ลั่วเสี่ยวซีนอนจ้องมือถือที่หน้าจอกำลังโชว์เบอร์ของซูอี้เฉิงอยู่ที่โซฟา
ผ่านไปอีกหนึ่งวันแล้ว ซูอี้เฉิงจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างหรือยังนะ เธอจะไปหาเขาดีหรือเปล่า
ขณะที่กำลังคิดไม่ตกอยู่นั้น เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น เธอเดินไปดูที่ตาแมวก็พบว่าเป็นซูอี้เฉิงที่อยู่ด้านนอก
“ซูอี้เฉิง!” เธอเปิดประตูออกทันทีอย่างเซอร์ไพรส์ “ฉันว่าจะไปหานายอยู่พอดีเลย!” ซูอี้เฉิงยอมสนใจเธอแล้วสินะ
“ลั่วเสี่ยวซี” ทว่าน้ำเสียงและแววตาของเขากลับเย็นเยียบเสียจนเธอกลัว
ลั่วเสี่ยวซีรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ “นายเป็นอะไรไป?”
“คืนวันงานปาร์ตี้ เธอพูดอะไรกับฉินเว่ย?” ซูอี้เฉิงผลักลั่วเสี่ยวซีให้เข้าไปในบ้านก่อนจะปิดประตูดังปัง “ตกลงแล้วเธอพูดอะไรกับเขาไปบ้าง!”
ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเฉินเตือนเขา เขาคงไม่แม้แต่จะสงสัยเธอ หรือพูดได้ว่าเขาอยากสงสัยลั่วเสี่ยวซีเลยสักนิด
เขายอมให้ลูกน้องที่เขาเชื่อใจเป็นคนทำเรื่องนี้ยังดีเสียกว่า
“ฉัน…” ลั่วเสี่ยวซีมองหน้าซูอี้เฉิง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกกลัวเขา “นายบอกฉันมาก่อน ว่าตกลงเกิดเรื่องอะไร ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้?”
“เอกสารที่เธอแปลชุดนั้น มีคนเผยแพร่เนื้อหาของมันให้ฉินเว่ย” ซูอี้เฉิงอธิบาย “ฉินเว่ยใช้มันยื่นข้อเสนอกับทางญี่ปุ่นจนได้เซ็นสัญญา”
“นายสงสัย…”
ลั่วเสี่ยวซีรู้สึกสมองขาวโพลนไปชั่วขณะ คำว่า “ฉัน” ติดอยู่ในลำคอ
วันนั้นเธอเมามาก เธอคุยกับฉินเว่ยไปหลายเรื่อง เหมือนว่าจะคุยเรื่องซูอี้เฉิงกับบริษัทของเขาด้วย แต่ให้คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเธอพูดอะไรกับเขาไปบ้าง แต่ที่มั่นใจก็คือเธอพูดเรื่องเกี่ยวกับบริษัทของซูอี้เฉิงไปจริงๆ
ดังนั้น ซูอี้เฉิงจะสงสัยเธอก็ไม่แปลก เพราะขนาดตอนนี้เธอยังเริ่มสงสัยตัวเองแล้วเลย
สมัยเด็กเธอมักหาเรื่องยุ่งใส่ตัวได้ตลอด ถ้าไม่ไปแกล้งเด็กบ้านอื่น ก็ไปทะเลาะต่อยตีกับเขา พ่อแม่เธอต้องพาเธอไปขอโทษบรรดาผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้นประจำ เรื่องพวกนั้นสามารถไกล่เกลี่ยได้ แต่คราวนี้เครือเฉิงอันได้รับความเสียหายมากแค่ไหน…เธอไม่อาจประเมินค่าได้และคงไม่มีปัญญาชดใช้แน่ๆ
เธอกดโทรศัพท์หาฉินเว่ยด้วยมืออันสั่นเทา ก่อนจะถามเขาว่า
“คืนนั้นฉันพูดอะไรกับนายไปบ้าง? ฉันบอกอะไรนาย?”
“เธอนึกออกแล้วเหรอ” ฉินเว่ยตอบ “เสี่ยวซี คืนนั้นทั้งเรื่องที่ควรบอกและไม่ควรบอก เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับซูอี้เฉิง เธอพูดกับฉันหมดแล้ว”
เธอหลุดพูดออกไปจริงๆ ด้วย…
ลั่วเสี่ยวซีรู้สึกหมดแรง มือถือของเธอหลุดจากมือตกลงไปที่พื้น ดวงตาของเธอแดงก่ำก่อนจะมองหน้าซูอี้เฉิง
“…” ซูอี้เฉิงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เขาเริ่มเสียใจแล้วที่ตัวเองมาหาลั่วเสี่ยวซีแบบนี้ เขาควรจะสืบว่าคนในบริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ เสียก่อน หากทุกคนบริสุทธิ์จริง เขาก็ควรปล่อยเรื่องนี้ไป จะได้ไม่ต้องมารับรู้ความจริงว่าเรื่องนี้ลั่วเสี่ยวซีมีส่วนเกี่ยวข้อง
ลั่วเสี่ยวซีไม่เคยเห็นซูอี้เฉิงเป็นแบบนี้มาก่อน นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสนลังเล เหมือนเขาอยากจะยืนอยู่ข้างเธอ แต่สุดท้ายคงทำแบบนั้นไม่ได้
“ฉันขอโทษ” เธอกุมมือเขาไว้แน่น “คืนนั้นฉันเมามาก ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉัน…ซูอี้เฉิง ขอโทษ ฉันขอโทษนายจริงๆ…”
เธอพร่ำเอ่ยคำขอโทษไม่หยุดด้วยความรู้สึกผิด ความผิดพลาดที่ไม่อาจชดเชยในครั้งนี้ เธอได้แต่เอ่ยคำขอโทษจากใจจริง เพราะมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่เธอพอจะทำได้
“คนทั้งบริษัทรู้กันทั่วว่าเธอเป็นคนแปลเอกสารชุดนั้น” ซูอี้เฉิงยิ้มหยันตัวเอง “เสี่ยวซี ฉันพาเธอไปที่บริษัทเพื่อสร้างข่าวลือให้ทุกคนคิดว่าพวกเราคบกัน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าฉันจะเผลอสร้างเรื่องที่ไม่คาดฝันแบบนี้ขึ้นมา”
ลั่วเสี่ยวซีเจ็บปวดกับความจริงตรงหน้า เธอกุมมือซูอี้เฉิงเอาไว้ก่อนจะทรุดตัวลงตรงหน้าเขาอย่างหมดแรง เธอพูดอะไรไม่ออก ได้แต่จับมือเขาไว้อย่างนั้น
‘ขอโทษ ฉันผิดเอง นายจะด่าฉัน ว่าฉัน ทำอะไรฉันก็ได้’
นี่คือสิ่งที่เธออยากพูดออกไป แต่ความเศร้าและเจ็บใจมันทำให้เธอพูดไม่ออกสักคำ ขอบตาของเธอร้อนขึ้นมา หัวใจเหมือนมีอะไรมาบีบรัดจนเจ็บปวดไปหมด
สุดท้ายเธอก็ร้องไห้โฮราวกับเด็กสิบขวบที่ไม่รู้จะแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองอย่างไร เธอร้องไห้สุดเสียงจนหอบหายใจสะอึกสะอื้น แม้แต่จะพูดก็พูดได้ไม่เต็มคำ
ซูอี้เฉิงคุกเข่าลงก่อนจะยกมือเช็ดน้ำตาให้เธอ
“เสี่ยวซี ฉันไม่โทษเธอ”
ลั่วเสี่ยวซีมองหน้าเขาก่อนจะร้องไห้หนักกว่าเดิม น้ำตาของเธอไหลเป็นสาย เสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นไม่หยุด
เธอรู้ดีว่าซูอี้เฉิงคงหมดหวังในตัวเธอแล้ว ที่เขาไม่ถือโทษเธอ เพราะเขาคงไม่คิดจะสนใจเธออีกแล้ว
คนทั้งบริษัทรู้ดีว่าเธอเป็นคนแปลเอกสารชุดนั้น ถ้าซูอี้เฉิงยังจะมาคบกับเธอ แล้วคนทั้งบริษัทจะนับถือเขาอีกได้อย่างไร? จะมีพนักงานกี่คนที่คิดจะลาออกหากรู้เรื่องนี้ ถ้ามีใครซื้อทีมทั้งทีมไปจากเฉิงอัน ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นคงประเมินค่าไม่ได้
สิ่งที่เอากลับคืนมายากที่สุดในโลกคือความเชื่อมั่น ซูอี้เฉิงไม่อาจทำให้พนักงานผิดหวังในตัวเขา
“ซู…” เธอพูดออกมาได้แค่ทีละคำเพราะยังคงสะอื้นไม่หยุด ดวงตาของเธอแดงก่ำ เธอพยายามฝืนพูดออกมาพลางจับมือเขาไว้แน่น
“ซูอี้เฉิง นะ นาย อย่าไปนะ อย่าไป”
ซูอี้เฉิงจับเส้นผมที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาขึ้นมาทัดหูเธอ
“ที่บริษัทยังมีเรื่องต้องทำ”
“นายอย่า อย่าไปไหนนะ” ลั่วเสี่ยวซีพยายามรั้งมือเขาไว้ เธอกลัวว่าเขาจะจากเธอไปทั้งอย่างนี้
“ขอร้องล่ะ นายอย่าออกไปนะ”
“เสี่ยวซี ฉินเว่ยคงสำคัญกับเธอมากสินะ ไม่งั้นวันที่ฉันต่อยเขา เธอคงไม่เข้าไปกอดเขาไว้ เธอกลัวว่าฉันจะทำร้ายเขาใช่ไหม” ซูอี้เฉิงค่อยๆ แกะมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของลั่วเสี่ยวซี
“เธอปิดบังฉันเรื่องที่เขาจัดงานปาร์ตี้ให้ เดิมทีฉันโมโหมาก แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
เพราะเขาไม่คิดจะสนใจเธออีกต่อไปแล้วใช่ไหม?
“เปล่านะ” ลั่วเสี่ยวซีส่ายหน้าอย่างแรง เธออยากจะอธิบายแต่เพราะยังคงหอบหายใจจากการสะอื้น จึงไม่สามารถพูดออกมาได้ดั่งใจหวัง วินาทีนี้เธอรู้ซึ้งแล้วว่าคำว่าสิ้นหวังนั้นเป็นอย่างไร
สุดท้ายซูอี้เฉิงก็สะบัดมือเธอหลุด เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะค่อยๆเดินไปที่หน้าประตู
ลั่วเสี่ยวซีมองแผ่นหลังของเขา ในใจร่ำร้องเรียกชื่อเขาเป็นพันครั้ง แต่กลับไม่มีเสียงออกมา เธอร้องไห้จนแทบจะเป็นลม หอบหายใจหนักราวกับจะหยุดหายใจไปซะตอนนี้
ซูอี้เฉิงไม่หันกลับมามองเธอแม้แต่น้อย เขาช่วยปิดประตูห้องให้ลั่วเสี่ยวซี และเดินเข้าไปในลิฟต์
ประตูลิฟต์ที่ค่อยๆ ปิดตัวลงไปพร้อมกับดวงตาของเขา เมื่อลืมตาขึ้นมา ถึงสีหน้ายังคงเรียบเฉย แต่หากมองดูดีๆ แล้วจะพบว่าขอบตาของเขาเริ่มแดงขึ้น
ซูอี้เฉิงปิดประตูห้องเธออย่างแผ่วเบา แต่ในใจของลั่วเสี่ยวซีกลับรู้สึกหนักอึ้ง วินาทีนั้นเธอรู้สึกเหมือนหัวใจแตกสลาย เธอฟุบลงกับพื้นร้องไห้อย่างไร้เสียงราวกับเด็กทารกที่ทำได้เพียงสะอื้นไห้อย่างแผ่วเบาด้วยความเจ็บปวด
คนเราเวลาโศกเศร้าจนถึงขีดสุดมักไม่อยากเจอหน้าใคร แม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดของตัวเองก็ตาม ด้วยเหตุนี้ลั่วเสี่ยวซีจึงไม่ได้โทรไปหาซูเจี่ยนอัน
สองทุ่มกว่าแล้ว ลั่วเสี่ยวซีนั่งอยู่บนพื้นพรมข้างโซฟา น้ำตายังคงไหลไม่หยุด เธอนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นราวกับตุ๊กตาไร้วิญญาณ
เธอผิดเอง หลายปีที่ผ่านมา เธอทำผิดมาโดยตลอด
เธอไม่ควรคบใครเป็น ‘เพื่อน’ ง่ายๆ แบบนั้น ไม่ควรไปดื่มเหล้าจนเมามายกับคนพวกนั้น ถ้าเธอเชื่อฟังพ่อ ยอมทำตัวเป็นเด็กดี เธอคงไม่หลุดพูดเรื่องแผนงานของเครือเฉิงอันให้ฉินเว่ยฟัง เรื่องวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
เธอกำลังเสียใจกับทุกสิ่งที่ทำลงไป แต่วินาทีนี้มันสายเกินไปแล้ว
เมื่อก่อนเธอเคยถูกเพื่อนหักหลังก็จริง แต่ขอแค่คนคนนั้นไม่ใช่ซูเจี่ยนอัน เธอก็ไม่เคยเอามาใส่ใจ ถึงอย่างไรเพื่อนเธอก็เยอะอยู่แล้ว หายไปสักคนจะเป็นอะไรไป
ใช่ว่าเธอไม่กล่าวโทษ แต่เธอแค่ไม่รู้สึกอะไรมากไปกว่านั้น เหมือนกับที่ซูอี้เฉิงไม่โกรธเธออีกแล้ว
ทว่าตอนนี้ เธอโกรธ เธอเกลียดฉินเว่ย เธอไม่เคยเกลียดใครเท่านี้มาก่อน เธอเคยนึกว่าฉินเว่ยก็แค่ผู้ชายเจ้าชู้ แต่ลึกๆ แล้วเขาเป็นคนจริงใจและเถรตรง เธอไม่นึกเลยว่าเขาจะกล้าใช้วิธีสกปรกแบบนี้
ลั่วเสี่ยวซีลุกขึ้นพรวด เธอเดินเข้าไปหยิบมีดในห้องครัวมาใส่กระเป๋า ก่อนจะล้างหน้าล้างตาและเดินออกจากห้อง
เธอขับรถด้วยความเร็ว สิบกว่านาทีต่อมาเธอก็มาอยู่ตรงหน้าอพาร์ตเมนต์ของฉินเว่ย
เธอไม่เคยมาที่นี่ แต่เมื่อบอกว่าจะไปที่ห้อง 1203 เจ้าหน้าที่กลับยิ้มอย่างมีเลศนัยและพูดขึ้นว่า
“คุณฉินเพิ่งกลับมาเลยครับ”
ลั่วเสี่ยวซีแค่ยิ้มตอบ และเดินขึ้นลิฟต์ไป เมื่อถึงชั้นบนเธอก็หยิบมีดออกมาก่อนจะปักมันลงไปบนประตูห้องของฉินเว่ย
“ฉินเว่ย! เปิดประตู!”
ปลายมีดอันแหลมคมปักทะลุผ่านบานประตู เธอดึงมันออก และปักมันลงไปอีกครั้ง
“ฉินเว่ย! เปิดเดี๋ยวนี้!”
ฉินเว่ยรีบวิ่งมาเปิดประตูทันทีที่ได้ยินเสียง เขายังไม่ทันได้มองหน้าลั่วเสี่ยวซี คมมีดก็ฟาดฟันลงมาจนถอยหนีแทบไม่ทัน
“เสี่ยวซี! เธอทำบ้าอะไรเนี่ย! มีสติหน่อย ใจเย็นๆ!”
“ใจเย็นงั้นเหรอ?” ลั่วเสี่ยวซีแย้มรอยยิ้มอย่างสิ้นหวัง “ฉินเว่ย ฉันกับซูอี้เฉิงผ่านอะไรมามากมายกว่าจะเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง แต่นายทำลายมันหมดแล้ว ไม่สิ เรื่องนี้ฉันผิดเอง แต่ฉันเกลียดนาย! ฉันไว้ใจนาย เชื่อใจนายมาตลอด แล้วทำไมนายต้องใช้วิธีนี้แข่งขันกับซูอี้เฉิง? ทำไมต้องขโมยงานของเขา? ฉินเว่ย เขาไม่สนใจฉันอีกแล้ว เขาไม่แคร์ฉันอีกต่อไปแล้ว…”
พูดได้เท่านี้เธอก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ฉินเว่ยเพิ่งเคยเห็นน้ำตาของลั่วเสี่ยวซีเป็นครั้งแรก
ปกติลั่วเสี่ยวซีเป็นคนที่ร่าเริงอยู่เสมอ เธอมักจะยิ้มร่าแบบไม่คิดอะไรราวกับเด็กน้อยที่ไม่เคยได้รับความเจ็บปวด เขาไม่เคยนึกเลยว่าจะมีวันที่เธอร้องไห้ออกมา แถมยังร้องไห้อย่างสิ้นหวังแบบนี้
“เสี่ยวซี…” ฉินเว่ยเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะยกมือเพื่อจะช่วยเช็ดน้ำตาให้เธอ
“อย่าเข้ามาใกล้ฉัน!” เธอแกว่งมีดในมือ “ฉินเว่ย ฉันผิดเองที่เชื่อใจคนผิดมาตลอด ฉันเสียใจที่มารู้จักกับนาย เสียใจที่คิดว่านายเป็นเพื่อน ตอนนี้มันสายไปแล้ว ซูอี้เฉิงไม่สนใจฉันอีกแล้ว…” น้ำตาของเธอไหลพรากไม่หยุดขณะเอ่ยคำพูดออกมา
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะเนี่ย?!” คุณป้าข้างบ้านได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายเธอจึงออกมาดู แต่ก็ต้องตกใจกับภาพตรงหน้าจนต้องหลบไปหลังประตู
“ไม่มีอะไรครับป้าหลิว เชิญกลับไปพักผ่อนเถอะครับ” ฉินเว่ยเอ่ยปลอบ “เธอเป็นเพื่อนผมเอง พอดีมีเรื่องกันนิดหน่อย…”
“หุบปาก!” ลั่วเสี่ยวซีปัดปลายมีดไปทางฉินเว่ย “ฉินเว่ย เราอย่าทำตัวเป็นคนรู้จักกันอีกเลย ไม่อย่างนั้นทุกครั้งที่ฉันเห็นหน้านาย ฉันคงอยากจะเข้าไปฆ่านายแน่ๆ อย่ามาพูดว่าฉันเป็นเพื่อนนายอีก!”
คุณป้าข้างบ้านตกใจจนตัวสั่น เธอเดินกลับเข้าบ้านก่อนปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวซี” ฉินเว่ยพูดอย่างอ่อนใจ “ฉันคงต้องขอโทษเธอจริงๆ”
“ขอโทษ?” ลั่วเสี่ยวซียิ้มอีกครั้ง เมื่อกี้เธอก็พร่ำขอโทษซูอี้เฉิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันจะไปมีประโยชน์อะไร? ความเสียหายที่เฉิงอันได้รับสามารถเอากลับคืนมาได้ไหม? ต่อไปเธอจะมีหน้าไปเหยียบที่เครือเฉิงอันอีกหรือเปล่า?
“ฉันไม่รับคำขอโทษจากนาย” เธอกัดฟันพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ฉินเว่ย ต่อจากนี้ถ้านายบังเอิญเจอฉัน จำใส่หัวเอาไว้ ว่าอย่าเข้ามาทักฉันอีก!”