“เย่เฉินศิษย์สำนักนอก เนื่องจากตันเถียนแตก ไร้วาสนาฝึกตน นับแต่บัดนี้ถูกขับออกจากสำนัก ไม่อนุญาตให้ก้าวเข้าสู่เขาวิญญาณเจิ้งหยางแม้เพียงครึ่งก้าว”
ในวิหารโอ่อ่าปรากฏน้ำเสียงเยือกเย็นดุจคำพิพากษาจากสวรรค์ เสียงที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามที่ไม่อาจล่วงเกิน
ณ เบื้องล่าง เย่เฉินยืนนิ่งอยู่กลางวิหาร สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ ฟังคำพิพากษาอันไร้ซึ่งความปราณี มือของเขานั้นกำหมัดแน่น และอาจจะเป็นเพราะออกแรงมากเกินไปทำให้เล็บจิกเข้าใจกลางฝ่ามือจนเลือดสดๆ ไหลออกมา
ตันเถียนแตก ไร้วาสนาฝึกตน
เย่เฉินฝืนยิ้ม ทว่าดวงตานั้นกลับเต็มไปด้วยความเศร้ารันทด
สามวันก่อนเขาลงเขาไปรับยาวิญญาณให้ทางสำนัก แต่กลับถูกยอดฝีมือจากสำนักคู่อริลอบทำร้าย เขาสู้สุดชีวิตเพื่อรักษายาวิญญาณ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดกลับมาสำนัก และนั้นทำให้ตันเถียนของเขาถูกทำลายจนกลายเป็นคนไร้ค่าโดยสมบูรณ์
เพียงแต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าในสายตาของเบื้องบนความภักดีของเขานั้นแทบไม่มีค่าเลยแม้แต่น้อย พวกเขารอที่จะขับไล่เขาออกจากสำนักแทบทนไม่ไหวเหมือนเขาเป็นเพียงขยะไร้ประโยชน์ชิ้นหนึ่ง
“ยังไม่ไปอีก?” เห็นเย่เฉินยังยืนนิ่งไม่ไหวติง ในวิหารก็มีเสียงหมดความอดทนดังขึ้นอีกครั้ง
“ตันเถียนก็ถูกทำลายไปหมดแล้ว อยู่ต่อไปจะยังมีประโยชน์อันใด? แต่ไหนแต่ไรมาสำนักเจิ้งหยางเรามิเคยเก็บคนไร้ค่าเยี่ยงนี้ไว้”
“รักษาเจ้าสามวันก็นับว่ามีเมตตามากแล้ว”
น้ำเสียงดูถูกในวิหารที่ดังบาดหูลอยเข้าหูเย่เฉิน ราวกับเข็มทิ่มแทงหัวใจเขาก็มิปาน
“สำนักเยี่ยงนี้ช่างทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!”
เสียงแหบพร่าเจือด้วยความเศร้าโศกดังขึ้น เย่เฉินค่อยๆ หันกายจากไป
นอกวิหาร ทั่วภูเขาวิญญาณเต็มไปด้วยต้นไม้โบราณสูงตระหง่าน พลังวิญญาณปกคลุมหนาแน่น เมฆหมอกลอยทั่ว นกกระสาร่ายรำ ที่นี่สงบร่มเย็นดุจแดนเซียนในโลกมนุษย์
ที่นี่ก็คือสำนักเจิ้งหยาง สำนักฝึกตนทางตอนใต้ของแคว้นต้าฉู่
ทว่าในวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาของเย่เฉินกลับเยือกเย็นเสียเหลือเกิน มันทำให้เขาอดที่จะกอดร่างอันสั่นเทาของตัวเองไว้ไม่ได้
“ข้าบอกแล้ว! เขาถูกขับออกจากสำนักจริงด้วย!”
เย่เฉินเพิ่งจะก้าวออกมาก็มีเหล่าศิษย์ต่างพากันชี้ไม้ชี้มือ บ้างก็เยาะเย้ยถากถาง บ้างก็ทอดถอนใจ
“จะว่าไปศิษย์พี่เย่ช่างน่าสงสารนัก ก่อนหน้านี้เขาดีกับพวกเรามาก พวกเราไปส่งเขากันเถอะ!”
“ส่งทำไมกัน พวกเราเป็นผู้ฝึกตน ส่วนเขานับเป็นตัวอะไร”
“ตอนนี้มันไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว”
เสียงหัวเราะเยาะและเสียงถอนหายใจรอบด้านทำให้เย่เฉินก้มหน้าลง เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่คำพูดของเขานั้นกลับติดอยู่ในคอราวกับว่าถูกก้างปลาทิ่มแทงคอ เวลานี้เขาเหมือนนักโทษที่ถูกแห่ประจานรอบเมือง เป็นผู้ที่ถูกโลกทอดทิ้ง
ใช่สิ! เขาไม่ใช่เย่เฉินคนก่อนอีกต่อไปแล้ว
นับจากวันนี้ไปเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนเป็นเพียงแค่คนไร้ค่าผู้หนึ่งที่ตันเถียนถูกทำลาย ความภาคภูมิใจในอดีตบัดนี้ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว เขาต้องเผชิญหน้ากับโลกที่แสนเย็นชา และทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับมัน
โอ๊ะโอ!
เสียงหัวเราะขบขันดังมาจากข้างหน้า ศิษย์ชุดขาวในมือถือพัดผู้หนึ่งเดินเข้ามา สายตาเต็มไปด้วยความขบขันจ้องมองเย่เฉิน “นี่ใครกัน! นี่มิใช่ศิษย์พี่เย่ของพวกเราหรอกหรือ!”
เย่เฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองคนที่เดินเข้ามาผ่านเส้นผมที่ปรกใบหน้า เขามีใบหน้าขาวหมดจด ริมฝีปากบางแฝงแววร้ายกาจ เขานับว่ามีใบหน้าหล่อเหลาแต่กลับมีดวงตาดุจหงส์
“จ้าวคัง” เย่เฉินจำชื่อคนผู้นี้ได้ จ้าวคังในตอนนั้นมิได้มีท่าทางเย่อหยิ่งเฉกเช่นตอนนี้ ตอนนั้นเขาเคารพศิษย์พี่เย่อย่างเขายิ่งนัก
จุ๊ๆ!
ความคิดของเขาถูกขัดจังหวะลง จ้าวคังเดินวนรอบเย่เฉินหนึ่งรอบ พลางกวาดสายตามองประเมินอีกฝ่าย ปากก็ส่งเสียงไม่หยุด “ศิษย์พี่เย่! วันนี้ไฉนจึงมีสภาพตกอับเช่นนี้เล่า เห็นศิษย์พี่แล้วข้าช่างปวดใจเสียจริง!”
เย่เฉินรู้ว่านี่เป็นคำถากถาง เขาจึงไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความ พลางก้าวเดินต่อทันที
“หยุดก่อน!” จ้าวคังก้าวเข้ามาขวางเย่เฉิน พลางโบกพัดเบาๆ มองเย่เฉินด้วยท่าทางสนุกสนาน
“ถอยไป”
“กลายเป็นคนไร้ค่าไปแล้ว ยังจะทะนงตนอีก” จ้าวคังรวบพัดเข้าด้วยกัน รอยยิ้มบนใบหน้าพลันสลายไป “เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นเย่เฉินคนเดิมอยู่อีกหรือ?”
เย่เฉินร่างสั่นสะท้าน อยากจะโต้ตอบกลับไป แต่ไม่มีแรงจะเอ่ยปาก
“อยากไปงั้นหรือ? ย่อมได้” จ้าวคังเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พูดพลางกางขาออก มองเย่เฉินอย่างขบขัน “คลานลอดหว่างขาข้าไปสิ! บางทีข้าอาจจะให้หินวิญญาณเป็นค่าเดินทางกับเจ้าสักสองสามก้อนก็ได้”
“จ้าวคัง” มีเสียงหนึ่งดังขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมอง ในดวงตามืดดำไร้แสงของเย่เฉินมีประกายเยือกเย็นวาบผ่าน
“ศิษย์พี่จ้าวคัง ท่านทำเช่นนี้…” ท่ามกลางฝูงชนที่มุงดูอยู่รอบด้านมีเสียงศิษย์ดังขึ้น เขาคิดจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้เย่เฉิน เพียงแต่เขานั้นช่างอ่อนแอยิ่งนัก คำพูดจึงไร้น้ำหนัก
“รนหาที่ตาย?” จ้าวคังหันหน้าไปตวาดกร้าว ถลึงตาจ้องศิษย์ผู้นั้น รอบด้านพลันเงียบสงัด คล้ายหวาดกลัวในพลังของจ้าวคัง กระทั่งหายใจก็ยังไม่กล้าส่งเสียงดัง
เมื่อกำราบศิษย์รอบด้านลงได้ จ้าวคังก็มองไปทางเย่เฉินอีกครั้ง พลางหัวเราะเยาะ “เย่เฉิน เจ้าจะคลานหรือไม่คลาน? ข้า…”
พูดยังไม่ทันจบจ้าวคังก็หยุดไว้ก่อน เพราะไม่ไกลออกไปเขาเห็นเงาร่างหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
ผู้มาเยือนอาภรณ์พลิ้วไหว ผมยาวราวกับคลื่นทะเลเป็นประกาย ใบหน้างดงามหมดจดจนทำให้คนหยุดหายใจ นางเปรียบเสมือนเซียนหญิงที่ลงมาเยือนโลกมนุษย์ บริสุทธิ์เหนือโลกีย์
“เป็นศิษย์พี่จีหนิงซวง” ศิษย์รอบด้านดวงตาเป็นประกาย
โดยเฉพาะบุรุษเพศ ในดวงตายิ่งเจือประกายร้อนแรง เผยให้เห็นความชื่นชมและความปรารถนาอย่างไม่ปิดบัง นางเป็นถึงเซียนหญิงผู้งดงามไร้ที่ติแห่งสำนักนอกเจิ้งหยาง เป็นที่หมายตาของบุรุษทั้งหลาย
ทั่วทั้งสำนักเจิ้งหยางมีใครบ้างไม่รู้ ยามจีหนิงซวงอยู่เบื้องหน้าเหล่าศิษย์นางเย็นชาราวกับกีดกันผู้คนออกไปพันลี้ ทว่ามีเพียงอยู่ต่อหน้าเย่เฉินเท่านั้นนางถึงจะเผยด้านอ่อนหวานออกมา พวกเขาทั้งคู่ได้รับยกย่องให้เป็นดั่งกิ่งทองใบหยกแห่งสำนักเจิ้งหยาง
แน่นอนว่าภาพเช่นนั้นเป็นเพียงอดีตไปเสียแล้ว
บัดนี้เย่เฉินตกต่ำลง จีหนิงซวงผู้สูงส่งไม่มีทางยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวานดั่งในวันวานอีกต่อไป
“จีหนิงซวง” เย่เฉินเอ่ยเสียงแหบพร่า เขาไม่ได้หันไป ทว่าในดวงตากลับเจือแววสลับซับซ้อน
นางเป็นคนที่เขาเคยยอมทุ่มชีวิตปกป้อง แต่นับจากที่ตันเถียนของเขาถูกทำลาย และสูญเสียพลังฝึกฝน จีหนิงซวงที่มักจะยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวานตอนนี้กลับกลายเป็นมีท่าทีเย็นชา
นับตั้งแต่บัดนั้นเย่เฉินก็เข้าใจแล้วว่า ความรู้สึกและมิตรภาพที่เคยหนักแน่นดุจขุนเขา ทั้งหมดล้วนสลายไปแล้ว
“ศิษย์น้องหนิงซวง” ทางด้านจ้าวคังกางพัดออกด้วยท่าทางสบาย ใบหน้ายิ้มต้อนรับอีกฝ่าย ต่างจากท่าทางร้ายกาจก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคน
จีหนิงซวงเพียงพยักหน้ารับอย่างสุภาพให้จ้าวคังที่ยิ้มให้ ทว่าสีหน้ายังคงเย็นชา ราวกับว่าความวุ่นวายใดๆ ในโลกล้วนไม่อาจทำให้ดวงตาอันงดงามของนางปรากฏระลอกความรู้สึกได้
นางค่อยๆ เดินมาตรงหน้าเย่เฉิน แม้ในใจจีหนิงซวงจะมีความเสียใจ แต่ทว่าในดวงตากลับมีเพียงความเย็นชา คล้ายกำลังกล่าวว่า พวกเราไม่ได้เดินบนเส้นทางเดียวกันอีกแล้ว
“เดินทางปลอดภัย” เพียงสี่คำสั้นๆ แม้จะไพเราะดุจเสียงสวรรค์ แต่กลับไม่สามารถปกปิดความเย็นชาในน้ำเสียงของจีหนิงซวงได้
“ท่าทางเช่นนี้ของเจ้า เวทนาหรือ?” เย่เฉินไม่ได้หันมองจีหนิงซวง เขาทำเพียงก้มลงเก็บย่ามที่ตกอยู่บนพื้น ในคำพูดปราศจากความอบอุ่นเช่นวันวาน คำพูดเช่นนี้ทำให้คนฟังปวดใจยิ่งนัก
จีหนิงซวงไม่กล่าวอันใด ความรู้สึกในอดีตเหลือเพียงความทรงจำอันเลือนลาง
“ข้าไปล่ะ” เย่เฉินปัดฝุ่นบนย่าม แล้วค่อยๆ หมุนตัวเดินจากไปอย่างเหนื่อยล้า ใต้แสงจันทร์เงาร่างผอมแลดูอ้างวางโดดเดี่ยว