ซูเจี่ยนอันเลิกงานกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าบนโต๊ะมีเช็คใบหนึ่งวางอยู่ โดยชื่อผู้ออกเช็คก็คือ…มู่ซือเจวี๋ย?
“พวกนายเล่นอะไรกัน?” เธอหยิบมันขึ้นมาถามลู่เป๋าเหยียน “ทำไมมู่ซือเจวี๋ยต้องให้เงินนายเยอะขนาดนี้ด้วยล่ะ?”
ลู่เป๋าเหยียนปรายตามองเช็คในมือของซูเจี่ยนอัน
“เมื่อวานฉันเล่นข้างเยอรมัน ซึ่งเป็นแชมป์”
“นายรู้ได้ยังไงว่าเยอรมันจะชนะ?” ซูเจี่ยนอันถามอย่างอยากรู้ “เสิ่นเยว่ชวนบอกว่านายแทงข้างไหนมักจะไม่แน่ไม่นอน จนบางครั้งพวกเขาอยากจะลงตามนายแต่ก็ไม่กล้า นายเอาอะไรมาวัดก่อนลงเงิน? บทวิเคราะห์? สถิติ?”
ลู่เป๋าเหยียนยิ้ม “ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนี้ จะไปเอาสถิตหรือบทวิเคราะห์มาจากไหน?”
“งั้นนายใช้หลักการอะไร”
“ฉันเดา”
“…”
ถ้าเธอเอาเรื่องนี้ไปบอกเสิ่นเยว่ชวนเขาคงร้องไห้แน่ๆ…พวกเขาสงสัยมาตั้งนานว่าลู่เป๋าเหยียนยึดหลักอะไรในการเล่นพนัน ถ้ารู้ว่าที่ผ่านมาลู่เป๋าเหยียนใช้หลักการเดาอย่างเดียวแล้วละก็…
ซูเจี่ยนอันคิดไว้แล้วว่า คราวหน้าถ้าเธออยากเล่นด้วย คงเล่นตามลู่เป๋าเหยียนแน่นอน เพราะอย่างไรเธอก็ไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่เธอมั่นใจในการเลือกของลู่เป๋าเหยียน!
ลู่เป๋าเหยียนยื่นเช็คให้เธอ
“ฉันให้เธอ”
ซูเจี่ยนอันเพิ่งเคยเห็นเงินเยอะขนาดนี้ เธอมองลู่เป๋าเหยียนแปลกๆ
“จะให้ฉันไปทำอะไร”
“แล้วแต่เธอ” ลู่เป๋าเหยียนไม่สนใจเงินก้อนนี้อยู่แล้ว “เธอจะเอาไปเป็นค่าขนมก็ได้”
“…” ซูอี้เฉิงยังไม่เคยใจกว้างกับเธอขนาดนี้มาก่อนเลยนะ…
แต่จู่ๆ จะให้เธอรับเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้มาก็คงรู้สึกแปลกๆ สุดท้ายซูเจี่ยนอันจึงเก็บเช็คใบนี้เอาไว้ในห้องหนังสือของลู่เป๋าเหยียน หากวันใดมีเรื่องด่วน เธอค่อยเอามันออกมาใช้แล้วกัน
ไม่นานหลังจากนั้น ลั่วเสี่ยวซีก็โทรเข้ามาบอกว่าตอนนี้กำลังกินข้าวอยู่กับซูอี้เฉิง เลยโทรมาถามเธอว่าสนใจมากินข้าวด้วยกันไหม
“ได้กินข้าวกับพี่ฉันทั้งทีจะมาเรียกฉันไปทำไม” ซูเจี่ยนอันถามอย่างไม่เข้าใจ “เธอควรจะดื่มด่ำกับการได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองกับพี่ไม่ใช่เหรอ”
“ดื่มด่ำอะไรกันล่ะ!” ไม่รู้ว่าลั่วเสี่ยวซีกำลังแอบคุยโทรศัพท์อยู่ที่ไหน เธอพูดเสียงเบา
“ฉันว่าวันนี้ซูอี้เฉิงดูแปลกๆ”
ซูเจี่ยนอันเริ่มหูผึ่ง “แปลกยังไง”
“ตอนเช้าเขาไปส่งฉันที่บ้านแล้วเขาก็นอนหลับบนเตียงฉัน แต่พวกเราไม่ได้มีอะไรกันนะ! ทีนี้พอเขาตื่นมากลับทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น” ลั่วเสี่ยวซีใกล้คลั่งเต็มที “ตอนบ่ายเขาขอให้ฉันช่วยแปลเอกสารให้ ตอนนี้ก็มาเลี้ยงข้าวฉันอีก ฉันว่ามันแปลกเกินไป เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ซะที่ไหน เธอว่าเขาทำแบบนี้หมายความว่าไง?”
“ไม่หมายความว่าไง” ซูเจี่ยนอันตอบเนิบๆ
“…”
ลั่วเสี่ยวซีรู้สึกเฟลนิดๆ ซูเจี่ยนอันเข้าใจซูอี้เฉิงมาก และยังเป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของเธออีกด้วย เพราะเธอรู้สึกไม่มั่นใจจึงเอาเรื่องนี้มาปรึกษาซูเจี่ยนอันให้ช่วยยืนยัน
แต่ซูเจี่ยนอันกลับบอกเธอว่า การกระทำอันแปลกประหลาดของซูอี้เฉิงนั้นไม่ได้มีความหมายพิเศษใดๆ
เธอว่าแล้วว่าจู่ๆ ซูอี้เฉิงจะมาชอบเธอได้อย่างไรกัน
“เขาก็แค่กำลังเข้าหาเธออยู่” ซูเจี่ยนอันพูดเสริม
“อะไรนะ?” ลั่วเสี่ยวซีนึกว่าตัวเองหูฝาด “เธอบอกว่า…ซูอี้เฉิงกำลังเข้าหาฉัน?”
“อือฮึ” ซูเจี่ยนอันพยักหน้า “สองเดือนก่อนตอนที่เธอเจอแท็กซี่ปลอม ฉันก็เริ่มรู้สึกว่ามันแปลกๆ วันนั้นพี่ฉันอยู่ที่บริษัท ถ้าจะกลับบ้านมันไม่จำเป็นต้องผ่านไปทาง Lu Media ด้วยซ้ำ ต่อให้ต้องขับรถไปทางนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องขับรถตามแท็กซี่ที่เธอนั่งไปจริงไหม เรื่องนี้มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ…เขาเป็นห่วงเธอ”
ลั่วเสี่ยวซีนิ่งอึ้ง “แล้วไงอีก”
“พี่ฉันคงคิดอะไรกับเธอแล้วน่ะสิ เขาถึงรู้สึกเป็นห่วง” ซูเจี่ยนอันเอ่ย “ถ้าตอนนั้นคนขับเป็นแค่คนปกติทั่วไป เธอคิดว่าพี่ฉันจะตามไปไหมล่ะ?”
ลั่วเสี่ยวซีรู้สึกว่า….ที่ซูเจี่ยนอันพูดมามันก็มีเหตุผล
“เพราะฉะนั้นตอนนี้เขากำลังเข้าหาเธอ ถึงฉันจะไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า เขาวางแผนมาก่อนหรือเขาทำไปโดยไม่รู้ตัวก็เถอะ แต่…” ซูเจี่ยนอันยิ้ม “เสี่ยวซี เรื่องนี้ถือเป็นสัญญาณดีนะ”
ลั่วเสี่ยวซีพยายามเก็บความตื่นเต้นเอาไว้
“นี่ฉันกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นทั้งการงานและความรักเลยใช่ไหมเนี่ย!”
“ขอแสดงความยินดีกับเธอล่วงหน้าด้วยจ้ะ” ซูเจี่ยนอันดีใจแทนเพื่อนคนนี้จริงๆ คนจริงใจมักจะได้รับความสุข คำพูดนี้ไม่ได้มีไว้หลอกใคร
“ตอนบ่ายฉันไปที่บริษัทพี่เธอมา พวกพนักงานก็บอกกับฉันแบบนี้” ลั่วเสี่ยวซีเริ่มรู้สึกมีอะไรผิดปกติ “จะว่าไปทำไมกันล่ะ? หรือพวกพนักงานของเฉิงอันทายอนาคตฉันได้?”
“จะเพราะอะไรล่ะ” ซูเจี่ยนอันมองเรื่องนี้ออกทะลุปรุโปร่ง “พวกเขาเห็นพี่ฉันพาเธอเข้าบริษัท ก็คงคิดว่าระหว่างพวกเธอต้องมีอะไรแน่ๆ ในที่สุดเธอก็จีบเขาติดแล้วเลยมาแสดงความยินดีไง”
ลั่วเสี่ยวซีที่อยู่ปลายสายยกมือปิดปากพลางยิ้ม
“ฉันล่ะอยากจะเอาสี่ถัง1ไปแจกพวกเขาเร็วๆ จัง! แค่นี้ก่อนนะ ฉันไปกินข้าวก่อน”
ซูเจี่ยนอันมองมือถือที่เพิ่งโดนตัดสายไปพลางถอนหายใจ
“เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อนนี่นา”
อย่าว่าแต่เพื่อนเลย วินาทีนี้ลั่วเสี่ยวซีแทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น!
หลังวางสายเธอก็เดินเข้าไปในภัตตาคารอย่างเบิกบานใจ ขณะเดินผ่านห้องน้ำจึงแวะเข้าไปเติมเครื่องสำอางบนใบหน้าอย่างประณีต
เมื่อถึงที่โต๊ะ บริกรก็นำสเต๊กมาเสิร์ฟพอดี ลั่วเสี่ยวซีหยิบมีดขึ้นมาหั่น แต่สายตากลับมองจ้องซูอี้เฉิงไม่วางตา จะมองยังไงเธอก็ไม่เคยเบื่อเลยจริงๆ
ใช่ว่าซูอี้เฉิงไม่เคยเจอสายตาแบบนี้ของลั่วเสี่ยวซี แต่วันนี้รอยยิ้มของเธอประหลาดกว่าทุกครั้ง เขาวางมีดในมือลงก่อนถาม
“หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรือไง”
ลั่วเสี่ยวซียิ้ม นัยน์ตาของเธอในตอนนี้แทบจะมีหัวใจสีชมพูลอยออกมาอยู่แล้ว
“หน้านายมีแต่ความหล่อที่ติดอยู่น่ะ!”
“….ลั่วเสี่ยวซี” ซูอี้เฉิงขมวดคิ้ว “ที่ออกไปเมื่อกี้เผลอเอาหัวไปชนอะไรมาหรือไง”
“…นายต่างหากล่ะ!” แต่ชั่วอึดใจเธอก็ไม่ถือสาอะไร ก่อนจะส่งเนื้อสเต๊กเข้าปาก
“ช่างไม่รู้อะไรเอาซะเลย ฉันล่ะเบื่อจะคุยกับนายแล้ว”
พูดจบเธอก็นิ่งไป เธอกับซูอี้เฉิงเป็นแบบนี้มากี่ครั้งแล้วนะ เขาปากจัด เธอก็สวนกลับไม่ยั้ง ทำให้จบไม่สวยทุกครั้ง สิบกว่าปีแล้ว ที่พวกเราเอาแต่ต่อล้อต่อเถียงกัน ไม่เคยได้นั่งคุยกันดีๆ สักที นิสัยของพวกเธอเป็นแบบนี้ ถ้าคบกันจริงๆ ผ่านไปไม่นานการเลิกราคงได้มาเยือนแน่ๆ
ในที่สุดลั่วเสี่ยวซีก็เข้าใจว่าเธอมองโลกในแง่ดีเกินไป เธอกับซูอี้เฉิงจะอยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หลังกินอาหารเสร็จทั้งสองคนก็ออกจากภัตตาคาร ทว่าจู่ๆ ลั่วเสี่ยวซีก็ตะโกนออกมา
“แย่แล้ว!”
ซูอี้เฉิงหยุดเดินก่อนถาม
“เป็นอะไร?”
“สองวันนี้ฉันกินเยอะไปแล้ว!” ลั่วเสี่ยวซีทำหน้าตื่นตระหนก “ชั่งน้ำหนักวันพรุ่งนี้ ผู้จัดการคงให้ฉันกินซุปผักทั้งวันแน่…”
“ที่นี่ไม่ไกลจากบ้านเธอมาก เดี๋ยวฉันเดินกลับเป็นเพื่อนเธอ”
ลั่วเสี่ยวซีมองส้นสูงของตัวเองก่อนเอ่ย
“ทำแบบนั้นขาได้พังแน่ๆ พรุ่งนี้ฉันต้องไปถ่ายแบบอีก…”
ซูอี้เฉิงกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะลากลั่วเสี่ยวซีเข้าไปในร้านรองเท้าแห่งหนึ่ง เขาเลือกรองเท้าส้นเตี้ยสีเนื้อให้เธอ พนักงานเดินมาถามว่าต้องการไซส์ไหน เขาจึงตอบกลับไป
“สามสิบเจ็ดครับ”
“ค่ะ รอสักครู่นะคะ”
เมื่อพนักงานเดินจากไปลั่วเสี่ยวซีจึงถามขึ้นว่า
“ซูอี้เฉิง นายรู้ได้ยังไงว่าฉันใส่รองเท้าเบอร์อะไร”
ซูอี้เฉิงเองก็ลืมไปแล้วว่าเขารู้ไซด์รองเท้าเธอได้อย่างไร เขาจำได้แค่ว่าครั้งหนึ่งลั่วเสี่ยวซีเหมือนจะเคยบอกกับเขา เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจำอะไร แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงนึกขึ้นมาได้
ว่าแล้วจึงเลือกที่จะไม่บอกความจริงออกไป
“ฉันมองแล้วกะเอา”
“แหม” ลั่วเสี่ยวซีส่ายหน้าเล็กน้อย “ต้องเคยมองเท้าสาวๆ มาแล้วกี่ครั้ง ถึงเดาได้แม่นขนาดนี้เนี่ย”
“…”
เมื่อพนักงานนำรองเท้ามาให้ ลั่วเสี่ยวซีจึงลองสวมดู แล้วก็พบว่ารองเท้าคู่นี้สวยและเข้ากับชุดของเธอในวันนี้ได้อย่างดี
“เท้าของคุณผู้หญิงทั้งขาวทั้งสวยเลยค่ะ รองเท้าส้นเตี้ยคู่นี้เหมาะกับคุณมาก” พนักงานยิ้มเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “แฟนของคุณตาแหลมมากเลยนะคะ”
“สายตาน่ะหลักแหลมดีอยู่หรอกค่ะ” ลั่วเสี่ยวซีมองรองเท้าอย่างพอใจ “แต่เขาไม่ใช่แฟนฉัน”
“…ขอโทษด้วยค่ะ ดิฉันเห็นว่าพวกคุณดูเหมาะสมกันดี” รอยยิ้มของพนักงานชะงักค้าง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “เป็นไงคะ คู่นี้พอได้ไหมคะ”
“โอเคค่ะ ฉันขอใส่เลยนะคะ” ลั่วเสี่ยวซีลุกขึ้น “รบกวนเอารองเท้าที่ฉันสวมมาใส่ถุงให้ด้วยค่ะ”
“ได้ค่ะ เชิญที่แคชเชียร์ด้านนี้เลยค่ะ”
ลั่วเสี่ยวซีกำลังจะเดินไปที่แคชเชียร์ แต่ซูอี้เฉิงกลับชิงเดินนำไปก่อน
ในร้านมีลูกค้าอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ทำไมจู่ๆ สีหน้าของซูอี้เฉิงถึงดูไม่ค่อยสบอารมณ์ ลั่วเสี่ยวซีจึงไม่กล้าเถียงอะไรเขาอีก เธอปล่อยให้เขาจ่ายเงินไป ตอนนั้นเองหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆก็ถามเธอ
“พี่สาว พี่ชายคนนั้นไม่ใช่แฟนพี่เหรอคะ”
ลั่วเสี่ยวซีส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ”
หญิงสาวทำหน้าอย่างมีความหวัง “งั้นช่วยแนะนำให้ฉันรู้จักได้ไหมคะ ฉันชอบเขา ฉันชื่อเมิ่งเมิ่งค่ะ!”
ลั่วเสี่ยวซีใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่กอนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“คงจะไม่ได้ ในตอนนี้เขายังไม่เป็นแฟนฉันก็จริง แต่สักวันคงได้เป็นแน่ๆ น้องสาว พี่ว่าน้องเปลี่ยนเป้าหมายจะดีกว่านะ”
“เอ่อ…”
หญิงคนนั้นทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจเรื่องราวตรงหน้า ตอนนั้นเองซูอี้เฉิงก็ชำระเงินเสร็จเรียบร้อย เขารับถุงมาจากพนักงานก่อนเอ่ย
“ไปกันเถอะ”
ลั่วเสี่ยวซียิ้มพลางยื่นมือไปคล้องแขนเขาก่อนจะเดินออกจากร้านไป
“เห็นเด็กผู้หญิงที่คุยกับฉันเมื่อกี้ไหม เขาบอกว่าถ้าฉันไม่ใช่แฟนนาย จะช่วยแนะนำนายให้รู้จักหน่อยได้หรือเปล่า”
ซูอี้เฉิงทำหน้าสนใจ “แล้วเธอตอบไปว่าไง”
“ฉันเลยบอกเบอร์นายไปน่ะสิ”
“…”
ซูอี้เฉิงไม่ได้ว่าอะไร ลั่วเสี่ยวซีจึงถามอย่างสงสัย
“นายไม่โกรธเหรอ? สมัยม.ปลายตอนที่เจี่ยนอันเอาเบอร์นายมาให้ฉัน นายยังสวดเธอไปรอบหนึ่งเลยนะ! ”
“เรื่องเก่าขนาดนั้น เธอยังจำได้อีก?” ซูอี้เฉิงเริ่มปวดหัว
“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ!” ลั่วเสี่ยวซีจ้องหน้าเขา “ซูอี้เฉิง นายเป็นพวกรอให้ชาวบ้านโทรหานายก่อนสินะใช่ไหม”
“แล้วไง” ซูอี้เฉิงยิ้มอย่างไม่สนใจ “ฉันไม่ใช่แฟนเธอสักหน่อย”
เขาพูดถูกแล้ว พูดถูกต้องทุกอย่าง ใช่ เขาไม่ใช่แฟนเธอ
ลั่วเสี่ยวซีรู้ดีว่าตอนนี้เธอค่อนข้างงี่เง่า เธอควรยิ้มอย่างใจกว้างให้กับเขามากกว่า แต่เธอก็อดกลั้นความโกรธเอาไว้ไม่ไหว จึงสะบัดแขนของซูอี้เฉิงออกไป
“อยู่ห่างๆ ฉันเลยนะ!”
ทีเธอได้เบอร์เขามาเขาถึงกับโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แต่พอเป็นคนอื่นเขากลับไม่ว่าอะไรสักนิด คนบ้าอะไรเนี่ย!
ลั่วเสี่ยวซีเดินเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยความหงุดหงิด ซูอี้เฉิงก็ไม่คิดจะเดินไล่ เขาเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ พลางมองแผ่นหลังของคนตรงหน้า ก่อนจะยิ้มมุมปากบางเบา
โซฟาสำหรับลองรองเท้ากับแคชเชียร์ไกลกันแค่ไหนเชียว หญิงสาวคนนั้นถามอะไร ลั่วเสี่ยวซีตอบว่าอะไรบ้าง ตอนที่คิดเงินเขาได้ยินหมดทุกอย่าง ความโกรธที่คุกรุ่นขึ้นมาตอนที่เธอบอกพนักงานไปว่าเขาไม่ใช่แฟนเธอ มอดลงตั้งแต่ตอนที่เธอคุยกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว
เขารู้ว่าลั่วเสี่ยวซีตั้งใจยั่วโมโหเขา แต่ช่วยไม่ได้ที่เขาชอบเห็นคนอื่นโมโหมากกว่า
************************
1 ทอฟฟี่หรือลูกกวาดที่ใช้ในงานมงคล