เป็นเสียงที่เยือกเย็นและแฝงไปด้วยจิตสังหารมากมาย เมิ่งฝานรู้ดีว่าขอเพียงฝ่ามือที่อยู่บริเวณต้นคอของตนเองออกแรงอีกเพียงเล็กน้อย ตนเองต้องสิ้นชีพในทันใด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงและมีใบหน้าที่ราบเรียบ
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปเล่า เจ้าเพิ่งจะตื่นก็คิดที่จะสังหารผู้ที่ช่วยชีวิตตนเองแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของสตรีลึกลับพลันชะงักงัน ต่อมานางก็กัดฟันแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น “เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดกับร่างกายข้าอย่างนั้นหรือ?”
ในยามนี้้นางได้สวมชุดคลุมสีขาวเพื่อปิดบังร่างกายอรชรของตนเองเอาไว้แล้ว แต่เมื่อนึกถึงภาพที่ท่อนบนของตนเองสวมเพียงตู้โตวเมื่อครู่จึงทำให้นางมีสีหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติ
ถึงอย่างไรแล้วการรักษาเส้นแขนงปราณที่เสียหายของนางเมื่อครู่นั้น เมิ่งฝานก็ได้ลูบไล้ร่างกายของนางทั้งในส่วนที่ควรจะสัมผัสและไม่ควรสัมผัสไปหมดแล้ว แต่ถึงกระนั้นเมิ่งฝานก็ยังกระตุกยิ้มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น “หากไม่ได้ข้าช่วยแล้วเจ้าจะฟื้นตัวได้อย่างนั้นหรือ? เกรงว่าเจ้าคงจะตายไปแล้วเสียมากกว่า ข้าก็แค่รักษาเจ้าเท่านั้น เข้าใจหรือไม่?”
“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้า! เจ้าเพียงแค่รักษาข้าเท่านั้นจริงหรือ?”
นัยน์ตาของหญิงสาววาวโรจน์ ขอเพียงนางออกแรงที่นิ้วเล็กน้อยพลังปราณก็พร้อมที่จะพุ่งทะลุร่างของเมิ่งฝานในทันที
ทว่าเมิ่งฝานกลับจับจ้องสตรีตรงหน้าอย่างไม่ละสายตาแต่ไร้ซึ่งทีท่าว่าจะล่าถอย การที่ทั้งสองต่างสบตาอีกฝ่ายโดยไม่ขยับทำให้บรรยากาศภายในถ้ำเงียบงันไปชั่วครู่ แต่หลังจากนั้นไม่นานนางก็ยอมคลายมือจากต้นคอของเมิ่งฝานแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“เห็นแก่ที่เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าไปแต่ก็หวังว่าเจ้าจะสัตย์จริง หากเจ้าโกหกข้าละก็…ต่อให้ไกลสุดขอบฟ้าข้าก็จะตามไปสังหารเจ้า!”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น สีหน้าของเมิ่งฝานก็ยังคงเช่นเดิม ทว่าแผ่นหลังกลับเปียกไปด้วยเหงื่อ เพราะถึงอย่างไรหากเมื่อครู่สตรีตรงหน้าเลือกที่จะลงมือสังหารเขาก็คงไร้ซึ่งทางรอด และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์พร้อมกับสบถด่าสตรีตรงหน้าอยู่ในใจนับร้อยครั้ง หากว่ามีโอกาสอีกครั้งเขาจะไม่ปล่อยให้หลุดมือเป็นแน่!
แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น เมิ่งฝานรู้ดีว่าตนเองยังห่างชั้นกับสตรีผู้นี้ไม่น้อย แล้วสตรีลึกลับผู้นั้นก็เดินไปนั่งขัดสมาธิในมุมหนึ่งของถ้ำด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึกใด แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้เมิ่งฝานรู้สึกหลงใหลเสน่ห์ของนางอยู่ดี
ต่อมาเมิ่งฝานจึงส่ายหน้าก่อนจะนั่งอยู่ในถ้ำแห่งนั้นอย่างสุขุมและไม่ได้มองไปยังนางอีก เขานำเนื้อย่างของตนเองออกมาแล้วกินไปเรื่อยๆ เมื่อกลิ่นหอมจางๆ ของมันลอยไปทั่วโถงถ้ำในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจสตรีชุดขาวก็ลืมตาขึ้นมา นางมองมายังเมิ่งฝานด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด คล้ายดั่งจะเอ่ยสิ่งใดออกมาสักอย่างแต่ก็เงียบไป
เมื่อได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเมิ่งฝานก็ลูบปลายจมูกแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าหิวหรือ?”
“ไม่หิว!”
หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันเยือกเย็น ทว่าในเวลาต่อมาท้องของนางกลับส่งเสียงร้องประท้วงบ่งบอกความต้องการที่แท้จริงของนาง
แล้วเมิ่งฝานลอบยิ้มอยู่ในใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วโยนเนื้อย่างให้นางพลางเอ่ยว่า “กินสิ!”
หญิงสาวรับเนื้อย่างมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็เริ่มกินเนื้อย่างในมือ แม้แต่ท่าทางในการกินอาหารของนางก็ยังแสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนที่ทำให้เมิ่งฝานยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่านางงดงามไม่แพ้ผู้ใด
แต่ถึงกระนั้นเขาก็เพียงแค่เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบเท่านั้น “กินของเช่นนี้จะต้องกินคำโตๆ ถึงจะได้รสชาติ!”
เมื่อพูดจบเขาก็กัดเนื้อย่างในมือคำโต
แต่แล้วหญิงสาวกลับย่นคิ้วมองเขาก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น “ก็ข้าอยากกินเช่นนี้!”
ต้องมีท่าทีเช่นนี้จึงจะคล้ายดั่งเช่นสตรีที่กำลังมีเรื่องกับผู้อื่น!
เมิ่งฝานส่ายหน้าแล้วกินเนื้อย่างในมือของตนเอง หลังจากที่กินเสร็จเขาก็เช็ดปากแล้วหันไปมองหญิงสาวก่อนจะเอ่ยออกไปเสียงเข้ม “แท้จริงแล้วเจ้าก็หาได้เกี่ยวข้องใดๆ กับข้าไม่ แต่ข้าก็อยากจะถามเจ้าเสียหน่อยว่าจะพาข้าออกไปจากที่แห่งนี้เมื่อใด”
เรื่องที่เมิ่งฝานกังวลที่สุดก็คือการจัดการกับอสรพิษทมิฬที่อยู่ข้างนอกถ้ำแห่งนี้
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “เกรงว่าคงต้องใช้เวลาสามวันเป็นอย่างต่ำ”
สามวัน!
นัยน์ตาของเมิ่งฝานวาวโรจน์ขึ้นมาในทันใด แล้วเอ่ยถามไปด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใดกัน?”
หญิงสาวกระตุกยิ้มเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีใดในการช่วยชีวิตข้า แต่สิ่งที่เจ้าช่วยฟื้นฟูก็มีเพียงแค่ร่างกายข้าเท่านั้น จุดสมุทรปราณของข้าได้รับความเสียหายจากการต่อสู้กับอสรพิษตัวนั้น และต้องใช้เวลาราวสามวันเป็นอย่างต่ำในการฟื้นฟู ยามนี้ข้าไม่อาจใช้กายาแสดงปราณได้ พลังของข้าในยามนี้ไม่ต่างกับขั้นฝึกกายาระดับเซียนเลยแม้แต่น้อย!”
สมุทรปราณ มันก็คือพลังจิตวิญญาณ!
ร่างของเมิ่งฝานสั่นสะท้านไปชั่วครู่ ดูท่าลูกปัดสีดำของเขาก็หาใช่สิ่งที่มากด้วยความสามารถไม่ แม้มันจะสามารถรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้นภายในร่างกายได้ทั้งหมดแต่กลับไม่อาจแตะต้องหรือรักษาสมุทรปราณซึ่งเป็นสิ่งที่เลิศล้ำของผู้บำเพ็ญตนได้
เมื่อคิดได้ดังนั้นเมิ่งฝานก็ยิ้มเจื่อน เวลาสามวันจะบอกว่านานก็ไม่นาน จะบอกว่าสั้นก็ไม่สั้น แต่หากอสรพิษตัวนั้นฟื้นตัวได้ก่อน พวกขาทั้งสองคงต้องจบสิ้นเป็นแน่
เมิ่งฝานกัดฟันแน่นก่อนจะเอ่ยออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่มีหนทางอื่นแล้วหรือ?”
“นอกเสียจากว่าเจ้าจะยอมไปหลอกล่อมัน แล้วให้ข้าลอบโจมตีมันจนถึงแก่ชีวิต!”
หญิงสาวมองเมิ่งฝานแล้วยกยิ้มทีเล่นทีจริง เมิ่งฝานจึงกัดฟันแน่นก่อนจะเอ่ยออกไปอย่างจนปัญญา “ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน ว่าแต่เจ้าไปหาเรื่องเจ้าสัตว์ที่ดุร้ายตัวนั้นได้อย่างไรกัน?”
“มันเป็นสัตว์อสูรระดับห้า นับว่ามีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขั้นหลอมปราณ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อบำเพ็ญตน พบโอกาสอันหาได้ยากเมื่อเมื่อเจอมันกำลังฟักไข่ คิดว่าเป็นช่วงเวลาที่มันกำลังอ่อนแอ แต่หารู้ไม่ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าคาดคิด!”
หญิงสาวบอกไปอย่างจนปัญญา เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหาได้เป็นไปตามที่นางคิดเอาไว้ไม่
“แล้วจะทำอย่างไรต่อไป?” เมิ่งฝานย่นคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา
นางมองไปยังเมิ่งฝานก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา “หากเจ้าต้องการให้ข้าฟื้นฟูพลังโดยเร็วก็ออกไปหาจิตอสูรมาให้ข้า ไม่ว่าจะระดับใดก็ล้วนแต่สามารถทำให้ข้าฟื้นตัวได้ทั้งนั้น แต่ยิ่งอยู่ในระดับสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเมิ่งฝานก็ย่นคิ้วในทันใด จากนั้นจึงเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น “ออกไปด้านนอกอันตรายอย่างยิ่ง เพราะมีอสรพิษทมิฬที่สามารถฟื้นตัวได้ตลอดเวลารออยู่ ออกไปก็เท่ากับรนหาที่ตาย!”
“ข้ามีของแลกเปลี่ยน!”
หญิงสาวว่าแล้วพลันขยับฝ่ามือ ต่อมาก็มีแสงสว่างเปล่งประกายขึ้นที่แหวนของนางแล้วมีขวดหยกขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาสองขวด
แหวนคลังวัตถุ!
เพียงชั่วพริบตาสีหน้าของเมิ่งฝานก็เปลี่ยนไป ด้วยรู้ว่าสตรีตรงหน้าผู้นี้ไม่ธรรมดา แหวนคลังวัตถุก็คือแหวนที่ใช้สำหรับเก็บสิ่งของโดยมีการแบ่งระดับตามพื้นที่ความกว้างภายในตัวแหวน แต่ไม่ว่าแหวนคลังวัตถุวงใดก็ล้วนแต่เป็นของล้ำค่าอันสูงส่ง แม้แต่กู่หยวนเองก็ยังมีเพียงวงเดียวเท่านั้น
ดูท่าสตรีผู้นี้คงจะมาจากเมืองซ่างจิงแห่งอาณาจักรต้าก้าน
นางนำขวดหยกมาวางไว้ตรงหน้าของเมิ่งฝานก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ขวดหยกทั้งสองนี้ ขวดหนึ่งมีนามว่ากำยานยวนจิต มันมีผลต่อสัตว์อสูรระดับต่ำค่อนข้างมาก ซึ่งเจ้าก็เพียงแค่วางกับดักรอมันเท่านั้น ส่วนอีกขวดนั้นมีนามว่าโอสถพลังเทพ โดยของสิ่งนี้สามารถเพิ่มพลังของผู้บำเพ็ญตนได้ ภายในขวดมีทั้งหมดสิบเม็ด ทุกครั้งที่เจ้าหาจิตอสูรระดับสองมาให้ข้าได้หนึ่งดวง ข้าก็มอบให้เจ้าหนึ่งเม็ด!”
โอสถพลังเทพ!
รูม่านตาของเมิ่งฝานหดเล็กลงในทันใด เขาหาได้รู้สึกแปลกใจในชื่อของโอสถพลังเทพไม่ เล่ากันว่าของสิ่งนี้มีมูลค่าสูงถึงเม็ดละหนึ่งหมื่นเหรียญทองคำเพราะภายในแฝงไปด้วยพลังที่ทรงอานุภาพ ซึ่งปรุงขึ้นมาจากเลือดอันบริสุทธิ์ของเผ่าพันธุ์มังกรในธรรมชาติ สามารถสอดผสานเข้ากับร่างกายของผู้บำเพ็ญตนแล้วทำให้ผู้ใช้ทรงพลังดุจมังกร!
หากข้ากินเข้าไปก็คงจะทำให้พลังของข้าเพิ่มขึ้นอีกราวหนึ่งเท่าตัวเป็นแน่!
เมิ่งฝานกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปากในทันใด นับว่าสิ่งล่อใจที่สตรีตรงหน้าผู้นี้นำออกมาได้ผลดีไม่น้อย
เจ้าของนัยน์ตาอันเปล่งประกายมองมายังเมิ่งฝาน หลังจากนั้นก็เอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ตกลง!”
เมื่อตอบรับแล้ว เมิ่งฝานก็ลอบถอนหายใจเสียงเบา ท้ายสุดแล้วเขาก็แพ้ให้กับสิ่งล่อตาล่อใจอยู่วันยังค่ำ…
ท่ามกลางผืนป่าในยามที่แสงอาทิตย์สาดส่องและมีสายลมพัดโชย ภายในช่องแคบของผืนป่าเบื้องหน้านั้นคือเนื้อย่างที่วางเอาไว้อย่างเงียบงัน หลังจากนั้นไม่นานหมาป่ามรกตซึ่งเป็นสัตว์อสูรระดับสองก็ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ แม้ว่าแววตาของมันจะแฝงความระแวดระวัง ทว่าเมื่อมองไปยังเนื้อย่างเบื้องหน้าก็ยังไม่อาจข่มความโลภเอาไว้ได้
ในวินาทีต่อมาหมาป่ามรกตก็เดินเข้าไปใกล้เนื้อย่างแล้วแลบลิ้นออกมาเพื่อตวัดกินเนื้อย่างที่เบื้องหน้า ในชั่วพริบตาต่อมาพลันมีเงาร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ เหยียบย่ำไปในอากาศพุ่งเข้าจู่โจมสัตว์อสูรเบื้องหน้าอย่างดุดัน หมาป่ามรกตร้องคำรามออกมาเสียงดังก่อนจะหลบหลีก ทว่าเจ้าของเงาร่างนั้นกลับใช้วัตถุคล้ายเข็มสีดำแทงเข้าไปยังต้นคอของมันอย่างแม่นยำ
ฉึบ!
เลือดสีแดงสดหลั่งริน จากนั้นเมิ่งฝานก็ขยับท่อนแขนแล้วชกเข้าไปที่ลำตัวของหมาป่ามรกตอย่างดุดันด้วยความเร็วปานสายฟ้า โจมตีอย่างฉับพลัน รวดเร็วดุจสายฟ้า ในช่วงเวลานี้เมิ่งฝานคล้ายว่ากลายเป็นผู้มีฝีมือที่เฉียบขาดและดุดันเป็นอย่างยิ่ง พลังอันน่าสะพรึงพุ่งปะทะร่างของหมาป่ามรกตจนทำให้มันสิ้นชีพไปในที่สุด
เมื่อนำจิตอสูรออกมาได้เมิ่งฝานก็ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ผ่านไปสองวันเต็มๆ สิ่งที่เมิ่งฝานได้รับในวันนี้นับว่าไม่เลวทีเดียว จิตอสูรระดับสองสองดวงและได้จิตอสูรระดับหนึ่งมาอีกสามดวง เขาสามารถนำไปแลกโอสถพลังเทพจากสตรีผู้นั้นได้สามเม็ด
ระยะเวลาสองวันที่ผ่านมาเมิ่งฝานเอาแต่ตามหาจิตอสูรให้แก่นาง ส่วนนางก็พักรักษาตัวอยู่ในถ้ำ แม้ว่าทั้งสองจะสนทนาเชื่อมสัมพันธ์กันค่อนข้างน้อยแต่ก็สามัคคีกันอย่างยิ่ง และโชคดีที่อสรพิษทมิฬตัวนั้นยังไม่ฟื้นตัว
เมิ่งฝานมองไปยังกำยานยวนจิตที่เหลืออยู่เพียงไม่มากแล้วส่ายหน้า ของสิ่งนี้ล้ำค่าไม่น้อย เขาเพียงแค่โรยมันลงไปบนเนื้อก็จะทำให้มีแรงดึงดูดที่สัตว์อสูรระดับต่ำยากที่จะต้านทานได้ลอยฟุ้งขึ้นมา หากมีโอกาสเขาก็อยากจะขอมันจากสตรีผู้นั้นให้มากกว่าเดิม
เมิ่งงฝานเดินกลับไปยังถ้ำที่พัก ยามนี้สตรีชุดขาวกำลังหลับตาเพื่อบำเพ็ญตนซึ่งเมิ่งฝานก็หาได้รบกวนนางแต่อย่างใด เขานำจิตอสูรที่ได้มามอบให้นางแล้วนำโอสถพลังเทพสามเม็ดมาไว้กับตัว
ของล้ำค่า!
เมิ่งฝานเก็บมันเอาไว้ ยามนี้เขามีโอสถพลังเทพอยู่ในครอบครองห้าเม็ดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าหากใช้มันจริงๆ จะมีประสิทธิภาพที่ยิ่งใหญ่เพียงใด เขาจึงข่มความดีใจเอาไว้แล้วหันมาย่างเนื้อแทน เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูปก็มีกลิ่นหอมลอยคลุ้งไปทั่วโถงถ้ำ เมิ่งฝานจึงยื่นเนื้อย่างนั้นให้ฝ่าย
ใบหน้าของหญิงสาวแสดงให้เห็นถึงความลังเลอยู่ชั่วครู่ ต่อมาก็กัดมันเข้าไปคำหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “เป็นอย่างที่เจ้าพูดเอาไว้จริงๆ กินคำโตนั้นดียิ่งกว่า!”
เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายคลี่ยิ้มเมิ่งฝานก็ชะงักงันไปทันที เพียงแค่นางมีใบหน้าที่เยือกเย็นก็น่าลุ่มหลงมากพอแล้ว ยิ่งนางคลี่ยิ้มออกมาเช่นนี้ก็ยิ่งคล้ายกับสตรีผู้เลอโฉมในเมืองที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องหลงใหล
เมื่อได้เห็นสีหน้าของเมิ่งฝานนางก็ชะงักงันไปชั่วครู่ แล้วถลึงตามองอีกฝ่าย ทว่าเวลาที่ผ่านมาสองวันก็ทำให้ทั้งสองรู้สึกคุ้นเคยและเมิ่งฝานก็ไม่ได้สนใจท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว เมื่อเห็นว่าบุรุษตรงหน้าหัวเราะเสียงเบานางก็ส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “เจ้าผู้นี้นับว่าไม่เลว พวกเรามาทำความรู้จักกันเสียหน่อยเป็นอย่างไร ข้ามีนามว่ามู่อวี่อิน!”
มู่อวี่อิน!
รูม่านตาของเมิ่งฝานหดเล็กลงไปชั่วครู่ ต่อมาเขาก็เอ่ยออกไปเสียงเบา “ข้าเมิ่งฝาน!”
เมื่อทั้งสองรู้ชื่อของกันและกันเมิ่งฝานก็หาได้ซักถามให้มากความ เขาเพียงแค่กลับไปยังจุดที่ตนเองเคยอยู่แล้วนั่งขัดสมาธิเพื่อทำการเคลื่อนพลังปราณในร่างกาย เมื่อเห็นว่าเมิ่งฝานมิได้ถามสิ่งใด มู่อวี่อินก็พยักหน้าพลางมองเขาด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความชื่นชม
โดยปกติแล้วบุรุษผู้อื่นก็คงจะเอ่ยถามหลายสิ่ง ทว่าเมิ่งฝานกลับสามารถข่มความอยากรู้ของตนเองเอาไว้ได้ เพียงแค่นี้ก็เป็นเรื่องที่มนุษย์ธรรมดาผู้อื่นยากที่จะทำได้แล้ว ส่วนเมิ่งฝานที่นั่งขัดสมาธิก็ทำการเคลื่อนพลังปราณภายในร่างกายแล้วนำโอสถพลังเทพออกมาด้วยนัยน์ตาวาวโรจน์
ในยามนี้เขามีโอสถนี้อยู่ห้าเม็ดแต่ก็ยังไม่รู้ว่าหากใช้มันแล้วจะมีผลอย่างไร และในเวลานี้เองที่เมิ่งฝานกลืนโอสถพลังเทพทั้งห้าเข้าไปพร้อมกัน ก่อนที่จะรู้สึกคล้ายดั่งมีสายธารที่ร้อนระอุหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายจนทำให้เขาร้อนรุ่มไปทั้งร่าง
แข็งแกร่งยิ่งนัก!
สีหน้าของเมิ่งฝานเปลี่ยนไปเพราะนึกไม่ถึงว่าโอสถพลังเทพจะมีประสิทธิภาพแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ยามนี้เขารู้สึกคล้ายว่าไม่อาจสยบพลังภายในร่างกายได้อีกต่อไป การสลายตัวของโอสถช่างยิ่งใหญ่และทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง! เขากัดฟันแน่นและสยบพลังมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ราวครึ่งก้านธูปต่อมาเมิ่งฝานก็รู้สึกคล้ายดั่งว่าตนเองไม่อาจสยบพลังมหาศาลนั้นเอาไว้ได้ ทั้งยังคล้ายว่าร่างกายของเขากำลังจะระเบิดก็ไม่ปาน!