ภายในผืนป่าเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านบดบังท้องฟ้าจนทำให้แสงแดดสาดส่องเข้ามาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่เป็นผืนป่าอันเงียบสงบ ทั้งยังเห็นได้ว่ามีนกตัวน้อยเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ทันใดนั้นมีกำลังภายในปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันพร้อมเงาร่างหนึ่งพุ่งทะยานไปตามแมกไม้
ส่วนที่เบื้องหลังของเงาร่างนั้นก็คือมนุษย์ผู้หนึ่งที่ติดตามมันอย่างไม่ลดราวาศอก เจ้าของร่างคล่องแคล่วว่องไวนั้นคือเมิ่งฝานนั่นเอง เด็กหนุ่มใช้ชีวิตด้วยการไล่ล่าสัตว์อสูรในผืนป่าแห่งนี้มาแล้วถึงสามวัน และเป้าหมายเบื้องหน้าของเขาในขณะนี้ก็คือสัตว์อสูรระดับสาม ราชาวานรอัคคี!
ก่อนหน้านี้การประมือกับราชาวานรอัคคีสำหรับเมิ่งฝานคล้ายกับการต่อสู้ที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิต ทว่าในยามนี้เขากลับมีโอกาสเอาชนะสัตว์อสูรระดับสามตัวนี้เพิ่มขึ้นไม่น้อย ร่างกายอันคล่องแคล่วติดตามสัตว์อสูรผู้ถูกล่าประหนึ่งวิญญาณร้ายที่ลอยล่องอยู่ที่เบื้องหลังของราชาวานรอัคคี เขาบีบบังคับจนสัตว์อสูรระดับสามตัวนั้นจนมุมในทันใด
ราชาวานรอัคคีหันหลังกลับแล้วร้องคำรามเสียงดัง ในปากของมันคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและมีอานุภาพความน่าสะพรึงของสัตว์ร้ายตามธรรมชาติ ทว่าเมิ่งฝานกลับจับจ้องมันอย่างไม่ละสายตาก่อนจะขยับฝ่ามือของตนเองแล้วปล่อยพลังอันแข็งแกร่งออกไปในเวลาต่อมา
ลงมือก่อนได้เปรียบ หนึ่งฝ่ามือจู่โจมออกไปด้วยพลังที่คล้ายดิ่งลงมาจากฟากฟ้า ราชาวานรอัคคีใช้ท่อนแขนขนาดยักษ์ของตนเองเข้าต่อต้านในทันใด เมื่อฝ่ามือของเมิ่งฝานทาบลงไปบนนั้นพร้อมทั้งระเบิดพลังปราณภายในร่างกายออกมาจึงเกิดเสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นมาในทันที
โฮก!!
ราชาวานรอัคคีร้องคำรามออกมาหนึ่งครั้ง ก่อนที่นัยน์ตาของมันจะกลายเป็นสีแดงโลหิต เส้นผมสีแดงเพลิงพองโตก่อนเข้าจู่โจมด้วยกรงเล็บขนาดใหญ่ในเวลาต่อมา การจู่โจมในครั้งนี้เป็นการโจมตีอย่างสุดกำลังของราชาวานรอัคคี เพราะมันต้องการทำให้ร่างของผู้บุกรุกตรงหน้านี้แหลกเป็นชิ้นๆ
เมื่อลมที่เกิดจากการพุ่งเข้าจู่โจมปะทะใบหน้า เมิ่งฝานก็รู้ได้ทันทีว่าราชาวานรอัคคีตัวนี้เข้าโจมตีอย่างสุดกำลัง ทว่าเขามิได้ได้ล่าถอย ทั้งยังพุ่งเข้าหาสัตว์อสูรตรงหน้าด้วยนัยน์ตาวาวโรจน์ ฝ่าเท้าอันว่องไวของเด็กหนุ่มก้าวออกไปเบื้องหน้า ก่อนจะลอยตัวขึ้นกลางอากาศในเวลาต่อมาด้วยท่วงท่าของยาตราเซียนเหิน
เมื่อร่างกายลอยอยู่เหนือราชาวานรอัคคี เมิ่งฝานก็ใช้ท่อนแขนจู่โจมด้วยพลังของสายธารหลั่งสมุทร!
การใช้พลังท่าร่างยาตราเซียนเหินผสานกับสายธารหลั่งสมุทรเป็นกลยุทธ์ในการต่อสู้ที่เมิ่งฝานฝึกฝนมาอย่างยากลำบาก ในชั่วพริบตาต่อมาเมื่อหมัดของเขาปะทะเข้ากับกรงเล็บของราชาวานรอัคคีก็เป็นเวลาที่พลังปราณภายในร่างกายถูกใช้จนหมดสิ้น ทว่าเมื่อพลังปะทะแตกซ่านก็ทำให้ราชาวานรอัคคีกระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรงก่อนร่างของมันจะกระเด็นออกไปราวกับลูกหนังไกลถึงสิบกว่าเมตร
กระดูกของมันแตกหักทั้งร่าง เลือดสีแดงสดที่ไหลทะลักได้บ่งบอกว่ามันสิ้นชีพไปเสียแล้ว!
ปึก!
เมิ่งฝานทรุดตัวนั่งลงไปบนพื้นก่อนจะยิ้มเจื่อน แม้ว่าในยามนี้เขาจะก้าวขึ้นมาอยู่ในขั้นฝึกกายาระดับเก้า ทว่าพลังปราณที่มีอยู่ในกายก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ทั้งยังเห็นได้ชัดว่ายังไม่อาจปล่อยพลังสายธารหลั่งสมุทรออกมาได้ทั้งหมด หากเขามีพลังปราณมากพอเกรงว่ามันคงจะทะยานเข้าหาศัตรูดุจดั่งสายธารอันไหลเชี่ยวอย่างแท้จริง
เมิ่งฝานไอออกมาสองครั้งก่อนจะนำลูกปัดสีดำออกมาเพื่อทำการฟื้นฟูพลัง แม้แต่นายพรานที่ชำนาญวิชาก็ยังไม่กล้าอยู่ในเขาเยียนหลางแห่งนี้เป็นเวลานานอย่างเช่นที่เมิ่งฝานทำอยู่ในขณะนี้ เพราะถึงอย่างไรมนุษย์ก็ยังมีช่วงเวลาที่เหนื่อยล้า แต่เมื่อมีลูกปัดสีดำเม็ดนี้คอยช่วยเหลือ พลังของเมิ่งฝานก็กลับคืนมาได้ในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป
ขณะที่พลังปราณของเด็กหนุ่มกำลังจะกลับมาอยู่ในระดับสูงสุดนั้น ร่างกายของเขาพลันสั่นสะท้านไปชั่วครู่ จากนั้นจึงมีความดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า เพราะในขณะนี้มีการแปรเปลี่ยนเกิดขึ้นกับพลังปราณในตัวของเมิ่งฝานอย่างคาดไม่ถึง เมื่อการแปรเปลี่ยนดังกล่าวปรากฏขึ้น ย่อมหมายความว่าเขากำลังจะบรรลุแล้วนั่นเอง!
ดูท่าประสิทธิภาพของลิ่มเจาะกระดูกนั้นจะแข็งแกร่งไม่น้อย! มนุษย์ธรรมดาหากต้องการบรรลุจากระดับเก้าขึ้นไปยังระดับที่สิบก็ยังต้องใช้เวลาในการบำเพ็ญตนกว่าครึ่งปีเป็นอย่างต่ำ ทว่าเมิ่งฝานกลับใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนเท่านั้น จึงแสดงให้เห็นว่าประสิทธิผลในการใช้ลิ่มเจาะกระดูกกระตุ้นการชำระล้างกระดูกนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
แล้วในวินาทีต่อมาพลันมีเสียงคล้ายการแตกหักดังขึ้นมาจากร่างกายของเมิ่งฝาน พลังปราณและเส้นแขนงปราณภายในกายพัฒนาขึ้นจากเดิม ลมปราณเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อแข็งแรงกว่าเดิม บ่งบอกว่าในขณะนี้เมิ่งฝานได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับเซียนของขั้นฝึกกายาแล้ว! เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาพร้อมทั้งกำหมัดแน่น ก่อนตวัดแขนไปในแนวราบเพื่อปล่อยพลังออกไปเบื้องหน้า ต้นไม้ใหญ่ที่เบื้องหน้าเขาพลันขาดสะบั้นลงในทันใด
ยามนี้ร่างกายของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริงแล้ว รวมถึงเส้นเอ็น กระดูก และเยื่อหุ้มกระดูกที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ พลังปราณและกายารวมเป็นหนึ่ง! เมื่อเมิ่งฝานลุกขึ้นยืนก็พบว่ากล้ามเนื้อบนร่างกายล้วนแต่ปรากฏให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่เด่นชัด พลังอันแข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมาจากร่าง เมิ่งฝานยกยิ้มขึ้นที่มุมปากเมื่อพบว่ายามนี้ตนเองไม่ต้องใช้ลิ่มเจาะกระดูกอีกต่อไป
เมื่อพัฒนามาถึงขั้นนี้ก็เหลือเพียงเฝ้ารอให้สมุทรปราณก่อตัวขึ้นภายในร่างกายเท่านั้น แล้วเมิ่งฝานก็จะเลื่อนขึ้นเป็นจอมยุทธ์ขั้นหลอมปราณทันที ความก้าวหน้าที่รวดเร็วเช่นนี้นับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง แม้แต่เมิ่งฝานเองก็ยังยากที่จะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อครึ่งปีก่อนเขายังเป็นเพียงจอมยุทธ์น้อยในขั้นฝึกกายาระดับสองที่พยายามฝึกบำเพ็ญตนอย่างหนัก
เมิ่งฝานนำลิ่มเจาะกระดูกออกมาเพื่อชำแหละร่างของราชาวานรอัคคี เพื่อนำจิตอสูรระดับสามออกมาจากตัวของมัน สิ่งที่ได้รับจากการเข้ามาในเขาเยียนหลางครั้งนี้ไม่ใช่น้อยๆ และจิตอสูรระดับสามดวงนี้สามารถนำไปขายได้ราคางามเลยก็ว่าได้
รวมถึงลิ่มเจาะกระดูกด้วย เมื่อมาถึงขั้นนี้มันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อเมิ่งฝานเท่านักแต่ก็นับว่าเป็นอาวุธที่ไม่เลว เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มขึ้นพร้อมกับเก็บจิตอสูรระดับสามดวงนั้นเอาไว้ ทว่าในขณะที่กำลังจะจากไป พลันมีสายลมพัดกรรโชกมาจากผืนป่า เคล้าด้วยกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง!
มันคือสิ่งใดกัน!
รูม่านตาของเมิ่งฝานหดเล็กลงและรู้สึกเกร็งไปทั้งร่างในทันใด เขาอยู่ในเขาเยียนหลางแห่งนี้มานานแต่ก็ยังไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน สายลมเย็นยะเยือกนั้น มิใช่สิ่งที่สัตว์อสูรระดับสามจะสามารถปล่อยออกมาได้แต่อย่างใด ซึ่งในขณะที่สายลมนั้นพัดโชยเข้ามาก็ทำให้เมิ่งฝานรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก!
หรือเพราะการสังหารราชาวานรอัคคีเมื่อครู่ดึงดูดให้มันตามกลิ่นเลือดมาถึงที่นี่! ความสงสัยปรากฏขึ้นที่นัยน์ตาของเมิ่งฝาน พลันมีเงาร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันใด ทั้งยังเคลื่อนไหวร่างกายด้วยความเร็วสูง เขายังไม่ทันได้มองเงาร่างนั้นชัดเจนก็มีเงาร่างขนาดใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง ซึ่งมัน…มันคืออสรพิษยักษ์ที่มีขนาดหลายสิบเมตร!
เมื่อมันขยับร่างต้นไม้ก็หักโค่น กลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายแผ่ซ่านออกมาพร้อมม่านหมอกสีดำที่ถูกพ่นจากปากขนาดยักษ์ของมัน เพียงชั่วพริบตาก็ปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณของผืนป่าแห่งนี้!
ในชั่วพริบตาต่อมาเงาร่างมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้าของมันก็ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ ในมือมีแสงสว่างเปล่งประกายก่อนจะเผยให้เห็นว่าเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง เมื่อกระบี่เล่มนั้นตวัดฟาดฟันออกไปกลางอากาศก็มีพลังปราณอันแข็งแกร่งฟันลงไปยังม่านหมอกสีดำนั้น
ตู้ม!
ไอพลังแผ่ซ่านอยู่ในอากาศ ร่างกายของเมิ่งฝานสั่นสะท้านก่อนจะเอ่ยออกมาในทันใด “นางเองหรือ!”
เงาร่างของผู้ที่อยู่ไม่ไกลจากเมิ่งฝานก็คือสตรีผู้เลอโฉมราวกับเทพธิดาที่เขาได้พบในวันนั้น นางสวมชุดสีขาวลอยตัวอยู่กลางอากาศ บนใบหน้ามีผ้าผืนบางบดบังแต่ก็ยังคงมีความสง่างามดังเดิม ทว่าในมือนางกลับมีกระบี่ที่เปล่งประกายราวกับเคียวพญายมคอยฟาดฟันม่านหมอกสีดำเบื้องหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
เมิ่งฝานไม่อาจตกตะลึงได้นาน เขาสบถออกมาเสียงดังก่อนจะรีบหนี แม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีผู้งามแต่เมิ่งฝานก็มิได้อยากทำตัวเป็นเทพบุตรขี่ม้าขาว ดูท่าอสรพิษสีดำทมิฬตัวนั้นจะเป็นถึงสัตว์อสูรระดับห้าที่แม้จะมิได้พัฒนาร่างขึ้นไปอยู่ในขั้นราชาแต่ก็น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งทั้งสองฝ่ายก็ประมือกันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ!
เมิ่งฝานมิได้มีกระบี่ที่ร้ายกาจอย่างสตรีงามผู้นั้น ซึ่งหากถูกม่านหมอกสีดำนั้นปะทะร่างแล้วละก็ ต่อให้รอดชีวิตผิวหนังก็คงจะหลุดลอก! ตอนนี้เมิ่งฝานกำลังเหยียบไปบนอากาศเพื่อหลบหนีเข้าไปในผืนป่า พลันมีพลังที่ดุดันเคลื่อนตัวเข้ามาจากด้านหลัง ซึ่งนั่นเป็นเพราะสตรีชุดขาวผู้นั้นกำลังวิ่งมาทางนี้นั่นเอง
ให้ตายสิ เจ้าจะตายก็ตายแต่ผู้เดียวไม่ได้หรือไร!
เด็กหนุ่มมองไปยังสตรีชุดขาวแล้วยิ้มทั้งน้ำตา พลางสบถด่านางในใจไปแล้วนับร้อยครั้ง แต่เป็นเพราะนางอยู่ในขั้นหลอมปราณจึงมีความเร็วเหนือกว่าเมิ่งฝานและมาอยู่เบื้องหน้าเขาได้ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
เมื่อได้มองเห็นในระยะใกล้ก็ทำให้เมิ่งฝานถึงกับชะงัก เพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีสตรีที่เลอโฉมถึงเพียงนี้อยู่บนโลก ร่างอรชรงดงาม เส้นผมยาวสลวย ยิ่งมีผ้าสีขาวผืนบางปิดบังอยู่เช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มอยากที่จะเปิดมันออกมา เมื่อได้เห็นเช่นนี้เมิ่งฝานก็รู้ได้ทันทีว่านางเป็นสตรีเลอโฉมที่เลิศล้ำยิ่ง
ทว่าเมิ่งฝานกลับเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น “ไสหัวไปเสีย!”
ในยามนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องรู้สึกกลัดกลุ้มด้วยกันทั้งสิ้น
ภายในผ้าผืนบางนั้น สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปในทันทีเพราะแทบจะไม่มีผู้ใดกล้าพูดเช่นนี้กับนาง เพียงชั่วพริบตานางก็ได้สติแล้วกระตุกยิ้ม พยายามสะกดโทสะของตนเองแล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันเยือกเย็น “อย่าได้พูดมาก ตอนนี้พวกเรากำลังมีศัตรูตัวเดียวกัน หากข้าตายไปเจ้าก็ไร้หนทางรอด หากรอดไปได้ก็จะเป็นประโยชน์แก่เจ้า!”
แล้วในวินาทีต่อมาอสรพิษยักษ์ตัวนั้นก็เคลื่อนตัวเข้ามา ร่างกายอันน่าสะพรึงที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีดำของอสรพิษยักษ์นั้นหาใช่สิ่งที่ราชาวานรอัคคีจะสามารถเทียบเทียมได้ไม่ เมื่อมันเห็นเมิ่งฝานก็คิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกับสตรีชุดขาว นัยน์ตาของมันจึงมีความดุร้ายปรากฏขึ้นมาชั่วครู่ แล้วอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดพ่นหมอกสีดำออกมา
“เพลิงสลายสวรรค์!”
นิ้วเรียวขยับเมื่อสตรีงามประสานมุทรา ก่อนที่เปลวเพลิงจะปรากฏขึ้นมาบนมือของนางอย่างน่าเหลือเชื่อ ความร้อนที่เกิดขึ้นทำให้สีหน้าของเมิ่งฝานเปลี่ยนไปทันใด เพราะวิชายุทธ์อันน่าสะพรึงนี้จะต้องอยู่ในระดับตัวอักษรฮวงเป็นแน่!
ดูท่าสตรีผู้นี้จะเป็นดั่งที่ข่าเหลยเคยคาดเดาไว้ว่านางเป็นผู้ที่มีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ เมิ่งฝานยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ชั่วพริบตาต่อมาพลังเพลิงสลายสวรรค์ของนางก็ปะทะเข้ากับหมอกสีดำของอสรพิษตัวนั้น แล้วแผดเผามันจนมอดไหม้ เปลวเพลิงลุกลามม่านหมอกถดถอย แผดเผาไปจนถึงเกล็ดของอสรพิษตัวนั้น มันจึงส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวออกมา
แต่ถึงกระนั้นสตรีงามผู้นี้ก็ยังถอยหลังไปหนึ่งก้าวแสดงให้เห็นว่าพลังในกายเริ่มถดถอย ดูท่าแม้วิชายุทธ์นั้นจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่สตรีผู้นี้ก็ยังไม่อาจแสดงอานุภาพของมันออกมาได้ทั้งหมด จึงน่าเสียดายที่ไม่อาจสังหารอสรพิษทมิฬตัวนั้นได้
ทางฝั่งอสรพิษทมิฬที่ได้รับบาดเจ็บกลับแสดงอาการดุร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพียงชั่วพริบตาร่างขนาดยักษ์นั้นก็พุ่งเข้ามาคล้ายกับว่าอยากจะใช้ร่างกายขนาดยักษ์ของตนเองทับจอมยุทธ์น้อยทั้งสองให้ตาย
เมื่ออสรพิษทมิฬตัวยักษ์เคลื่อนตัวเข้ามา เมิ่งฝานก็รู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับขุนเขาลูกใหญ่ แต่ที่ข้างกายกลับมีเสียงเยือกเย็นของสตรีชุดขาวดังขึ้นว่า “ไม่อยากตายก็ลงมือพร้อมกันอย่างสุดกำลัง!”
เพียงชั่วพริบตาต่อมาเมิ่งฝานก็ตวาดออกมาเสียงต่ำ เขาก้าวออกไปข้างหน้าก่อนจะระเบิดพลังสายธารหลั่งสมุทรออกมา
ทางฝั่งของสตรีชุดขาวก็ตวัดกระบี่ที่เปล่งประกายในมือนางออกไปพร้อมกับเขา หนึ่งหมัดหนึ่งกระบี่ ชั่วอึดใจหลังจากนั้นพลังทั้งสองก็ปะทะเข้ากับร่างอสรพิษตัวยักษ์ ไอพลังแข็งแกร่งมาจากการลงมืออย่างสุดกำลังของเมิ่งฝานและสตรีลึกลับผู้นั้น เมื่อพลังระเบิดขึ้นกลางอากาศทั้งสองก็เคลื่อนตัวด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
เพียงชั่วพริบตาต่อมาระลอกคลื่นแห่งพลังก็แตกกระจายไปทั่วสารทิศ ต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบขาดสะบั้นแล้วแหลกสลายกลายเป็นจุณ
เมิ่งฝานที่ลอยอยู่กลางอากาศกระอักเลือด ก่อนที่จะลอยกระเด็นเป็นแนวเส้นโค้งแล้วตกลงไปบนพื้น เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนอวัยวะภายในจะแหลกสลายไปจากการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เขากัดฟันแน่นก่อนจะพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งหนี
ส่วนลำตัวของอสรพิษตัวยักษ์ที่อยู่ด้านหลังนั้นก็อาบไปด้วยเลือด มันร้องคำรามออกมาหลายครั้ง แต่ก็ต้องล่าถอยไปเพราะที่บริเวณหน้าผากมีรอยแผลปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
ในชั่วพริบตาที่เมิ่งฝานกำลังจะจากไปก็พบว่าร่างของสตรีชุดขาวผู้นั้นเต็มไปด้วยเลือดมากมาย ทั้งยังสลบไม่ฟื้นอยู่อย่างนั้น
ให้ตายสิ ถ้าหากข้าไม่ได้ปล้นนางให้สาแก่ใจ ต่อให้นางตายก็ยังทำผิดต่อข้าอยู่ดี!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เมิ่งฝานจึงออกแรงคว้าเอวบางของนางขึ้นมากอดพร้อมกับกระบี่ จากนั้นก็วิ่งหนีหายเข้าไปในผืนป่า เหลือไว้เพียงเลือดที่หยดลงบนพื้นเท่านั้น!