มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 1 บทที่ 10 รังแกคนเกินไปแล้ว!

        เฉิงกุย?

         

        หลานชายผู้ยอดเยี่ยมที่อายุแค่สิบห้าปีก็สอบผ่านได้เป็นบัณฑิตซิ่วไฉที่ฮูหยินผู้เฒ่าจูเอ่ยถึงผู้นั้น หรือก็คือญาติผู้พี่ของเฉิงชิง

         

        โทสะของเฉิงชิงพวยพุ่ง

         

        เมื่อมองในมุมความสัมพันธ์อันเลวร้ายระหว่างครอบครัวของเฉิงชิงและบ้านเดิมแล้วนั้น นางจึงสามารถสรุปได้เพียงว่าพวกเฉิงกุยจงใจเป็นแน่!

         

        วิ่งตะบึงม้าบนถนนใหญ่ จงใจขู่ขวัญนาง การกระทำทั้งเด็กทั้งน่าเบื่อ ด้วยต้องการเห็นนางและนางหลิ่วทำตัวน่าอับอายจึงทำเช่นนี้ หากบังคับได้ไม่ดีพอ เกือกม้าคงได้เหยียบบนตัวนางและนางหลิ่วไปแล้ว และมีความเป็นไปได้สูงที่จะ

         

        เฉิงชิงยิ้มอย่างเย็นชาให้กับพวกคนที่อยู่บนม้า

         

        “ไม่ทราบว่าท่านใดคือญาติผู้พี่เฉิงกุยหรือ เพิ่งพบกันครั้งแรก วิธีการแสดงไมตรีของญาติผู้พี่ช่างไม่เหมือนใครเสียจริง!

         

        เด็กหนุ่มที่ขู่ขวัญเฉิงชิงพลันเริงร่า

         

        เป็นแค่ไอ้ขี้โรคคนหนึ่ง แต่เจ้าอารมณ์ไม่น้อยเลยนี่ ไม่แปลกที่ก่อนหน้านี้ถึงสามารถสร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่โตได้ขนาดนั้น

         

        ช่วงหลายวันนี้ในสถานศึกษาก็มีการถกเถียงกัน เฉิงกุยยามอยู่บ้านมีสถานะสูงส่งราวกับมาจากสวรรค์ แต่กลับมีลุงใหญ่ที่ยักยอกเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติและญาติผู้น้องที่ก่อความวุ่นวาย ศิษย์บางคนในสถานศึกษาก็ชี้ไม้ชี้มือวิจารณ์เฉิงกุย

         

        สหายสนิทไม่กี่คนก็มิอาจเทียบเฉิงกุย โชคดีที่ระหว่างขี่ม้ากลับมาจากการเที่ยวชมทัศนียภาพที่ชานเมือง เห็นเฉิงชิงกับนางหลิ่วหอบหิ้วสัมภาระน้อยใหญ่อยู่ที่หน้าประตูบ้านรองมาแต่ไกล ใบหน้าซีดเหลืองและร่างกายบอบบางอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเฉิงชิงทำให้ระบุตัวได้ง่ายมาก เพื่อนของเฉิงกุยจึงเข้าใจผิด คิดไปว่าเฉิงชิงและนางหลิ่วเพิ่งออกมาจากบ้านรองหลังรีดไถ

         

        เด็กหนุ่มบนหลังม้าต้องการจะระบายแค้นให้เฉิงกุย ใช้ทักษะบังคับม้าอันน่าประทับใจ จงใจบังคับม้าข่มขวัญอีกฝ่าย ทำร้ายนางและนางหลิ่วจนทำสิ่งของตก แล้วจึงพูดฉีกหน้าเฉิงชิงและนางหลิ่วเสียงดัง กล่าวหาว่ามารีดไถถึงที่

         

        ไหนเลยจะรู้ว่าเฉิงชิงรังแกได้ไม่ง่ายนัก

         

        นางหลิ่วก็โกรธเคืองเช่นกัน

         

        ทำของตกเป็นเรื่องเล็ก หากไม่ใช่ว่าเฉิงชิงดึงตัวนางมาหลบอย่างรวดเร็ว สองแม่ลูกก็คงได้รับบาดเจ็บ หัวใจของนางหลิ่วยังคงเต้นรัว

         

        เด็กหนุ่มหนึ่งในนั้นที่สวมชุดขี่ม้าสีฟ้าอ่อนก็พลิกกายลงจากม้า เรียกขานนางหลิ่วว่าท่านป้าสะใภ้

         

        ท่านป้าสะใภ้ ข้าขออภัยแทนสหายด้วย เขาไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงอยากหยอกญาติผู้น้องเล่นเท่านั้น!

         

        เด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือเฉิงกุย

         

        ส่วนสูงปานกลาง รูปลักษณ์ไม่เลว มีความกระฉับกระเฉงของคนวัยหนุ่ม

         

        เฉิงชิงหัวเราะเหอๆ อย่างแผ่วเบา “ล้อเล่นท่านแม่ พวกเรารีบไปกันเถิด หากพื้นดินตรงหน้าประตูบ้านรองล้ำค่าเช่นนี้ พวกเราก็อยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าคนอื่นมองพวกเราเป็นญาติที่มารีดไถถึงที่เลย ขนาดชีวิตของพวกเราก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว

         

        เฉิงกุยขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้าถึงเหมือนเม่นเช่นนี้ ก็แค่…

         

        ก็แค่ล้อเล่นหน่อยเท่านั้น เฉิงกุยยังเอ่ยไม่จบ เฉิงชิงก็ย่อตัวลงไปเก็บสมุนไพรและตำราบนพื้น ไม่ได้ฟังเขาแก้ตัวอย่างสิ้นเชิง จูงนางหลิ่วจากไปอย่างรวดเร็ว

         

        ญาติผู้น้องของเจ้านี่ช่าง… เฉิงกุย นี่เจ้าเจอกับญาติจนๆ ที่รับมือยากแล้ว! ดูนั่นสิ ในของที่เขาทำตกมีสี่ตำราห้าคัมภีร์อยู่ด้วย เขาคงไม่คิดจะเข้าร่วมการสอบเข้าเรียนของสถานศึกษาหรอกนะ?”

         

        สหายที่เหลือพากันลงจากหลังม้า สะกิดแขนของเฉิงกุยพลางชี้นิ้วไปรอบๆ

         

        ฉากในตอนนี้ดูเหมือนเด็กหนุ่มชั่วร้ายกำลังกลั่นแกล้งเด็กหนุ่มยากไร้อยู่ก็มิปาน ผู้คนบนถนนต่างส่งสายตารังเกียจให้กับเด็กหนุ่มที่บังคับม้า

         

        โธ่เอ๋ย! เดิมมารีดไถถึงที่ เฉิงชิงยังทำได้ ทำไมไม่ให้คนเขาพูดบ้างล่ะ?

         

        อย่ามองว่าเฉิงชิงยังอายุน้อย แต่กลับกระทำเรื่องไร้ยางอาย ได้ยินว่าใช้โลงศพบิดาตนเองขวางหน้าประตูบ้านรอง

         

        คนประเภทนี้ยังคิดจะเข้าเรียนที่ ‘สถานศึกษาหนานอี๋’ มาเป็นเพื่อนร่วมเรียนกับพวกเขาอีกงั้นหรือ

         

        สหายของเฉิงกุยแสดงสีหน้าเยาะเย้ย ทั้งเฉิงกุยก็ไม่ได้เอ่ยแก้ตัวให้เฉิงชิง

         

        ในใจของเฉิงกุย ครอบครัวของเฉิงชิงก็เปรียบเสมือนญาติห่างๆ ที่มาเยี่ยมเป็นบางครั้ง ทั้งยังไม่เคยติดต่อกัน ไม่มีไมตรีต่อกัน จู่ๆฝ่ายตรงข้ามกลับต้องการจะมามีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับบ้านรอง ญาติที่มารีดไถถึงที่เช่นนี้ เขาจะไปชอบได้อย่างไร?

         

        เมื่อไม่มีการตอบรับจากเฉิงกุย สหายของเขาก็ไม่มีแก่ใจจะแสดงท่าทางเป็นเฉิงชิงหยอกเอิน

         

        ภายในจวน เสี่ยวซือจูงม้าแทนเฉิงกุยอย่างกระตือรือร้น เขาจึงเอ่ยถามไปเรื่อยเปื่อย

         

        พวกท่านป้าสะใภ้ใหญ่มายามไหนหรือ?”

         

        เสี่ยวซืองงงวย “นายน้อยกุย ท่านถามถึงนายน้อยเฉิงชิงกับนายหญิงใหญ่หรือวันนี้พวกเขาไม่ได้มาที่จวนเลยขอรับ!

         

        ไม่ได้มา?

         

        ถ้าเช่นนั้นสมุนไพรและตำราที่เฉิงชิงและนางหลิ่วถืออยู่ก็ไม่ใช่ของที่รีดไถมาจากบ้านรองน่ะสิ

         

        เฉิงกุยและสหายกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

         

        เด็กหนุ่มผู้นี้มีนิสัยเย่อหยิ่ง ไม่มีทางยอมรับว่าตนเองผิดอย่างง่ายดาย

         

        นอกจากนี้ ถึงครั้งนี้จะไม่ได้รีดไถ แต่หลังจากนี้ก็ย่อมมาถึงที่หน้าประตูบ่อยครั้งเป็นแน่ ก็ถือว่าเขาพูดไม่ผิดนี่!

         

        เฉิงกุย พรุ่งนี้เจอกันที่ห้องเรียน!

         

        สหายพลิกตัวขึ้นหลักม้า เฉิงกุยรู้สึกได้ว่าเรื่องราวในวันนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าไรนัก

         

        แม่ม่ายบุตรกำพร้าไหนเลยจะกล้าหาเรื่องเขาจริงๆ ?

         

        ระหว่างเดินเข้าจวน เฉิงกุยก็ไม่ลืมกำชับเสี่ยวซือ

         

        เรื่องเมื่อครู่นี้ไม่ต้องแจ้งท่านย่าและท่านอาสาม ตัวข้าจะจัดการเอง!

         

        เฉิงชิงข่มโทสะกลับบ้านไป

         

        เมื่อกลับมาถึงตรอกหยางหลิ่ว โทสะของนางไม่เพียงไม่ดับไป กลับเหมือนถูกคนราดน้ำมันเข้าไปให้มอดไหม้ยิ่งกว่าเดิม ในช่วงชุลมุน เพื่อที่จะหลบจากเกือกม้า นางหลิ่วจึงข้อเท้าพลิก ในขณะเดียวกันก็กลัวเฉิงชิงและเด็กหนุ่มพวกนั้นจะทะเลาะกันหนักกว่าเดิมจึงอดกลั้นไม่ส่งเสียงร้องออกมา

         

        นางหลิ่วข่มความเจ็บปวดตลอดทางกลับบ้าน ตรงข้อเท้าบวมแดงแล้ว โทสะของเฉิงชิงยิ่งเพิ่มสูงขึ้นสามจั้ง[1]

         

        รังแกกันเกินไปแล้ว! อายุสิบห้าเป็นบัณฑิตซิ่วไฉแล้วอย่างไร คิดว่าตนเองเป็นอัจฉริยะที่เก่งกาจเป็นหนึ่งไม่มีสองแล้วสินะ!

         

        บุตรสาวคนโตต้องการจะออกไปเชิญหมอมา แต่นางหลิ่วไม่อนุญาต “ใส่น้ำมันนวดสักหน่อยก็ดีแล้ว ไม่ต้องเชิญหมอมาหรอก

         

        เฉิงชิงไม่เห็นด้วย “ถึงไม่เชิญหมอแต่ก็ต้องไปเชิญหมอยาหญิงมาดูเสียหน่อย เกรงว่าจะบาดเจ็บไปถึงกล้ามเนื้อและกระดูกแล้ว

         

        เฉิงชิงห้ามไม่ให้นางหลิ่วเดินอีก ให้นางนอนพักก่อน ส่วนตัวเองและบุตรสาวคนโตก็ออกจากห้อง

         

        บุตรสาวคนรองรั้งอยู่ดูแลนางหลิ่ว บุตรสาวคนที่สามเดินตามไล่หลังเฉิงชิงและบุตรสาวคนโตออกไป

         

        น้องชาย เรื่องที่มารดาบาดเจ็บ อย่าบอกนะว่าจะปล่อยไป?”

         

        บุตรสาวคนที่สามถามเช่นนี้ บุตรสาวคนโตก็มองเฉิงชิงตาปริบๆ เรื่องในวันนี้ช่างทำให้คนโมโหเสียจริง ถึงไม่เห็นด้วยตาตนเอง พวกนางก็ยังสามารถจินตนาการได้ถึงความระทึกขวัญในยามนั้น

         

        มีเรื่องล้อเล่นเช่นนี้ด้วยหรือ?

         

        เห็นความปลอดภัยในชีวิตของเฉิงชิงและนางหลิ่วเป็นเรื่องล้อเล่น นี่มันออกจะเกินไปแล้ว

         

        บุตรสาวคนโตตระกูลเฉิงขมวดคิ้ว รู้มานานแล้วว่าไม่ควรรับเงินสองร้อยตำลึงจากบ้านรองมาเลยจริงๆ รับของคนอื่นมือไม้อ่อน ตอนนี้ถูกคนชี้หน้าทอว่าพวกนางไปรีดไถ คำพูดโต้กลับก็เอ่ยได้ไม่เต็มปาก

         

        ถึงแม้นิสัยใจคอของน้องชายจะเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายอายุก็ยังน้อยเกินไป บุตรสาวคนโตไม่ได้โทษที่ก่อนหน้านี้เฉิงชิงรับเงินมา แต่ยามนี้ก็คิดว่าควรส่งเงินคืนกลับไปให้บ้านเดิม!

         

        เฉิงชิงพยักหน้า

         

        แน่นอนว่าไม่อาจปล่อยไปแบบนี้ได้ รบกวนตอนพี่ใหญ่ออกไปเชิญหมอยาหญิง ต้องสอบถามคำวิจารณ์เกี่ยวกับนางให้แน่ชัด ต้องมีความสามารถจริงและต้องปากสว่างด้วย… พี่ใหญ่ ข้ารู้ดีว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ พวกเราไม่ควรรับเงินสองร้อยตำลึงเงินนั่นใช่หรือไม่ท่านวางใจเถอะ ความไม่เป็นธรรมที่ท่านแม่ได้รับ ข้าย่อมเอาคืนให้สาสม ข้าต้องให้บทเรียนญาติผู้พี่ผู้นี้สักหน่อย พี่ใหญ่ ท่านเชื่อข้าอีกสักครั้งเถอะ!

         

        ต้องการหมอยาหญิงฝีมือดี บุตรสาวคนโตก็พอเข้าใจได้ แต่ทำไมต้องปากสว่างด้วยเล่า?

         

        บุตรสาวคนที่สามหันศีรษะกลับมาอย่างรวดเร็ว กลอกตารอบหนึ่ง แล้วจูงพี่สาวคนโตกระซิบกระซาบ

         

        “…น้องชายต้องคิดเช่นนั้นแน่

         

        บุตรสาวคนโตลังเล “วิธีนี้จะได้ผลแน่หรือ?”

         

        บุตรสาวคนที่สามพยักหน้าอย่างสุดแรง

         

        ได้ไม่ได้ไม่รู้ ต้องลองถึงจะรู้เอง ถึงไม่ได้พวกนางก็ไม่ได้เสียหายอะไร

         

        หมอหญิงถูกเชิญมาอย่างเร่งรีบเพื่อดูเท้าให้นางหลิ่ว โชคยังดีที่ไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูก เพียงแค่ข้อเท้าพลิก หมอหญิงให้เฉิงชิงไปซื้อยาขี้ผึ้งชนิดหนึ่งที่ร้านขายยาของอำเภอหนานอี๋ ทุกสามวันต้องเปลี่ยนใหม่หนึ่งครั้ง ทาติดต่อกันครึ่งเดือนจึงจะหายดี

         

        เฉิงชิงมอบค่าตรวจแก่หมอยาหญิงเป็นจำนวนมาก แล้วจึงส่งนางออกประตูไป

         

        บุตรสาวคนโตและบุตรสาวคนที่สามทะเลาะกันอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ในระหว่างที่ทั้งสองพี่น้องทะเลาะกัน ก็พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูบ้านรองวันนี้อย่างชัดเจน

         

        หมอยาหญิงที่ปากสว่างผู้นี้ชอบฟังเรื่องซุบซิบนินทาเป็นที่สุด ยืนอยู่หลังประตูบ้านเฉิงชิงอยู่นานจึงค่อยเดินจากไป

[1] จั้ง คือหน่วยนับความยาวของจีน 1 จั้ง เท่ากับ 20 นิ้ว

Author Glory Forever