ซูอี้เฉิงคิดจะดึงมือลั่วเสี่ยวซีออกไป แต่ดูท่าเธอคงจะกลัวจริงๆ เธอมองขาตัวเองที่บาดเจ็บด้วยดวงตาคู่งามที่เต็มไปด้วยความกังวล พลางจับมือเขาแน่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
สุดท้ายซูอี้เฉิงจึงปล่อยให้เธอจับมือเขาเอาไว้อย่างนั้น
เขาดั้นด้นตามเธอไปถึงบนเขา ต่อให้สะบัดมือเธอออกตอนนี้ก็ไม่สามารถลบล้างสิ่งที่เขาทำลงไปได้
“คุณหนูลั่ว พวกเราจะนำเศษกระจกออกมาก่อนนะคะ อาจจะเจ็บนิดหนึ่ง ทนหน่อยนะคะ”
ลั่วเสี่ยวซีมองรอยยิ้มของหมอหญิงตรงหน้า เธอกัดริมฝีปากตัวเองอยู่นานก่อนจะ “อืม” ตอบกลับไป
ตอนเศษกระจกทิ่มเข้าไปในเท้าของเธอเป็นช่วงเวลาที่เธอไม่ทันตั้งตัว แต่ตอนนี้…เธอไม่อยากคิดเลยว่าตอนที่หมอเอาพวกมันออกมาทีละชิ้นๆ เธอจะรู้สึกเจ็บขนาดไหน
เธอเผลอบีบมือซูอี้เฉิงแรงขึ้นอย่างลืมตัว
“ทำไมบริษัทถึงอยากให้เธอเข้าวงการก่อนกำหนด” จู่ๆ ซูอี้เฉิงก็ถามเธอ
ลั่วเสี่ยวซีมองหน้าเขาก่อนจะยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“บอสลู่ของพวกเราเห็นพรสวรรค์ฉันน่ะสิ อยากดังต้องรีบหน่อย ตอนนี้ฉันอายุตั้งยี่สิบสี่แล้ว เทียบกันแล้วฉันเข้าวงการช้ากว่าพวกนางแบบวัยรุ่นอายุสิบเจ็ดสิบแปดอยู่มาก เพราะฉะนั้นเลยต้องรีบน่ะ”
“เธออยากดังขนาดนั้นเลย?”
สีหน้าของซูอี้เฉิงเรียบเฉย มีเพียงริมฝีปากบางน่ามองของเขาที่คล้ายจะเยาะเย้ยลั่วเสี่ยวซีก็ไม่เชิง
“หมายความว่าไง นี่นายคิดว่าฉันแค่อยากจะดัง คิดว่าถ้าดังแล้วสนุกดีงั้นเหรอ? นายยังคิดว่าฉันทำอะไรเล่นๆ อยู่อีกใช่ไหม?” ลั่วเสี่ยวซีเกลียดที่สุดคือเวลาเขามีท่าทีแบบนี้ เธอเชิดหน้าขึ้นอย่างรั้นๆ
“ซูอี้เฉิง ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่านายมองฉันผิดไป”
การเป็นนางแบบคืออาชีพของเธอ ก็เหมือนกับที่ซูอี้เฉิงบริหารบริษัท ซูเจี่ยนอันเป็นแพทย์นิติเวช เธอตัดสินใจแล้วว่าจะจริงจังกับอาชีพนี้
เพื่องานนี้เธออดทนฝึกฝนอย่างหนักทุกวัน ขณะที่เธอออกกำลังกายจนเหงื่อเต็มหลัง ก็ต้องฟังอาจารย์อธิบายความรู้ต่างๆ ไปด้วย เธอไม่เพียงแต่ต้องดูแลรูปร่างให้สวยงาม แต่ยังต้องจำสิ่งที่อาจารย์พูดให้ได้ทั้งหมด
สิ่งที่เธอทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ ซูอี้เฉิงกลับหาว่าเธอแค่เล่นสนุกเนี่ยนะ
“ซูอี้เฉิง คนอย่างพวกนายนี่น่ารังเกียจชะมัด!”
ยิ่งคิดลั่วเสี่ยวซีก็ยิ่งโมโห สมัยเรียนเธอก็มักจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ประจำ คนอื่นพากันคิดว่าคนรูปร่างหน้าตาอย่างเธอ คงจะเหมือนพวกเฉินเสวียนเสวียนที่พักอยู่ในอพาร์ทเมนต์สุดหรูนอกโรงเรียน วันๆ เอาแต่ไปเดทกับชายหนุ่มรูปงาม แต่งตัวสวยเฉิดฉายไปร่วมงานปาร์ตี้ต่างๆ
ที่เห็นเธอก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือก็แค่สร้างภาพ ที่เธอได้ที่หนึ่งคงเป็นเพราะใช้เส้นสาย ต่อให้เธอจริงจังกับเรื่องอะไรก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราว
หลายคนเมื่อได้ยินว่าเธอเรียนจบปริญญาโทได้อย่างราบรื่น ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาก็คือ
เธอเนี่ยนะ เป็นไปได้ยังไง? ซื้อปริญญาจากมหาวิทยาลัยโนเนมมาหรือเปล่า?
สวรรค์ประทานรูปร่างหน้าตาแบบนี้มาให้เธอ แล้วเธอต้องทำตัวเป็นแค่ดอกไม้ประดับที่มีแต่แค่ความสวยอย่างเดียวหรืออย่างไร?
เธอปฏิเสธในเรื่องที่ไม่อยากทำ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ทะเยอทะยาน ตอนนี้เธอเจอสิ่งที่อยากจะพัฒนาตัวเองเพื่อทำมันให้สำเร็จแล้ว แต่คนกลับคิดว่าเธอแค่อยากมีชื่อเสียง?
WTF!
“เสร็จแล้วค่ะคุณหนูลั่ว ดิฉันนำเศษกระจกที่ฝังอยู่ออกหมดแล้วล่ะค่ะ” หมอหญิงวางแหนบลงบนถาดเงิน “ต่อไปพวกเราจะช่วยล้างแผลให้นะคะ อันนี้คงจะไม่เจ็บเท่าไร แป๊บเดียวก็เสร็จแล้วล่ะค่ะ”
ลั่วเสี่ยวซียังคงคิดนู้นคิดนี่อย่างหงุดหงิด เธอนิ่งไปอยู่นานก่อนจะพยักหน้าตอบ พลางเบือนสายตาหนีหน้าซูอี้เฉิง
น่าโมโหชะมัด
การทำแผลใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ นางพยาบาลผู้รอบคอบช่วยหารองเท้าแตะมาให้ลั่วเสี่ยวซีสวมชั่วคราว รอบนี้ลั่วเสี่ยวซีไม่ยอมนั่งบนรถเข็นอีกต่อไป และจะไม่ขอร้องให้ซูอี้เฉิงอุ้มอีกแล้ว เธอค่อยๆ เกาะกำแพงเดินออกไปด้านนอกด้วยตัวเอง
ซูอี้เฉิงเดินตามหลังเธออย่างไม่เร่งรีบ สายตาเขาจ้องมองไปยังแผ่นหลังบางของเธอ
หลายปีมานี้ลั่วเสี่ยวซีชอบมาปรากฏตัวให้เขาเห็นโดยไม่บอกกล่าว และทุกครั้งเขามักจะเห็นแต่สีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเธอ
ทว่าวันนี้เขาเพิ่งสังเกตว่าเธอผอมมาก แต่ถึงกระนั้นร่างบางตรงหน้าไม่รู้ไปเอาความดื้อรั้นมาจากไหน เป็นความดื้อรั้นที่แตกต่างจากเจี่ยนอัน
เจี่ยนอันมักจะดื้อเงียบ เวลามีคดีที่คลี่คลายไม่ออก น้องสาวของเขาจะไม่โวยวายจนโยนคีย์บอร์ดทิ้ง ไม่นั่งกุมหน้าถอนหายใจอยู่บนเก้าอี้ให้เสียเวลา เธอมักจะคิดอย่างมีสติ ค่อยๆ ทำการทดลองคิดวิเคราะห์จนกว่าจะหาคำตอบได้สำเร็จ เธอถึงจะยอมวางมือ
แต่ความดื้อรั้นของลั่วเสี่ยวซีก็เหมือนความสวยของเธอที่โดดเด่นและชัดเจนไม่ปิดบัง แค่มองจากแผ่นหลังเธอ เขาก็สัมผัสได้ทันทีว่าเธอคงกำลังเดินกัดฟันพลางคิดต่อว่าเขาในใจ
ซูอี้เฉิงเดินตรงเข้าไปอุ้มลั่วเสี่ยวซีขึ้นมา
ลั่วเสี่ยวซีดิ้นทันทีเมื่อเขาอุ้มเธอ
“ปล่อยฉันลงนะ!”
ซูอี้เฉิงก้าวเท้าอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่มองเธอด้วยซ้ำ
“ถ้าปล่อยให้เธอค่อยๆ คลานไปแบบนี้ กว่าจะออกไปได้ฟ้าคงสว่างพอดี”
ลั่วเสี่ยวซีฝังเขี้ยวลงบนแขนของซูอี้เฉิงไปหนึ่งที เขาขมวดคิ้วยุ่ง
“ลั่วเสี่ยวซี เธอเกิดปีหมาหรือไง?”
“บ้าเหรอ!” ลั่วเสี่ยวซีตอบอย่างมีน้ำโห “ฉันเกิดปีสิงโตต่างหาก!”
ซูอี้เฉิงจับเธอเข้าไปนั่งในรถ “เธอจะกลับไปที่ไหน”
“อพาร์ทเมนต์ของฉัน” ลั่วเสี่ยวซีหยิบมือถือโทรไปที่บ้านก่อนจะบอกกับพวกเขาว่าเธอซ้อมจนเลิกดึกไปหน่อยเลยจะไปพักที่อพาร์ทเมนต์ในเมือง คืนพรุ่งนี้ค่อยกลับไปที่บ้าน
ซูอี้เฉิงรู้ที่อยู่ของอพาร์ทเมนต์ลั่วเสี่ยวซีดี เพราะเธอเคยตื๊อให้เขามาส่งอยู่หลายครั้ง มันอยู่ไม่ไกลจากอพาร์ทเมนต์ของเขามากนัก
เขาสตาร์ทรถก่อนจะขับออกไป ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถึงจุดหมาย
“ขอบคุณ” ลั่วเสี่ยวซีกำลังผลักประตูรถ แต่ก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
“ขอบคุณที่นายช่วยฉัน แถมยังมาส่งฉันที่บ้านอีก ครั้งนี้ฉันติดหนี้นาย”
ซูอี้เฉิงหันไปมองหน้าเธอ “เธอคิดจะตอบแทนฉันยังไง”
“ฉันจะไม่ตามตื๊อนายเป็นเวลาหนึ่งเดือน” ลั่วเสี่ยวซีตอบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถามยิ้มๆ
“เป็นไง ตานายขอบคุณฉันบ้างหรือยัง”
ทว่าแววตาของซูอี้เฉิงกลับเย็นเยียบลงเสียอย่างนั้น เธอมองไม่ออกว่าเขาโมโหหรือว่าดีใจ ได้ยินแต่เพียงคำพูดที่ว่า
“งั้นตอนนี้เธอก็ควรรีบลงไปได้แล้ว”
“ชิ” ลั่วเสี่ยวซีผลักประตูตั้งท่าจะลงจากรถ แต่ก็ฉุกคิดเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้
“นายอยู่กับฉันดึกขนาดนี้ แฟนนายไม่เข้าใจผิดเอาหรือไง”
ซูอี้เฉิงขมวดคิ้วก่อนถาม “แฟนอะไร?”
“จางเหมยไง ยังจะแกล้งทำเป็นไม่รู้อีก” ลั่วเสี่ยวซีแค่นยิ้ม “เมื่อคืนฉันไปที่โรงแรมมา จางเหมยเป็นคนมาเปิดประตู เธอสวมชุดคลุมอาบน้ำแถมที่คอยังมีรอยจูบอีก พวกนายนี่จัดหนักกันจริงนะ”
ซูอี้เฉิงจ้องหน้าเธออยู่สักพัก ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น
“ถ้าเธอรู้ก็คงเข้าใจผิด แล้วเธอจะทำยังไง”
“ไม่ทำไง!” ลั่วเสี่ยวซีตอกกลับเสียงเย็น “เธอจะเข้าใจผิดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน? ฉันอยากให้พวกนายทะเลาะกันจะตาย!”
เธอลงจากรถก่อนจะเดินกะเผลกๆ ติ๊ดบัตรเข้าอพาร์ทเมนต์ไปโดยไม่หันกลับมามองสักนิด
ห้องของเธออยู่ที่ชั้นสิบหก เมื่อเห็นไฟสว่างขึ้นมา ซูอี้เฉิงถึงสตาร์ทรถและขับรถกลับอพาร์ทเมนต์ของเขา
เมื่อกลับมาถึงห้องมือถือของเขาก็ดังขึ้น เป็นจางเหมยที่โทรเข้ามา
เมื่อคืนเขาบอกกับจางเหมยอย่างชัดเจนแล้วนี่ ดึกดื่นป่านนี้เธอจะยังโทรหาเขาทำไมอีก?
หลังรับโทรศัพท์ เสียงร้องไห้ของจางเหมยก็ดังขึ้น เขาถอนหายใจก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา
“จางเหมย”
“ฉัน…” จางเหมยสะอึกสะอื้นไม่หยุด “อี้เฉิง ฉันผิดไปแล้ว ฉันรับรองว่าจะไม่คิดอะไรเกินเลยกับคุณอีก คุณอย่าสั่งย้ายฉันเลยนะคะ ได้ไหม?”
เมื่อคืนเธอนึกว่าตนจะได้ครอบครองซูอี้เฉิงแล้ว แต่จู่ๆ เขาก็ผลักเธอออกก่อนเอ่ยคำขอโทษ แล้วบอกกับเธอว่าเขาทำแบบนี้ไม่ได้
คนที่เกือบจะคว้ามาได้กลับหนีห่างออกไปในชั่วพริบตา จางเหมยเฝ้าคอยเวลานี้มานานแสนนาน แต่จู่ๆ ลูกโป่งแห่งความสุขก็แตกสลายลงตรงหน้า ทำให้เธอถึงกับเสียศูนย์
เธอเข้าหาเขา พยายามทำทุกอย่างให้เขาต้องการเธอ แต่ซูอี้เฉิงกลับนิ่งเฉยราวกับกำลังเจรจาธุรกิจ เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น
เธอรู้สึกเหมือนคนที่กำลังพ่ายแพ้ เธอทรุดลงข้างเตียงก่อนจะร้องไห้โฮพร่ำถามซูอี้เฉิงว่าทำไม
แต่เขาแค่ขอโทษ ไร้ซึ่งคำอธิบายใดๆ เขาบอกกับเธอว่าเพื่อไม่ให้กระทบกับงาน และไม่ให้เธอรู้สึกอึดอัด เขาจะย้ายเธอไปเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด จากนั้นเขาก็จากไป
ตอนที่ลั่วเสี่ยวซีมาที่โรงแรม แท้ที่จริงแล้วในห้องนั้นเหลือเพียงเธอคนเดียว
วันนี้เธอถึงนึกขึ้นได้ว่า หากซูอี้เฉิงสั่งย้ายเธอไปจริงๆ คนทั้งบริษัทคงรู้กันหมดว่าเธอล้มเหลว
สิ่งที่เธอต้องเผชิญไม่ใช่แรงกดดันเรื่องงาน แต่เป็นคำนินทาของเพื่อนร่วมบริษัททุกคน และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ โอกาสที่เธอจะได้เจอกับซูอี้เฉิงนั้นแทบจะไม่มีอีกต่อไป
ดังนั้นเธอจึงร้องไห้และโทรศัพท์มาขอร้องเขาว่าอย่าสั่งย้ายเธอไปไหน
ขอแค่ได้อยู่ข้างกายเขา เธอก็ยังพอมีโอกาส
“ต้องขอโทษด้วยจางเหมย ผมคงต้องสั่งย้ายคุณไปฝ่ายการตลาด” ซูอี้เฉิงปฏิเสธ “คงต้องทำแบบนี้คุณถึงจะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน แต่ถ้าคุณรับไม่ได้ก็ลาออกซะ บริษัทจะจ่ายค่าชดเชยให้ตามที่ระบุในสัญญา และถ้าหากคุณต้องการ ผมจะเขียนจดหมายแนะนำให้ คุณสามารถนำไปยื่นสมัครงานที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่เครือเฉิงอัน”
“ฉันไม่ต้องการไปไหน…” จางเหมยเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองอย่างชัดเจน ซูอี้เฉิงตัดสินใจย้ายเธอแน่แล้ว เธอคงเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ ถ้าเธอไม่ลาออกไป เธอก็ต้อง…
“โอเคค่ะ ฉันจะย้ายไปฝ่ายการตลาด” เธอตอบตกลง
“ดี งั้นวันจันทร์คุณเริ่มโอนงานให้เอด้าได้เลย เธอจะมาทำหน้าที่แทนคุณ แล้วก็แจ้งฝ่ายบุคคลให้หาคนมาทำหน้าที่แทนเอด้าด้วย”
“ค่ะ” จางเหมยสูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับคนเพิ่งได้สติ
“ขอโทษนะคะ เมื่อกี้ฉันควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลยโทรมารบกวนคุณดึกดื่นแบบนี้”
“ไม่เป็นไร” ซูอี้เฉิงตอบ “มีธุระอื่นอีกไหมครับ”
“ไม่มีแล้วค่ะ ลาก่อนค่ะ ผอ.ซู”
เธอวางมือถือลงก่อนจะยกมือเช็ดน้ำตา
ที่เธอยอมย้ายไปฝ่ายการตลาด ก็แค่ถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อให้ตัวเองได้ทำงานอยู่ที่เครือเฉิงอันต่อไป
ขอแค่ได้อยู่ที่นี่ สักวันเธอต้องมีโอกาสกลับไปอยู่ข้างกายเขาอีกแน่ คงมีสักวันที่เธอจะได้กลายเป็นแฟนสาวของเขา
อีกด้าน หลังจากซูอี้เฉิงวางสายเขาก็ปิดมือถือ ทว่าเจ้าตัวกลับยังนั่งอยู่บนโซฟาไม่ลุกไปไหน
จางเหมยตรงสเปคเขาทุกอย่าง ตอนนี้เขาเองก็ไม่มีใคร ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธเธอด้วยซ้ำ
แต่เมื่อคืนเขาผลักเธอออกในวินาทีสุดท้าย ราวกับมีเขาอีกคนอยู่ในร่าง คนที่เขาไม่รู้จัก
ที่จริงเขารู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงผลักจางเหมยออกไป นั่นก็เพราะตอนนั้นอีกคนในร่างของเขาดันคิดไปถึงภาพของลั่วเสี่ยวซี ลั่วเสี่ยวซีในยามยิ้ม ลั่วเสี่ยวซีตอนโมโห ลั่วเสี่ยวซีที่กำลังยั่วยวนเขา ในสมองของเขามีแต่ลั่วเสี่ยวซีๆๆ เต็มไปหมด
เขาก็แค่ไม่อยากยอมรับลั่วเสี่ยวซี เขาไม่ได้ชอบเธอสักหน่อย ไม่อย่างนั้นเขาก็ควรใจเต้นแรงกับเธอไปตั้งแต่สมัยเธอยังเป็นเด็กสาวแล้วไม่ใช่หรือไง
อีกอย่าง ปกติเวลาเขาชอบอะไร เขามักจะคว้ามันมาอยู่ในครอบครองอย่างไม่ลังเล ถ้าเขาชอบลั่วเสี่ยวซีจริงๆ แล้วทำไมเขาถึงปฏิเสธเธอมาโดยตลอดล่ะ
หรือว่าแผนการของลั่วเสี่ยวซีจะประสบความสำเร็จแล้ว เธอค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในชีวิตของเขาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งที่เขาขาดไม่ได้อีกต่อไป
ส่วนเขาก็เพิ่งมารู้ตัวเอาป่านนี้