้ซบลงบนไหล่ของเขา
“นอนเถอะ ถึงบ้านแล้วจะเรียก”
“อืม”
เธอกอดแขนเขาพลางซบลงบนไหล่ราวกับหมีโคอาล่าที่เจอต้นไม้ใหญ่ของตน และไม่นานก็หลับไป
ลู่เป๋าเหยียนหยิบผ้าห่มมาคลุมให้ซูเจี่ยนอัน เมื่อมองเธอยามหลับ เขารู้สึกสงบอย่างประหลาด
รถค่อยๆ เคลื่อนตัวลงจากภูเขา ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็กลับมาถึงบ้าน เพราะกลัวจะรบกวนซูเจี่ยนอัน คนขับรถจึงลงจากรถมาเปิดประตูให้ลู่เป๋าเหยียนอย่างเงียบเชียบ
ในขณะที่ลู่เป๋าเหยียนกำลังจะอุ้มเธอลงจากรถ ซูเจี่ยนอันก็ขยี้ตาสะลึมสะลือตื่นขึ้นพอดี เมื่อเธอมองออกไปนอกกระจกหน้าต่างก็ยิ้มออกมา
“ถึงบ้านแล้ว”
“อืม” ลู่เป๋าเหยียนชักมือกลับทันที และลงรถไปพร้อมกับเธอ
แสงพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าส่องสะท้อนบนกำแพงบ้านจนกลายเป็นสีทองอ่อน สวนดอกไม้ที่มีดอกไม้น้อยใหญ่กำลังผลิบานอย่างสวยงาม ไม่ว่าจะมุมไหนก็ทำให้คนมองรู้สึกได้ทันทีว่าได้กลับมาถึงบ้านอันอบอุ่นแล้ว
จู่ๆ ซูเจี่ยนอันก็เข้ามาจับมือลู่เป๋าเหยียน เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆ เขาเห็นแววตาบางอย่างที่แตกต่างไปจากทุกที นัยน์ตาของลู่เป๋าเหยียนเจือความขบขันเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา