มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 4 บทที่ 98 ห้ามพูดเรื่องหย่าอีก

        ระหว่างพูด ซูเจี่ยนอันพยายามเก็บความรู้สึกเจ็บสะท้านที่แขนขวาของตัวเองเอาไว้โดยไม่แสดงออก

        แต่ลู่เป๋าเหยียนกลับไม่สนใจคำถามของเธอ และจับแขนของเธอมาดู ซึ่งตอนนี้อาการไม่เพียงแต่ไม่ดีขึ้น แถมยังเริ่มบวมไปทั่ว

        ตอนนั้นเองที่ซูเจี่ยนอันเพิ่งรู้ตัวว่า แขนของตนมีคราบของยาพ่นสีเหลืองอมน้ำตาลติดอยู่

        “เอ๋?

        เมื่อวานตอนอาบน้ำเธออุตส่าห์ขัดมันออกไปแล้วนี่ เธอกลัวว่ายาจะเปื้อนที่นอนเขา เลยไม่ได้พ่นซ้ำ แล้วคราบนี้มาได้อย่างไร

        เธอหันไปมองลู่เป๋าเหยียนอย่างไม่อยากเชื่อ

        “นายช่วยพ่นยาให้ฉันเหรอ”

        ลู่เป๋าเหยียนตอบเสียงเย็น

        “ก็ใช่น่ะสิ”

        “…” ได้ยินดังนั้น ซูเจี่ยนอันก็เริ่มจินตนาการถึงภาพของเขาขณะนั่งพ่นยาให้เธออยู่ข้างเตียง แสงไฟสีนวลอบอุ่นที่อาบลงบนใบหน้าเขาคงดูหล่อสุดๆ…

        ทำไมเธอไม่รู้จักตื่นขึ้นมาดูนะ

        ด้วยอาชีพของเธอ ตามปกติแล้วต่อให้หลับลึกแค่ไหน แค่ได้ยินเสียงโทรศัพท์หรือเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ เธอก็มักจะตื่นในทันที นอกเสียจากว่า…จิตใต้สำนึกของเธอรู้สึกว่าคนคนนั้นคือคนที่เธอเชื่อใจ เช่น ซูอี้เฉิงหรือลั่วเสี่ยวซี

        แต่กับลู่เป๋าเหยียน…เธอเชื่อใจเขาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรเขาทำตัวโรคจิตใส่เธอออกจะบ่อยไม่ใช่หรือไง…

        “ลุก” ลู่เป๋าเหยียนออกคำสั่ง “กินข้าวเช้าเสร็จแล้วไปโรงพยาบาลอีกรอบ”

        ซูเจี่ยนอันจิ้มบริเวณที่อักเสบจนบวมเริ่มกว่าเดิมก่อนเอ่ย

        “ไม่ต้องหรอก ทายาอีกหน่อยเดี๋ยวก็หายบวมแล้วล่ะ”

        ลู่เป๋าเหยียนหรี่ตาเรียวยาวของตน ส่งรังสีน่ากลัวออกมาจนซูเจี่ยนอันเริ่มจะกลัวนิดๆ

        “ทำไมล่ะ ฉันก็เป็นหมอเหมือนกันนะ มันไม่ได้อาการหนักขนาดนั้นจริงๆ…”

        ลู่เป๋าเหยียนนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ชอบโรงพยาบาล จึงปล่อยเลยตามเลย

        “งั้นพวกเรามาคุยเรื่องวันก่อนกันหน่อย”

        ซูเจี่ยนอันนิ่งอึ้งไป เธอจ้องลู่เป๋าเหยียนอย่างพิจารณา ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทำงานแล้วเรียบร้อย โดยมีโน้ตบุ๊คตั้งไว้อยู่บนโต๊ะน้ำชาหน้าโซฟา แถมข้างๆ กันนั้น ยังมีเอกสารอยู่หลายชุดที่ถูกเปิดค้างไว้อยู่

        เขาคงตื่นตั้งนานแล้ว แถมยังเริ่มทำงานแล้วด้วย ว่าแต่…ข้าวของที่ดูระเกะระกะนั่น หรือเป็นเพราะว่าเขารีบวิ่งมาหาเธอทันทีที่ได้ยินเสียงร้องของเธอ?

        คิดได้ดังนั้น ซูเจี่ยนอันก็เริ่มให้อภัยเขานิดหน่อย แต่ก็ยังเบือนสายตาหนีหน้าเขาอยู่ดี

        “นายอยากจะคุยอะไร คุยเรื่องที่ว่าทำไมจู่ๆ นายก็โมโหโดยไม่มีสาเหตุน่ะเหรอลู่เป๋าเหยียน ฉันขอเตือนนายไว้อย่าง เรื่องหย่านายเป็นคนบอกฉันเองเมื่อวันแต่งงาน ฉันก็อุตส่าห์ให้ความร่วมมือกับนาย สัญญาว่าจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามชีวิตนาย เราจะจากกันด้วยดี แล้วนายยังจะเอาอะไรจากฉันอีก?

        ลู่เป๋าเหยียนจ้องหน้าซูเจี่ยนอันอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

        “เจี่ยนอัน ฉันขอโทษ”

        เป็นความผิดของเขาจริงๆ นั่นแหละ…เขาเข้าใจผิดไปเองว่าซูเจี่ยนอันตั้งตารอคอยการหย่า แต่ที่จริงเธออาจจะแค่สงสัยว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงบอกว่าจะไม่หย่าแล้วก็ได้

        นานๆ ทีบอสลู่ผู้ยิ่งใหญ่จะเอ่ยคำขอโทษกับใคร ซูเจี่ยนอันคิดๆ ดูแล้วรู้สึกว่าตัวเองได้กำไร ว่าแล้วจึงหันหน้ากลับไปหาเขา

        “คุณลู่กำลังขอโทษฉันอยู่เหรอคะเนี่ย”

        ลู่เป๋าเหยียนรู้ดีว่าซูเจี่ยนอันคงไม่ปล่อยโอกาสอันดีงามนี้หลุดลอยไป

        “ครับ”

        “เมื่อกี้ฉันได้ยินไม่ค่อยถนัด” เธอเอียงคอพลางยิ้ม

        “ไหนลองพูดใหม่อีกรอบช้าๆ ชัดๆ สิ”

        ลู่เป๋าเหยียนกัดฟันพูดออกมา

        “ฉันบอกว่า ฉันขอโทษ”

        หางเสียงของเขาเจือรังสีน่ากลัวบางอย่าง ซูเจี่ยนอันเลยไม่กล้าเล่นตัวไปมากกว่านี้ ไม่งั้นเขาคงโมโหอีกแน่ เธอจึงถามเขาไปว่า

        “เมื่อวานตอนเช้าทำไมนายเมินฉัน?

        ลู่เป๋าเหยียนขมวดคิ้ว “ก่อนฉันจะไปบริษัท เธอไม่ได้ลงมาข้างล่าง แล้วฉันไปเมินเธอตอนไหน”

        “ฉันพูดถึงตอนที่เราเจอกันหน้าห้อง!”

        “ตอนนั้นฉันจะรีบไปบริษัท ก็นึกว่าเธอจะเดินตามลงมา” ลู่เป๋าเหยียนกุมขมับอย่างปวดหัว “แต่เธอดันเดินกลับเข้าห้อง แล้วเธอก็ไม่ใช่คนตื่นเช้าขนาดนั้น ฉันก็นึกว่าเธอกลับไปนอนต่อน่ะสิ”

        “…”

        ซูเจี่ยนอันพูดไม่ออก

        ความผิดหวัง ความโศกเศร้าเมื่อวาน เป็นเรื่องที่เธอคิดไปเอง เธอซื่อบื้อชะมัดที่ยอมทนหิวไม่ยอมลงไปกินข้าวแบบนั้น

        ถ้าเธอลงไป เรื่องทุกอย่างก็คงคลี่คลายไปนานแล้ว และเธอก็อาจจะไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้

        ลู่เป๋าเหยียนรู้ทันทีว่าซูเจี่ยนอันเริ่มคิดฟุ้งซ่าน จึงเริ่มทายาที่หน้าผากให้เธอ

        “ทีหลังมีเรื่องอะไรให้ถามฉันตรงๆ อย่าหมกตัวอยู่แต่ในห้องคิดเดามั่วซั่ว”

        ซูเจี่ยนอันเบะปาก “อย่ามาว่าแต่ฉันนะ วันก่อนนายเองก็ไม่ยอมบอกเหมือนกันน่ะแหละ ว่านายโมโหเรื่องอะไร”

        ลู่เป๋าเหยียนชะงักมือไปเล็กน้อย ก่อนจะแปะแผ่นยาแก้ปวดลงไป

        “เจี่ยนอัน ต่อไปนี้ห้ามพูดเรื่องหย่าอีก”

        ซูเจี่ยนอันกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ตอบรับกลับไป

        “อืม รู้แล้ว”

        ขอแค่เขาไม่พูดเรื่องนี้ออกมาก่อน เธอก็ไม่พูดอยู่แล้ว เรื่องง่ายๆ

        ส่วนที่ว่าทำไมลู่เป๋าเหยียนถึงไม่อยากให้เธอพูดเรื่องหย่าออกมาอีกนั้น…เธอก็อยากจะถามเขาออกไปเหมือนกัน แต่…ช่างมันเถอะ ไหนๆ ตอนนี้พวกเธอก็คืนดีกันแล้ว ถ้าคำตอบที่ได้รับเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากได้ยิน จะทำให้เฟลเสียเปล่าๆ

        “โอเคแล้ว” ลู่เป๋าเหยียนเอ่ยหลังจากแปะแผ่นยาให้เธอเรียบร้อย

        แต่ซูเจี่ยนอันกลับเข้าใจผิดว่า ลู่เป๋าเหยียนพูดถึงเรื่องหย่าว่าให้ปล่อยผ่านมันไป เธอจึงถลึงตามองหน้าเขา

        “โอเคอะไรไม่โอเคเลยสักนิด!”

        นานๆ ทีลู่เป๋าเหยียนจะเห็นเธอทำอะไรบุ่มบ่าม เลยไม่อยากไปแก้ความเข้าใจผิดของเธอ เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย

        “งั้นเธอจะเอายังไง”

        ซูเจี่ยนอันชี้นิ้วไปที่ประตูห้อง “นายไปยืนตรงนั้น ห้ามขยับ แล้วมองมาทางฉัน”

        ลู่เป๋าเหยียนทำตามที่เธอบอก ก่อนจะเห็นซูเจี่ยนอันลงจากเตียง และเดินผ่านหน้าเขาออกจากห้องไปด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง

        หลังออกมานอกห้อง ซูเจี่ยนอันก็หลับตาพริ้มดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ได้รังแกลู่เป๋าเหยียนในครั้งนี้

        รู้สึกดีเป็นบ้า!

        ทว่า ยังไม่ทันที่เธอจะได้ดื่มด่ำกับมันอย่างเต็มอิ่ม เสียงเนือยๆ ของลู่เป๋าเหยียนก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

        “เธอมั่นใจว่าจะใส่ชุดนี้ลงไปข้างล่าง”

        ซูเจี่ยนอันก้มมองชุดของตัวเอง

        เอ่อ…เธอยังอยู่ในชุดนอนเด็กน้อยของเธออยู่เลยนี่นา…

        เสียงเด็ดขาดชัดเจนดังสวนกลับไป

        “ใครบอกกันว่าฉันจะลงไปตอนนี้?

        ในขณะที่กำลังเดินกลับเข้าห้อง เธอก็ถูกลู่เป๋าเหยียนรั้งตัวเอาไว้ เธอเงยหน้ามองเขาอย่างงงๆ ก่อนจะโดนดึงเข้าสู่อ้อมกอดไปอย่างไม่ทันตั้งตัว

        สัมผัสอันชิดใกล้ของคนสองคน ทำให้ซูเจี่ยนอันรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของเขา

        “นาย…” คราวนี้ไม่เพียงแต่ร่างกายเธอเท่านั้นที่เริ่มเกร็ง เสียงเธอก็ด้วย

        “นายปล่อยฉันนะ ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”

        ลู่เป๋าเหยียนโอบรอบเอวเธอ “เรื่องที่ฉันบอกเมื่อกี้ จำได้หรือยัง”

        ซูเจี่ยนอันพยักหน้า “ฉันจะไม่พูดเรื่องการหย่าอีกแล้ว…อื้อ…”

        ยังพูดไม่ทันจบ ริมฝีปากของเธอก็ถูกเขาครอบครองเสียแล้ว ถ้อยคำที่ตั้งใจจะกล่าวเลยถูกเขาหยุดไว้กลางคัน

        ในขณะที่เธอยังมึนงง ลู่เป๋าเหยียนก็พรมจูบไปทั่วเรียวปาก

        สัมผัสที่เย้ายวนทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปทั่วร่าง ไม่รู้ว่าเมื่อไรกันที่เธอเลิกขืนตัว และยอมอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างว่าง่าย

        สงครามเย็นตลอดหนึ่งวันที่ผ่านมาทำให้เธอรู้สึกแย่ เธอรู้สึกโหยหารสจูบของเขาอย่างน่าแปลกใจ

        ลู่เป๋าเหยียนกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ก่อนจะจูบอย่างดุดันราวกับจะกลืนกินเธอลงไปทั้งตัว ไม่นานซูเจี่ยนอันก็เริ่มหายใจไม่ออก พวงแก้มใสเริ่มกลายเป็นสีแดงระเรื่อ เธอเริ่มขาดอากาศหายใจ จึงยกมือดันเขาให้ออกห่าง

        ลู่เป๋าเหยียนจูบเธอหนักๆ อีกหลายครั้งก่อนจะยอมผละออกจากเรียวปากงาม สายตาไม่พอใจปนหลงใหลของเขามองมาทางเธอ ทำเอาหัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ

        นิ้วเรียวยาวของเขาลูบไล้ริมฝีปากเธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยคำขู่ด้วยเสียงแหบพร่า

        “ถ้าเธอพูดเรื่องหย่าอีกครั้ง ฉันจะไม่ทำแค่จูบแน่ เข้าใจ?

        ถึงสมองของซูเจี่ยนอันจะยังมึนงง แต่เธอก็พยักหน้ายืนยัน

        “เข้าใจแล้ว!”

        รอยยิ้มอย่างพอใจฉายชัดบนใบหน้าของเขา ก่อนจะปล่อยเธอให้เป็นอิสระ

        ซูเจี่ยนอันสูดหายใจลึก ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป เธอเกาะอ่างล้างหน้าด้วยมือข้างเดียวพลางหอบหายใจ

        หญิงสาวที่สะท้อนอยู่ในเงากระจกเวลานี้ พวงแก้มทั้งสองข้างกลายเป็นสีแดงก่ำ ริมฝีปากบวมติดแดงนิดๆ แววตาเปล่งประกายระยิบระยับ

        เธอคงต้องแปรงฟันเพื่อสงบสติอารมณ์สักหน่อย!

        และแล้วเธอก็ได้รู้ซึ้งถึงความลำบากของการใช้แขนขวาไม่ได้ ใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียวแปรงฟันว่ายากแล้ว การเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตัวเองนั้นยากกว่า เธอค่อยๆ ใส่เสื้ออย่างระมัดระวังไม่ให้ไปโดนแผลอีกรอบอย่างช้าๆ

        ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร

        เธอพูดออกไปอย่างยากลำบาก

        “อีกห้านาที!”

        สุดท้ายกว่าเธอจะปลุกปล้ำกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเสร็จสิ้นก็ใช้เวลาเป็นสิบนาที เมื่อเดินออกจากห้องน้ำมา ก็เห็นลู่เป๋าเหยียนกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่บนโซฟา

        มองจากจุดที่เธอยืนอยู่ แสงแดดในยามเช้าที่ส่องกระทบใบหน้าด้านข้างอันได้รูปและโครงหน้าที่เด่นชัดของเขา ทำให้เธออดใจเต้นไม่ได้

        ซูเจี่ยนอันลอบกลืนน้ำลาย

        ตอนนั้นเอง ลู่เป๋าเหยียนก็วางเอกสารในมือและหันมามอง

        “เราควรลงไปได้แล้ว”

        ซูเจี่ยนอันรีบเก็บอาการใจเต้นของตนเอาไว้ ก่อนจะเดินตามเข้าออกจากห้องไป

        โดยนึกไม่ถึงเลยว่า จะได้พบกับถังอวี้หลันที่หน้าห้อง

        เห็นได้ชัดว่าถังอวี้หลันเองก็เพิ่งตื่น เธอมองลู่เป๋าเหยียน ก่อนจะมองมาทางซูเจี่ยนอันและยิ้มออกมา อยู่ๆ ซูเจี่ยนอันก็รู้สึกเหมือนเด็กที่กำลังทำเรื่องไม่ถูกไม่ควร จึงเขยิบเข้าไปหลบอยู่ข้างหลังลู่เป๋าเหยียน

        ลู่เป๋าเหยียนดึงเธอให้ออกมาเผชิญหน้ากับความจริง ซูเจี่ยนอันพยายามฝืนยิ้มทักทายอย่างเต็มที่

        “อรุณสวัสดิ์ค่ะแม่”

        “อรุณสวัสดิ์จ้ะ” ถังอวี้หลันยิ้มกว้าง “แขนหนูดีขึ้นบ้างหรือยัง”

        “ยังไม่หายบวมค่ะ แต่เดี๋ยวทายาอีกหน่อยก็คงดีขึ้นค่ะ”

        “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เรียกหมอมาดูที่นี่นะ ว่าแต่ตอนนี้เราลงไปกันเถอะ ลุงสวีบอกว่าเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เรียบร้อยแล้ว” ถังอวี้หลันกล่าว

        อาหารเช้าวันนี้เป็นสไตล์จีนอย่างที่ถังอวี้หลันชอบ หลังนั่งลงซูเจี่ยนอันกำลังคิดว่าจะเอื้อมมือไปรินน้ำ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองแขนเจ็บ ในขณะที่กำลังจะเปลี่ยนไปใช้มือซ้ายแทน ลู่เป๋าเหยียนก็ช่วยรินน้ำให้เธอจนเต็มแก้วเสียแล้ว

        “ขอบคุณนะ” เธอยิ้มตอบ

        ถังอวี้หลันเห็นการกระทำดังกล่าวของคู่สามีภรรยา ก็ยิ่งปลาบปลื้มใจ

        หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ลู่เป๋าเหยียนก็รับเอกสารจากลุงสวี และออกไปบริษัททันที ในบ้านจึงเหลือแค่ถังอวี้หลันกับซูเจี่ยนอันแค่สองคน

        เมื่อใช้ประคบน้ำแข็งและพ่นยาเรียบร้อยแล้ว ซูเจี่ยนอันก็ไม่มีอะไรทำ จึงหยิบ iPad ขึ้นมาเล่นอินเทอร์เน็ต ที่จริงเธอไม่ได้คิดจะอ่านข่าว ทว่ามีพาดหัวข่าวอันหนึ่งดึงดูดสายตาเธอเอาไว้พร้อมกับความสงสัยที่ท่วมท้น

        เพื่อยืนยันในสิ่งที่กำลังคาดเดา เธอจึงคลิกเข้าไปอ่านข่าวที่ว่า…

Author สายลมสงบ