กล่าวจนถึงตอนนี้ แก้มของเสี่ยวเมิ่งได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม นางหลบสายตาหยวนจุนคล้ายในใจกำลังสับสนเล็กน้อย
“แม่นางเสี่ยวเมิ่งดีกับข้าถึงเพียงนี้ ข้าไม่ตำหนิเจ้าอยู่แล้ว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นก็ปล่อยไปมิได้เช่นกัน ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องให้คำอธิบายแก่ข้า”
หยวนจุนยืนขึ้นอย่างกล้าหาญก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เสี่ยวเมิ่ง แววตาสะท้อนแสงแห่งความร้ายกาจออกมา
เสี่ยวเมิ่งที่ไม่กล้าสบตาหยวนจุนรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากม้านั่ง นางมองหยวนจุนด้วยสายตาที่หวาดกลัว สองมือจับคอปกของชุดกระโปรงยาวทันที
นางกล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า “ยะ…หยวน หยวนจุน! ที่นี่เป็นโรงประมูล เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ!”
“ถ้าตามที่เจ้าว่า เช่นนั้นข้าสามารถทำอย่างนี้ที่นอกโรงประมูลได้ใช่หรือไม่?”
เมื่อถูกประโยคนี้ของเขาย้อนกลับ เสี่ยวเมิ่งที่เกือบจะโกรธจึงเอ่ยออกมาเสียงหวานว่า “คนหน้าไม่อาย ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้ รู้อย่างนี้ข้าน่าจะปล่อยให้เจ้าตายคาเพลิงอัคคีกลืนสวรรค์ไปเสีย”
เมื่อเห็นเสี่ยวเมิ่งปากกับใจไม่ตรงกัน หยวนจุนจึงหัวเราะออกมา ก่อนจะเงียบสงบลงอีกครั้งแล้วไปนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้
เสี่ยวเมิ่งแอบมองหยวนจุน นางลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อรู้ว่าสิ่งที่หยวนจุนกล่าวออกมาเมื่อครู่นี้เป็นแค่การหยอกล้อเท่านั้น
นางกังวลเป็นอย่างมากว่าหยวนจุนจะทำอะไรกับนางในโรงประมูล ยามกลางวันแสกๆ เช่นนี้ เขาไม่ละอายใจบ้างหรืออย่างไร!
“เสี่ยวเมิ่ง เจ้าเคยได้ยินประโยคที่กล่าวว่า ‘พึ่งอาศัยภูเขา ภูเขาก็อาจล้มได้’ บ้างหรือไม่”
เสี่ยวเมิ่งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ เขาถึงเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา นางจึงหยุดความคิดอันไร้สาระที่อยู่ในใจ ก่อนจะกล่าวออกไปว่า “แน่นอน ข้าเคยได้ยินประโยคนี้!”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นผู้ที่สามารถพึ่งพาได้หรือไม่?” หยวนจุนหันหน้าถาม แต่เสี่ยวเมิ่งกลับพูดไม่ออก นางรู้สึกเหมือนกำลังถูกดวงตาคู่นั้นสะกดไว้
“ตัวข้ามีความลับมากมายที่ซ่อนอยู่ เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังไม่สามารถบอกเจ้าได้ ปกติแล้วข้าไม่เคยรู้สึกใดๆ กับสตรี แต่เจ้ากลับเป็นคนที่สองที่ทำให้ข้าไม่รู้สึกเช่นนั้น”
จู่ๆ เสี่ยวเมิ่งก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างมากดทับอยู่ที่หัวใจ นางรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะถามออกไปด้วยท่าทีที่สั่นเทาว่า “แล้วผู้ใด…เป็นคนแรก?”
“วันหนึ่งเจ้าจะรู้เอง” เมื่อนึกถึงเรื่องที่คุยจีสมรู้ร่วมคิดกับหลี่จั้นอ๋าวเพื่อฆ่าตน ดวงตาของหยวนจุนได้สะท้อนความน่ากลัวออกมาทันที ทั้งร่างเต็มไปด้วยพลังแห่งความอาฆาต
สตรีที่ชาญฉลาดอย่างเสี่ยวเมิ่งเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดหยวนจุนถึงเปลี่ยนอารมณ์เป็นรุนแรงเช่นนี้
“แม้ภูเขาจะล้ม ผู้คนจะหนี แต่เสี่ยวเมิ่งผู้นี้จะไม่มีวันไปไหน” นางเม้มริมฝีปากก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หยวนจุน ข้าเองก็มีความลับที่ซ่อนอยู่ภายในใจ เมื่อถึงเวลาที่เจ้าอยากฟังจากปากข้า ข้าจะบอกเจ้าเอง”
“ไม่ว่าเจ้าจะเผยความลับนี้ออกมาหรือไม่ ทั้งชีวิตของข้านั้นเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
เสี่ยวเมิ่งรู้สึกโล่งใจ ประโยคสุดท้ายนี้ไม่ง่ายเลยที่จะเอ่ยออกไป เพราะสำหรับนางแล้วการเอ่ยคำที่น่าอายออกไปต่อหน้าหยวนจุนนั้น ช่างเป็นสิ่งที่ยากเย็นเหลือเกิน
หยวนจุนนำมือมารองศีรษะพลางหลับตายิ้ม เขารู้สึกได้ว่าการที่ได้อยู่กับเสี่ยวเมิ่งนั้นแตกต่างจากตอนที่อยู่กับคุยจี มันเป็นความรู้สึกสบายใจที่ช่วยทำให้เขาผ่อนคลายความตึงเครียด
“หยวนจุน หากเจ้าจำชื่อสตรีของเจ้ามิได้ เช่นนั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร และทำให้เจ้ารู้สึกขายหน้าใช่หรือไม่?”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจำมิได้? เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามาสิ”
เมื่อพวกเขามิได้เคอะเขินต่อกันแล้ว เสี่ยวเมิ่งจึงค่อยๆ เปิดใจ ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าชื่อกวนเสี่ยวเมิ่ง!”
การที่เสี่ยวเมิ่งถูกกดดันด้วยระยะเวลาภายในสิบวัน ทำให้เวลาส่วนใหญ่ของนางหมดไปกับการกลั่นอาวุธระดับวิญญาณขั้นสอง แม้ระหว่างกลั่นจะเกิดความล้มเหลวถึงสองครั้ง แต่เคราะห์ดีที่หลังจากใช้วัตถุแร่ผลึกจนหมดแล้ว นางสามารถกลั่นอาวุธระดับวิญญาณขั้นสองที่มีรูปร่างต่างกันถึงสิบแบบออกมาได้อย่างพอดี
สำหรับเสี่ยวเมิ่งที่เพิ่งก้าวเข้าสู่นักสร้างระดับปรมาจารย์ขั้นทั่วไปแล้ว โอกาสที่จะกลั่นอาวุธระดับวิญญาณขั้นสองจนสำเร็จเช่นนี้นั้นมีน้อยมาก
นอกจากยามกลางวันเสี่ยวเมิ่งจะกลั่นอาวุธแล้ว ในยามกลางคืนนางยังฝึกฝนวิชาหงส์คู่องอาจกับหยวนจุนอีกด้วย ซึ่งตอนนี้เรียกได้ว่าก้าวหน้าไปในระดับหนึ่งแล้ว
คืนหนึ่งขณะที่เสี่ยวเมิ่งเพิ่งพักผ่อนได้ไม่นาน นางลืมตาขึ้นมาเห็นหยวนจุนนั่งขัดสมาธิ เขามิได้บ่มเพาะพลังยุทธ์ แต่กลับมองไปยังกระบี่หยวนจุนที่อยู่บนหน้าตักอย่างตั้งใจ
เสี่ยวเมิ่งมองเขาอย่างไม่เข้าใจ นางเห็นกระบี่หยวนจุนสีขาวหยกเล่มนั้นมีรอยร้าวสองแห่งอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้สูญเสียความแวววาวแบบดั้งเดิมไป
เสี่ยวเมิ่งมิรู้ว่ากระบี่หยวนจุนเล่มนี้ใช้วัตถุใดในการกลั่น นางรู้แต่เพียงว่าวัตถุนั้นจะต้องหายากอย่างแน่นอน หากจะกล่าวว่าเป็นสิ่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวในมหาภพก็คงไม่เกินจริง
“เพราะรอยร้าวสองแห่งนี้เองที่ทำให้กระบี่หยวนจุนกลายเป็นอาวุธธรรมดา” เสี่ยวเมิ่งนั่งลงข้างๆ หยวนจุน นางดึงมือเขาขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะส่งสายตาอ่อนโยนไปทางกระบี่หยวนจุนด้วยความรู้สึกสงสารเป็นอย่างยิ่ง
“กระบี่เล่มนี้กลั่นมาจากเขี้ยวมังกรที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบ ผู้ที่บรรลุระดับตะวันขั้นเก้าเท่านั้นจึงจะสามารถทิ้งร่องรอยไว้บนกระบี่ได้ ทั้งนี้ รอยร้าวสองแห่งที่ปรากฏบนกระบี่เล่มนี้กลับมิใช่ร่องรอยนั้นแต่เป็นหลักฐานของความอัปยศ!”
หยวนจุนก้มหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “หากต้องการซ่อมแซมรอยร้าวบนกระบี่หยวนจุนให้สำเร็จจำเป็นต้องมีเลือดของมังกรตัวจริง เพราะการใช้พลังจากเลือดของมันจะทำให้กระบี่สามารถฟื้นพลังได้อย่างสมบูรณ์!”
“หากเพียงเพื่อเลื่อนระดับกระบี่ บางทีหยดวิญญาณจงหยวนที่เกิดจากฟ้าดินอาจสามารถซ่อมแซมได้โดยที่มิต้องใช้เลือดของมังกรตัวจริง”
หยวนจุนดีใจในทันทีเมื่อได้ยินเสี่ยวเมิ่งบอกว่ามีวิธีซ่อมรอยร้าวสองแห่งบนกระบี่ เขากล่าวว่า “หยดวิญญาณจงหยวนสามารถซ่อมแซมรอยร้าวบนกระบี่ และทำให้กระบี่หยวนจุนฟื้นพลังกลับมาจนกลายเป็นอาวุธระดับวิญญาณได้อย่างนั้นหรือ?!”
เสี่ยวเมิ่งพยักหน้าอย่างจริงจังและกล่าวว่า “แต่สิ่งนี้ไม่แข็งแกร่งเท่ากับเลือดของมังกร ทั้งยังมีอยู่น้อยมาก เพราะทุกๆ พันปีจะกลั่นออกมาแค่เพียงสิบหยด ดังนั้นเมื่อหินดูดซับพลังจากธรรมชาตินี้ ก็จะมีโอกาสเกิดหยดวิญญาณจงหยวน
แม้จะดูเหมือนง่าย แต่หยวนจุนนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหยดวิญญาณจงหยวนนี้เลย สิ่งนี้มิใช่น้ำพุ มิใช่ผลไม้ป่า ที่คิดจะหามามากเท่าไรก็ได้ตามความต้องการ
เมื่อทั้งสองกำลังจะเดินออกจากโรงประมูล หญิงรับใช้ในโรงประมูลได้จ้องมองไปที่พวกเขาด้วยสายตาแปลกๆ อีกทั้งนักยุทธ์สองคนที่เดินอยู่ข้างหน้าหยวนจุนก็พูดพลางหัวเราะ พวกเขากำลังสนทนาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อน
“เดิมทีข้าคิดว่า เมื่อหยวนจุนช่วยตระกูลหลิวให้ได้สิทธิ์ในการครอบครองภูเขาสองแดนแล้ว เขากับหลิวหรูเยียนจะต้องได้สมรสกัน แต่ผู้ใดจะรู้ว่าจู่ๆ หลิววั่นซานนั้นกลับโมโห กล่าวว่าหยวนจุนเป็นบุรุษที่ทนต่อแรงยั่วยุมิได้ กลางดึกคืนหนึ่งเขาจึงหนีตามหญิงชุดดำไป”
“ข้าว่า นี่คงเป็นแค่คำพูดของหลิววั่นซานฝ่ายเดียว เหตุใดหยวนจุนจึงหนีตามหญิงผู้นั้นไปล่ะ ไม่แน่ว่าเขาอาจรู้สึกไม่คู่ควรกับหลิวหรูเยียน จึงทำให้เขาไม่อยากเข้าพิธีสมรสกับนางก็เป็นได้”
“ไม่กี่วันก่อนตอนหลิวหรูเยียนมาที่โรงประมูลข้าก็เพิ่งเจอนาง เห็นนางกับมู่เฟิงสนทนากันอย่างมีความสุข ไม่เหมือนผู้ที่สนใจในเรื่องพิธีสมรสแม้แต่น้อย ฮาฮา อาจเป็นเพราะไม่กี่วันก่อนหลิววั่นซานได้ภูเขาสองแดนกลับมา ทำให้เขาดีใจมากจึงพลั้งปากประกาศเรื่องพิธีสมรสออกไป”
หนึ่งในนั้นหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ถูกต้อง หยวนจุนผู้นั้นไม่เหมาะสมกับคุณหนูหลิวเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นสตรีในฝันของข้าเชียวนะ อย่างไรเสียตอนนี้ก็ไม่มีเขาแล้ว คิดว่าข้าจะมีโอกาสมากขึ้นหรือไม่?”
เมื่อรู้สึกว่ามีสายตากำลังจ้องมองอยู่ที่ด้านหลัง พวกเขาจึงหันหลังกลับไปด้วยความอยากรู้ ครั้นเห็นหยวนจุนทั้งสองก็ตกใจมากจนปัสสาวะแทบจะรดกางเกง