มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 5 ตอนที่ 127 คุมเชิง

         เท่าไรกันหรือ?” พี่สะใภ้หลิวเอ้อร์มองไปที่เสื้อผ้าสีเหลืองอมชมพูละเอียดอ่อน ขับให้ใบหน้าขาวนวลของแม่นางน้อยที่อ่อนช้อยเป็นสีแดงอมชมพู ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความอิจฉาอย่างเสียไม่ได้

         จุ๊ๆ ก่อนฉลองปีใหม่ ข้าไปเดินเล่นร้านผ้าซิ่วจิ่น ผ้าของที่นั่นเป็นผ้าที่ดีที่สุดในเมือง แน่นอนว่าก็แพงที่สุดด้วย เดิมคิดจะดึงผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดมาสองชิ้นทำเสื้อผ้าให้ไฉ่สยาและไฉ่เฟิงของข้า แต่พอถามราคาเท่านั้นกลับแพงกว่าร้านอื่นมากกว่าสองเท่าเสียอีก นั่นเป็นเงินหลายสิบเหวินเลยนะ เฮ้อ… คนเช่นพวกเรานี้จะรับไหวได้อย่างไรล่ะ” เถียนกุ้ยจือกล่าวไม่หยุดปาก ตาสองดวงมองไปมาอยู่บนกายของเจินจูไม่หยุด

         นั่นน่ะ เป็นเงินมากตั้งเท่าไร ล้วนสามารถซื้อผ้าได้อีกหนึ่งชุดเลย แม่ไฉ่สยา ปีที่แล้วการเก็บเกี่ยวครอบครัวเจ้าไม่เลวเลยนี่ กล้าเข้าไปซื้อผ้าร้านซิ่วจิ่นด้วย” พี่สะใภ้หลิวเอ้อร์เหลือบมองใบหน้าของเถียนกุ้ยจือที่ปะแป้งขาว ค่อนข้างอิจฉาริษยาอย่างมาก

         ที่ไหนกันเล่า ไม่ใช่อย่างนั้น ตลอดทั้งปีหาอาหารทานได้ไม่กี่ปากท้อง นี่ไม่ใช่เพราะบุตรสาวโตแล้วหรือ จะต้องจัดระเบียบรูปลักษณ์เสียหน่อย นี่พอข้าเพิ่งจะกัดฟันตัดสินใจได้ว่าอยากดึงผ้ามาหลายฉื่อ เฮ้อ น่าเสียดายที่เงินในมือไม่พอ สุดท้ายก็ซื้อไม่ได้” เถียนกุ้ยจือเบะปาก เหล่ตามองเด็กสาวตัวน้อยสกุลหูแวบหนึ่ง นางจำได้ว่าผ้าชุดนั้นเป็นของร้านซิ่วจิ่น จัดวางไว้ในตำแหน่งที่เด่นสะดุดตามาก นางไม่กล้าถามราคา แต่ได้ยินลูกจ้างแนะนำให้ฟู่เหรินคนอื่นๆ บอกว่าหนึ่งพับเป็นเงินสองเหลียง นางในตอนนั้นตกใจจนตัวสั่นทันที ตลอดทั้งปีครอบครัวพวกเขารวบรวมได้ยังไม่ถึงห้าหรือหกเหลียงเลย ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดหนึ่งพับนี่ไม่คิดเลยว่าจะขายตั้งสองเหลียง

         โอ้โห ก็ไม่จำเป็นต้องเจาะจงซื้อผ้าของร้านซิ่วจิ่นเลย แม่นางน้อยน่ะ หน้าตางดงามสวมอะไรล้วนผิวขาวนวลดูมีชีวิตชีวาทั้งนั้น” ครอบครัวเถียนกุ้ยจือนับเป็นครอบครัวที่มีรายได้ระดับกลาง ณ หมู่บ้านวั้งหลิน จ้าวป่านเติ้งสามีของนางเป็นคนที่มีความสามารถสูง ที่บ้านมีนาลุ่มห้าหมู่และนาดอนสิบกว่าหมู่ อยู่ในหมู่บ้านนี้นับว่าทรัพย์สินในครอบครัวไม่น้อย มากมายกว่าบ้านของนางอีก ในใจพี่สะใภ้หลิวเอ้อร์ไม่สบอารมณ์เล็กน้อย

         ก็ไม่ใช่หรือ พวกเราเทียบกับคนร่ำรวยไม่ได้เลย ดีที่ว่าบุตรสาวสองคนของข้านั้นเชื่อฟัง ไม่ได้รังเกียจที่บิดามารดาของตนไร้ความสามารถ ซื้อผ้าเนื้อดีให้แก่พวกนางไม่ได้” เถียนกุ้ยจือมองเจินจูแล้วกล่าวอย่างอิจฉา

         มุมปากเจินจูกระตุก พยายามอดทนความรู้สึกที่จะไม่มองบนไว้และหมุนกายคิดจะเดินอ้อมพวกนางไป

         อ้าวๆ เจินจูน้อย อย่างเพิ่งรีบไป มาพูดคุยกับอาสะใภ้หน่อย ผ้าที่นำมาตัดเย็บเสื้อผ้าชุดนี้ของเจ้าเป็นของร้านซิ่วจิ่นใช่หรือไม่?” พี่สะใภ้หลิวเอ้อร์เห็นเช่นนั้นเลยรีบขวางนางไว้ ถามขึ้นด้วยใบหน้าสนอกสนใจเรื่องคนอื่น

         เถียนกุ้ยจือก็เข้ามาล้อมด้วยเช่นกัน ขวางนางไว้อย่างตั้งใจและเหมือนไม่ตั้งใจ

         “…”

         เจินจูหมดคำพูดจึงฉีกยิ้มขึ้น “อาสะใภ้ทั้งสองท่าน ผ้าที่นำมาตัดเย็บชุดนี้เป็นของขวัญส่งท้ายปีที่ผู้อื่นมอบให้ ไม่ได้ซื้อมาเอง ดังนั้นเลยไม่ทราบว่าราคาเท่าไร”

         ของขวัญส่งท้ายปีที่มีคนมอบให้? ผู้ใดกัน? ใจกว้างเพียงนี้?” พี่สะใภ้หลิวเอ้อร์ถาม

         เจ้าของร้านหลิวจากฝูอันถังมอบให้น่ะ” เจินจูไม่ปิดบัง ตอบออกไปตามตรง 

         ฝู… อัน… ถัง…พี่สะใภ้หลิวเอ้อร์กับเถียนกุ้ยจือมองหน้ากันและกันแวบหนึ่ง สายตาตะลึงงันอย่างปิดไม่มิด เจ้าของร้านสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ไม่นึกเลยว่าจะมอบของขวัญส่งท้ายปีให้พวกสกุลหู

         เจินจูถือโอกาสที่ทั้งสองชะงักค้าง เลี้ยวหายวับไปกับตาอีกฝั่งหนึ่ง

         นี่! ข้านึกออกแล้ว ก่อนปีใหม่มีรถม้าเคยมาจริงด้วย ตอนผ่านบ้านข้า ข้ายังนึกว่าเป็นลูกจ้างของสือหลี่เซียงไปบรรทุกสินค้าบ้านนางเลย ที่แท้ไปมอบของขวัญส่งท้ายปีนี่เอง…” น้ำเสียงพี่สะใภ้หลิวเอ้อร์วิจารณ์อย่างเต็มไปด้วยความอิจฉา

         เจินจูคร้านที่จะสนใจพวกนาง ขยับเคลื่อนกายไปข้างกำแพงลานบ้าน ซ่อนอยู่ข้างหลังกลุ่มคน

         สถานการณ์ในลานตึงเครียด สกุลจ้าวอยากให้เหลียงหู่หย่าร้างกับจ้าวหงยู่ แน่นอนว่าเหลียงหู่ไม่ยินยอม ต่อให้ไม่ชอบความโง่เขลาและความน่าอึดอัดใจของสตรีผู้นั้นก็ตาม แต่เขาจ่ายค่าสินสอดแต่งภรรยาอย่างถูกต้องไปสามสิบเหลียง หากหย่าร้างเช่นนี้ก็ถูกเอาเปรียบน่ะสิ หึๆ เหลียงหู่อย่างเขาเป็นคนที่จะถูกเอาเปรียบได้หรือ!

         อยากหย่า? ได้! คืนสินสอดสามสิบเหลียง และชดใช้เพิ่มอีกยี่สิบเหลียง เขาจะยินยอมและไม่ยื้อยุดอีก อย่างไรเสียมีเงินแล้วค่อยขอภรรยาใหม่ที่งดงามอ่อนช้อยอีกก็ได้ อย่างไหนเขาก็ได้กำไรทั้งนั้น

         สกุลจ้าวได้ฟังเงื่อนไขของเขาแล้ว โมโหจนหายใจแล้วเจ็บปอดไปหมด ว่าไงนะ? เงินห้าสิบเหลียง? เหลียงหู่เจ้านี่ช่างโหดเหี้ยมไร้คุณธรรมจริงๆ หากตอนแรกไม่ใช่เพราะเขาก้มหน้าต่ำทำท่านอบน้อมถ่อมตัว ขอมอบสินสอดสามสิบเหลียงในคำเดียว สกุลจ้าวของเขาไหนเลยจะให้หงยู่แต่งงานด้วย ในปีนั้นหงยู่กำลังพูดคุยเรื่องการแต่งงานกับคนที่มีฐานะของหมู่บ้านต้าวันครอบครัวหนึ่งอยู่เช่นกัน

         แต่ชายโฉดผู้นี้ผ่านไปไม่นานก็แสดงสันดานเลวร้ายดั้งเดิมออกมา เว้นสามวันห้าวันไม่ใช่ด่าทอก็เป็นทุบตี บนร่างกายของหงยู่มักมีรอยช้ำดำเขียวติดต่อกันไม่เคยขาด เด็กสาวครอบครัวเขาเป็นคนหัวรั้นไม่เปล่งเสียงออกมา มีเรื่องอะไรก็แบกไว้กับตัวเอง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยบอกเล่าความทุกข์ในใจต่อหน้าพวกเขาเลย

         จนกระทั่งปีที่แล้วนางถูกตีจนร่างกายลุกไม่ขึ้น ตอนมารดาของนางเช็ดตัวให้ ถึงได้พบว่าบนร่างกายที่เปราะบางนั้นเขียวช้ำตัดสลับกับรอยแผลนับไม่ถ้วน ทั้งครอบครัวพวกเขาจึงได้รับรู้นิสัยดุร้ายของเหลียงหู่ ตอนไปซักถามเขาด้วยเสียงตำหนิ ชายโฉดผู้นี้ก็ทำการฉีกหน้า ขับไล่พวกจ้าวหงซานที่ไปซักถามถึงบ้านออกมาอย่างหงุดหงิด ท่ามกลางการผลักกันไปมาอย่างแรง คนในกลุ่มจ้าวหงซานไม่กี่คนก็ถูกต่อยอยู่หลายหมัด

         ความโหดเหี้ยมดุร้ายนี้ ทำบุตรสาวครอบครัวเขาบาดเจ็บรุนแรง พวกเขาเองยังไม่ให้คนตรงหน้าได้ชดเชยเลย แต่นี่ยังจะมากล่าวอะไร แถมต้องการให้ครอบครัวพวกเขาชดใช้ค่าเสียหายอีก? การกลับขาวให้เป็นดำแทนที่จะยอมรับผิดกลับย้อนมาโทษพวกเขา หน้าไม่อายอะไรเช่นนี้ สกุลจ้าวโกรธจนใบหน้าเขี้ยวคล้ำ อีกนิดก็จะพูดไม่ออกอยู่แล้ว

         สองฝ่ายหนึ่งมาสองไป [1] บรรยากาศยิ่งกล่าวก็ยิ่งความเห็นไม่ลงรอย ส่วนใหญ่เมื่อความเห็นไม่ตรงกันก็จะทำท่าลงมือ

         เจินจูมองแล้วในใจวิตกกังวลเล็กน้อย หากตีกันขึ้นมาผู้ที่เสียเปรียบต้องเป็นพวกเขาฝ่ายนี้แน่ ฝ่ายหัวหน้าหมู่บ้านดูเหมือนผู้คนมากมายร่วมสามัคคีกัน แต่ล้วนเป็นครอบครัวชาวเกษตรกรที่ทำได้เพียงทำไร่ไถนา ส่วนอาชีพในวันธรรมดาของกลุ่มคนเหลียงหู่นั่นคือการต่อยตีเฝ้าพื้นที่บ่อน โหดเหี้ยมอำมหิตมาตลอด พวกชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้จะสามารถต่อสู้ได้ที่ไหนกัน

         เฮ้อ ยุคสมัยอาวุธเย็นนี่ [2] ยังใช้กำลังอยู่กลางถนน ดูเหลียงหู่ผู้นี้สิ เวลาไม่นานเท่าไรก็สามารถวางอำนาจอยู่บริเวณหมู่บ้านนี้ของพวกนางได้แล้ว ต่อไปมีโอกาสต้องให้เด็กชายสองคนของครอบครัวนางได้เรียนรู้การต่อสู้สักหน่อยคงจะดี ทั้งสามารถทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้วยังสามารถปกป้องคนอื่นหลีกเลี่ยงการถูกคนรังแกได้อีกด้วย

         แต่ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? แม้นางในตอนนี้จะมีพละกำลังไม่น้อย แต่การชกต่อยตีกันอะไรนี้ นางทำไม่เป็นจริงๆ! ขอร้องล่ะ เติบโตอยู่ในยุคสมัยไม่มีสงคราม แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยต่อยตีมาก่อนเลย

         เจินจูกระทืบเท้าด้วยความโกรธ เกลียดตัวเองที่ทำไมไม่เพาะปลูกพืชจำพวกสมุนไพรหลอนประสาทไว้ เหมือนที่เขียนอยู่ในนวนิยายกำลังภายใน พอโปรยใส่แล้วก็ล้มลงทั้งหมด หากเป็นเช่นนั้นน่าจะดีไม่น้อย!

         ขณะที่คิดข้างหลังแว่วเสียงฝีเท้ามาพักหนึ่ง หมุนกายกลับไปมอง หูฉางกุ้ยกับหูฉางหลินนำชาวไร่ชาวนาที่ขากางเกงเปื้อนโคลนมาสามสี่คน แหวกกลุ่มคนที่มุงดูเข้ามาแล้วเดินไปทางจ้าวเหวินเฉียง

         ท่านอาจ้าว!”

         หัวหน้าหมู่บ้าน!”

         ฉางหลิน พวกเจ้ามาแล้ว” จ้าวเหวินเฉียงยิ้มให้กับพวกเขาอย่างโล่งอก เดิมทีถูกเหลียงหู่คุกคามจนถอยไปถึงประตูห้องที่อยู่ข้างโถงใหญ่และห้องของหงยู่อยู่รอมร่อ ยามนี้เขาเลยยืดแผ่นเอวตั้งตรง ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แสดงเจตนาให้พวกเขาไปยืนอยู่ข้างหลัง

         เชอะ! ทำไมหรือ? หมู่บ้านวั้งหลินของพวกท่านอาศัยรวมพลังคนมาก คิดจะใช้อำนาจบีบบังคับพวกข้าคู่สามีภรรยาให้แยกจากกันหรือ? หัวหน้าหมู่บ้านจ้าว ท่านต้องคิดให้ละเอียด ข้าเหลียงหู่ไม่ได้รังแกง่ายเพียงนั้น” สายตาของเขาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง ปรากฏความดุร้ายโมโหชั่วขณะ

         ลูกพี่หูของพวกข้าไม่ได้รังแกง่ายนะ!!!” คนระยำไม่กี่คนที่อยู่ข้างหลังเขาร้องตะโกนขึ้น กางเกงขาโคลนหนึ่งกลุ่ม [3] ไม่นึกเลยว่าจะกล้าเป็นศัตรูกับพวกเขา

         จ้าวเหวินเฉียงโมโหอยู่ในใจ เขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านมานานเพียงนี้ ไม่เคยพบคนหยาบคายไร้เหตุผลเช่นนี้เลยจริงๆ เหลียงหู่ผู้นี้ตอนกลับมาหมู่บ้านเหลียงผิงไม่เกินห้าถึงหกปี กลับพึ่งพากำลังป่าเถื่อนมาทำเรื่องสวรรค์โกรธคนเกลียด [4] มากมายไปตั้งเท่าไร ทำลายประเพณีอันดีงามที่ปรองดองและเรียบง่ายของหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงไปก็หลายแห่ง

         เหลียงหู่ เจ้าทำเช่นนี้ต้องการให้ครอบครัวที่ดองกันผ่านการแต่งงานเปลี่ยนไปเป็นคู่อริหรือ? เจ้าตีคนจนกลายเป็นเช่นนั้น ยังไม่ให้นางพักรักษาอยู่บ้านบิดามารดาของนางแล้วยังจะรับกลับไปอีก หมายความว่าอย่างไร? สภาพอาการบาดเจ็บของหงยู่ขณะนี้เกรงว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วันแล้ว อะไรทำให้เจ้าเป็นถึงเพียงนี้ เจ้าบีบบังคับคนไปทางตัน [5] แล้วยังจะโทษผู้อื่นอีก” ข้างหลังมีคนมาก น้ำเสียงจ้าวเหวินเฉียงจึงเข้มแข็งขึ้นมาหน่อยอย่างเสียไม่ได้

         หัวหน้าหมู่บ้านจ้าว จะว่าไปแล้วนี่ล้วนเป็นเรื่องครอบครัวของสกุลเหลียงข้า ท่านเข้ามายุ่งให้น้อยหน่อยจะดีกว่า หมู่บ้านวั้งหลินของพวกท่านก็แค่แรงงานร่างกายกำยำเพียงเท่านั้น หากกระแทกหรือล้มลงไป หึๆ การปรับปรุงดินก่อนหว่านเมล็ดในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ต้องเร่งทำแล้ว” เหลียงหู่จ้องจ้าวเหวินเฉียงด้วยความเย็นชา ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความคุกคามอยู่สองสามส่วน

         พวกหมู่บ้านวั้งหลินก็แค่มีปัญญาชนที่สามารถอ่านเขียนได้แค่นั้นเองมิใช่หรือ หากยุแหย่ให้เขาหงุดหงิดก็แค่ไปตีมือปัญญาชนที่เขียนหนังสือนั่นให้หัก ปัญญาชนที่ไร้มือจะสอบซิ่วฉายได้อย่างไร หึ!

         จ้าวเหวินเฉียงใบหน้าถอดสี เขาย่อมเคยได้ยิน ความมากฝีมืออันยิ่งใหญ่ [6]’ ของเหลียงหู่ในอดีต แน่นอนว่าต้องรู้ความหมายในคำพูดและนอกคำพูดของเขา ในใจกลับตึงเครียดทันที

         ปัง” เสียงดังหนึ่งเสียงแว่วออกมาจากในห้องที่อยู่ข้างหลัง

         อ๊ะ ลูกสาว

         ท่านอาหงยู่!”

         ท่านอา

         เสียงไม่กี่คนในห้องดังขึ้นพร้อมเพรียงกัน

         พ่อเจ้า… พ่อเจ้า… รีบไปตามท่านหมอมา หน้าผากหงยู่มีเลือดออก!”

         พอจ้าวสี่เหวินได้ฟังก็ไม่สนใจเหลียงหู่ที่อยู่ตรงหน้า ก้าวไปดันประตูให้เปิดออก

         เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเลือดออกอีกแล้ว?”

         ผู้คนภายนอกได้ยินอย่างชัดเจน ต่างทยอยกันตั้งหูฟัง

         นอกลาน เจินจูขมวดคิ้วขึ้นใช้ความสามารถในการฟังของนางตอนนี้ ขอแค่รวบรวมสมาธิให้ดี เสียงภายในห้องนางย่อมได้ยินอย่างละเอียด

         จ้าวหงยู่อาจจะสภาพจิตใจดั่งเถ้าที่มอดดับไป [7] ฟังข้ออ้างของเหลียงหู่ที่อยู่นอกบ้านจนจบ พยุงร่างกายที่บาดเจ็บขึ้นแล้วถือโอกาสที่คนในบ้านไม่ทันระวัง เอาศีรษะโขกเข้าที่สันกำแพง ไม่คิดเลยว่านางจะมีจิตใจที่เด็ดขาดเช่นนี้

         เหลียงหู่ใบหน้าครึ้มเย็นชา ก้าวยาวไปข้างหน้า กล่าวกับพวกจ้าวเหวินเฉียงที่ขวางกั้นอยู่หน้าประตูด้วยเสียงเรียบไม่พอใจ “ภรรยาข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าเข้าไปดูสักหน่อยคงได้กระมัง”

         จ้าวเหวินเฉียงก็เดาเหตุการณ์ภายในบ้านออก “ช่างเถอะ ไปดูเสียหน่อยว่าเจ้าก่อกรรมทำบาปอะไรไว้ บังคับคนจนสามารถเดินไปสู่ความตายได้แล้ว”

         สายตาเหลียงหู่หรี่ลงครึ่งหนึ่ง กวาดมองเขาอย่างอึมครึมเฉียบคม แล้วจึงเดินเข้าไป

         จ้าวเหวินเฉียงอดหนาวสั่นขึ้นไม่ได้ วันธรรมดาเขาจัดการเหตุการณ์ในหมู่บ้านจนชินแล้ว น้ำเสียงเลยมีความแข็งกร้าวอยู่หลายส่วนอย่างไม่รู้ตัว เขาออกหน้าออกตามากเกินไปหรือไม่? เหลียงหู่ชายโฉดผู้นี้ก็ไม่ได้เหมือนชาวไร่ชาวนาทั่วไปด้วย

         ในบ้านกำลังวุ่นพัลวัน จ้าวหงยู่เอียงคว่ำอยู่ขอบเตียง พานซื่อมารดาของจ้าวหงยู่กำลังใช้ผ้าปิดหน้าผากของนางไว้อย่างมือไม้อ่อนไปหมด ติงซื่อพี่สะใภ้ของจ้าวหงยู่ที่อยู่ฝั่งขอบเตียงกอดบุตรสาววัยสามปีไว้ด้วยความตกใจจนสีหน้าขาวซีด ข้างหลังนางยังมีชุ่ยจูกับตงเซิ่งที่ยืนตกใจเหมือนกัน

         พอเหลียงหู่เข้าไปก็ถูกกลิ่นสมุนไพรเข้มข้นอัดแน่นและกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งจนเขาต้องขมวดคิ้ว สตรีน่าตายนี่ ไม่นึกเลยว่าจะก่อความวุ่นวายฆ่าตัวตายขึ้น เขามองนางแวบหนึ่งด้วยความสะอิดสะเอียน ทั่วทั้งใบหน้าฟกช้ำดำเขียวบวมแดง เลือดสดๆ บนหน้าผากไหลย้อมใบหน้าจนแดงไปกว่าครึ่ง อาจเป็นการดิ้นรนและขยับสะเปะสะปะ บาดแผลที่พันไว้แต่เดิมเลยเปิดออก รอยแผลขรุขระกินพื้นที่หน้าผากขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ

         บาดเจ็บจนกลายเป็นรูปลักษณ์เช่นนี้เลยหรือ?

 

         เชิงอรรถ

        [1] หนึ่งมาสองไป หมายถึง เวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง เรื่องราวหรือเหตุการณ์บางอย่างก็ค่อยๆ เกิดขึ้น

        [2] ยุคสมัยอาวุธเย็น หมายถึง ยุคที่มีการเริ่มค้นพบอาวุธยุทโธปกรณ์ มีการประดิษฐ์ดินปืนใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำสงคราม

        [3] กางเกงขาโคลน คือ คำเรียกชาวไร่ชาวนา เป็นคำที่ค่อนข้างเหยียดหยาม

        [4] สวรรค์โกรธคนเกลียด หมายถึง ก่อกรรมทำชั่วจนแม้แต่สวรรค์และคนต่างพากันเคียดแค้น

        [5] บังคับคนไปทางตัน หมายถึง การต้อนคนให้จนมุม หมดหนทางเลือก

        [6] ความมากฝีมืออันยิ่งใหญ่ หมายถึง วีรกรรมอันเป็นที่เลื่องลือ

        [7] สภาพจิตใจดั่งเถ้าที่มอดดับไป หมายถึง สภาพจิตใจอ่อนแอ เฉยเมย ไม่แยแสสิ่งอื่น และยังรวมไปถึงอาการซึมเศร้าที่เฉยเมยต่อสิ่งอื่นอย่างสุดขีดด้วย

Author Jinovel