เมื่อกลับมาถึงสวนแห่งวิญญาณ เย่เฉินก็ขังตนเองไว้ในห้อง
ครั้งนี้เขาซื้อดอกอวี้หลันหิมะมาเป็นจำนวนมาก เขาตัดสินใจที่จะกลั่นทั้งหมดเป็นน้ำยาวิญญาณหยก เพื่อเตรียมจะเลื่อนขั้นไปยังขั้นรวมพลังชั้นที่ห้า
อัคคีเที่ยงแท้ปรากฏออกมา เขาค่อยๆ ใส่สมุนไพรวิญญาณเข้าไปทีละส่วน
ราวกับว่าแค่ชั่วพริบตาเดียว ตอนนี้เขาก็ได้กลั่นมาจนถึงตอนค่ำแล้ว หลังจากกลืนน้ำยาวิญญาณหยกเข้าไปหนึ่งขวด เขาก็เริ่มกลั่นอีกครั้ง
เขาไม่พูดจาตลอดทั้งคืน พริบตาเดียวก็ฟ้าสางเสียแล้ว
วันนี้ด้านนอกสำนักเหิงเยว่มีความสนุกเกิดขึ้น แต่หากจะพูดให้ชัดเจน ก็ต้องบอกว่าเป็นความสนุกที่อยู่ตรงภูเขาด้านหลังของสำนักเหิงเยว่
เมื่อวานนี้ ศิษย์ของยอดเขาเทียนหยางและยอดเขาเหรินหยางต่างถูกทุบตีอยู่ที่ภูเขาด้านหลัง จ่งเหลาเต้าและนักพรตชิงหยางนั้นโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก จึงสั่งให้ศิษย์ใต้ปกครองคอยเฝ้าระวังอีกสองยอดเขาที่เหลือไว้ ในคำพูดนั้นยังหมายถึงการให้พวกลูกศิษย์ของตนนั้นสามารถจัดการลงมือได้อีกด้วย
หากเป็นไปตามที่เย่เฉินคาดการณ์ไว้ ภูเขาด้านหลังของสำนักเหิงเยว่ตอนนี้ได้กลายเป็นสนามรบของสามยอดเขาหลักไปเสียแล้ว
ดังนั้น เมื่อมีเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้น ศิษย์ที่ไปเก็บสมุนไพรวิญญาณทุกคน ก็มักจะมีแท่งเหล็กสีดำติดตัวเอาไว้
เจ้าตีข้าเพื่อชิงทรัพย์ ข้าจะต้องตีคืนเช่นกัน
เกือบจะทั้งหมดของศิษย์ที่ถูกดักชิงทรัพย์ ล้วนแต่มีความคิดเช่นนี้อยู่ในใจ
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะต้องไม่สูญเปล่า ความพยาบาทที่ถูกกลั้นเก็บเอาไว้ในใจ ในตอนนี้ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นคนลงมือฆ่าหรือไม่ จะอย่างไรก็ต้องทุบตีกลับ เพื่อระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจ
โอ๊ย…!
โอ๊ย…!
เสียงกรีดร้องอย่างหมูถูกเชือดก็ดังขึ้นที่ภูเขาด้านหลัง ตั้งแต่ฟ้าสว่างจนกระทั่งมืดค่ำ ทำให้ทั้งศิษย์และผู้อาวุโสของสำนักเหิงเยว่ต่างสับสนและงุนงง
“สามยอดเขาหลักจะพลิกแผ่นฟ้าหรืออย่างไร!”
“นับจากนี้ไป ภูเขาด้านหลังคงไม่สามารถเข้าออกตามใจชอบได้อีกแล้ว เพราะใครจะไปรู้ว่าจะโดนดักทุบตีชิงทรัพย์เมื่อไร”
“จะทุบตีใครก็ได้ แต่อย่ามาทุบตีข้าก็พอ”
ผ่านไปหนึ่งวัน ศิษย์ที่เข้าไปยังภูเขาด้านหลัง ส่วนมากจะออกมาพร้อมกับท่าทางที่ใช้มือป้องท้ายทอยของตนเองเอาไว้ หรืออาจจะอยู่ในสภาพจมูกช้ำ ใบหน้าบวม หรือมีรอยเท้าอยู่เต็มตัว บ้างก็เต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำ จนกลายเป็นภาพที่งดงามไปเลยทีเดียว
การลอบต่อสู้ที่ภูเขาด้านหลัง มีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อวันเวลาผันแปรไป การต่อสู้แบบลับหลังก็เริ่มกลายเป็นการต่อสู้อย่างโจ้งแจ้ง สนามต่อสู้เคลื่อนย้ายจากภูเขาด้านหลังมายังลานเมฆวายุของสำนักเหิงเยว่
“ข่งเล่อแห่งยอดเขาเทียนหยาง รีบโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะรอเจ้าที่ลานเมฆวายุ”
เพิ่งจะรุ่งสาง ศิษย์ของยอดเขาตี้หยางได้ออกหนังสือท้าประลอง การท้าทายของเขา ดูเหมือนจะทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ เสียงของการท้าประลองจึงดังไปอย่างต่อเนื่อง
“เยว่คังแห่งยอดเขาเหรินหยาง ข้ารอเจ้าที่ลานเมฆวายุ”
“จ้าวหลงแห่งยอดเขาตี้หยาง ข้าขอท้าประลองกับเจ้าให้ตายกันไปข้างหนึ่ง”
“อย่ามัวแต่เล่นสกปรกสิ มีเรื่องอะไรก็ขึ้นมาเจอกันบนลานประลอง”
ระหว่างศิษย์ของทั้งสามยอดเขาหลัก แต่ไหนแต่ไรมาล้วนมีเรื่องโกรธเคืองส่วนตัวกันเสมอ ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ดักชิงทรัพย์นี้จะกลายเป็นชนวนให้พวกเขาต่อสู้กันขึ้นมาอย่างจริงจัง การต่อสู้นั้นได้เริ่มขึ้นอย่างดุเดือดอยู่ตลอดทั้งวันบนลานเมฆวายุ การท้าประลองซึ่งกันและกัน ทำให้ลานเมฆวายุที่ครึกครื้นอยู่แต่เดิม กลายเป็นสถานที่พบปะกันของเหล่าผู้มีความสามารถ
“นี่เป็นโอกาสทอง เกรงว่าตั้งแต่มีการก่อตั้งสำนักเหิงเยว่มา ก็ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน”
“เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์สับสนวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นได้”
“เป็นเพราะความคับข้องใจที่มีมานาน ต่อให้ไม่เกิดเรื่องการดักชิงทรัพย์ พวกเขาก็จะต้องก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่ช้าก็เร็ว”
ส่วนเย่เฉินผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ในตอนนี้กำลังทำการกลั่นน้ำยาวิญญาณหยกอยู่ในสวนแห่งวิญญาณอย่างไม่เร่งรีบ
กลิ่นหอมของยาที่ทำให้คนสดชื่นได้แพร่กระจายอบอวลไปทั่ว
“หอมจังเลย!” หู่หวายืนทำตาโตอยู่นอกห้องของเย่เฉิน สูดดมกลิ่นที่ออกมาจากห้องนั้นอย่าง ไม่หยุดหย่อน
“น้ำยาวิญญาณหยก” เป็นเพราะจางเฟิงเหนียนเคยเป็นผู้อาวุโสของสำนักเหิงเยว่ เขาจึงมีความคุ้นเคยกับกลิ่นหอมของยาเป็นอย่างดี
ดวงตาของจางเฟิงเหนียนยังคงมีความประหลาดใจ น้ำยาวิญญาณหยกมีทั้งความเย็นสบายและอ่อนโยน กลิ่นหอมของน้ำยาวิญญาณหยกที่ลอยออกมาจากในห้อง บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันเพิ่งจะออกมาจากเตาหลอม สิ่งนี้ทำให้จางเฟิงเหนียนลูบเคราขึ้นอย่างมีความหมายแอบแฝง
ในยามวิกาล เย่เฉินจึงได้เปิดประตูห้องออก
เย่เฉินออกมาจากด้านใน ด้วยเนื้อตัวที่มอมแมม ผมรุงรัง สีหน้าเหนื่อยล้า และยังเริ่มมีหนวดเคราขึ้นรอบบริเวณปาก
เย่เฉินยืดเอว บิดขี้เกียจอย่างเต็มแรง เสียงกระดูกดังออกมาจากร่างกายของเขา
สองวันสามคืน เขากลั่นน้ำยาวิญญาณหยกไปได้หลายร้อยขวด โดยมีความชำนาญในการควบคุมไฟและการกลั่นน้ำยาวิญญาณหยกมากขึ้นเรื่อยๆ
กวาก!
กวาก!
ดูเหมือนว่าเจ้านกยักษ์ที่มีนามว่าเสี่ยวอิงจะยังไม่นอน มันกระพือปีกบินเข้ามาหาเขา และใช้ศีรษะที่มีขนปุกปุยนั้นถูไถไปกับร่างกายเย่เฉินเป็นครั้งคราว
อาการบาดเจ็บของมันยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และยังต้องใช้เวลาอีกเป็นเดือน กว่าจะสามารถบินขึ้นฟ้าได้
“หิวแล้วหรือ?” เย่เฉินลูบศีรษะที่มีขนปุกปุยของเสี่ยวอิงเบาๆ
กวาก!
กวาก!
เสี่ยวอิงมีจิตวิญญาณชั้นสูง ดูเหมือนมันจะเข้าใจคำพูดของเย่เฉินเป็นอย่างดี มันจึงขยับศีรษะ
เย่เฉินยิ้มขึ้นเล็กน้อย ปัดฝ่ามือไปยังถุงเก็บของ หยิบเอาเนื้อชิ้นใหญ่ออกมายื่นให้กับมัน
ดวงตาของเสี่ยวอิง สดใสเปล่งประกายในทันที และกินอย่างเอร็ดอร่อย
“ข้าช่วยเจ้าก็แล้วกัน!” เย่เฉินลูบศีรษะของเสี่ยวอิงอีกครั้ง จากนั้นก็กรอกน้ำยาวิญญาณหยกเข้าสู่ร่างกายของมัน
เมื่อน้ำยาวิญญาณหยกเข้าสู่ร่างกาย เสี่ยวอิงก็รู้สึกว่าร่างกายของมันร้อนไปทั่วทั้งร่าง ความแข็งแกร่งที่ทรงอานุภาพได้ส่งเสริมร่างกายของมัน ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะมองหน้าเย่เฉิน ดวงตามีความกลัวอยู่เล็กน้อย กลัวว่าร่างกายจะระเบิดออกมา
“ไม่เป็นไร ข้าอยู่ตรงนี้” เย่เฉินยิ้ม อัคคีเที่ยงแท้ก็ปรากฏออกมา
เมื่อเห็นเปลวไฟ ดวงตาของเสี่ยวอิงก็ปรากฏเป็นความสยดสยอง ราวกับว่ามันจะรู้ถึงความน่ากลัวของอัคคีเที่ยงแท้ที่อยู่ในมือของเย่เฉิน จนร่างกายของมันก็เริ่มสั่นอย่างอดไม่ได้
“ไม่ต้องกลัว” เย่เฉินยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้อัคคีเที่ยงแท้โอบล้อมไปทั่วตัวของเสี่ยวอิง จากนั้นมันก็ไหลเข้าสู่ร่างกายของเสี่ยวอิง เพื่อช่วยเสี่ยวอิงกลั่นน้ำยาวิญญาณหยกขวดนั้น
กวากๆ!
เสี่ยวอิงไม่มีอาการบาดเจ็บจากการเผาไหม้ มันรู้สึกได้ว่ามีความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ร่างกายที่สั่นนั้นก็เริ่มจะฟื้นฟูกลับมาเหมือนปกติ เมื่อการกลั่นของน้ำยาวิญญาณหยกเข้าสู่ร่างกาย พลังวิญญาณที่ทรงพลังก็เริ่มฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของมัน
ไม่ถึงสิบห้านาที เสี่ยวอิงก็กระพือปีกกระโดดโลดเต้น จนบินขึ้นไปในอากาศโดยไม่ทันตั้งตัวแล้ว
กวากๆ!
สัตว์วิญญาณตัวนี้ดูเหมือนมันกำลังตื่นเต้นอย่างมาก ที่บินได้อีกครั้ง จนตอนนี้มันแทบไม่อยากจะลงมา มันยังคงกระพือปีกบินวนอยู่กลางท้องฟ้าเป็นเวลานานกว่าจะกลับลงมา บางทีอาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยจึงทำให้มันหลับลึกหลังจากนั้น
“นอนเสียเถอะ! พรุ่งนี้ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น” เย่เฉินลูบศีรษะของเสี่ยวอิงแล้วยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นจึงเดินไปยังห้องของหู่หวา
หู่หวาผู้ไร้เดียงสา เอนตัวนอนอยู่บนเตียงอย่างขี้เซาและดูเหมือนจะไม่รู้สึกตัวว่าเย่เฉินเข้ามาในห้อง
เมื่อเดินเข้ามาถึงเตียงนอน เย่เฉินได้ทำการตรวจร่างกายของหู่หวาอย่างละเอียด
แล้วเขาก็พบว่าปากทวารวิญญาณโดยกำเนิดของเด็กคนนี้มีการติดขัด เส้นลมปราณหลักหลายเส้นยังไม่ถูกเปิด ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการเปิดจุดตันเถียน ด้วยพื้นฐานร่างกายแบบนี้ของเขา หากไม่ใช่เพราะความโชคดี ก็คงไม่สามารถเป็นผู้ฝึกตนได้อย่างแน่นอน
โดยทั่วไปแล้ว เส้นลมปราณของคนเราจะต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง จึงจะสามารถเปิดปากทางของพลังวิญญาณได้ ทวารวิญญาณเป็นช่องทางไปสู่จุดตันเถียน มีเพียงการเปิดปากทางของพลังวิญญาณเท่านั้น จึงสามารถเปิดจุดตันเถียนได้ จากนั้นจึงจะดูดซับพลังปราณวิญญาณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายและสามารถกลายเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริงได้
แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ที่เส้นลมปราณแต่กำเนิดมีการติดขัด ต้องการกลายเป็นผู้ฝึกตน เขาก็จำเป็นจะต้องมีคนช่วยเปิดเส้นลมปราณทั้งหมดในร่างกายเสียก่อน
เย่เฉินครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง อัคคีเที่ยงแท้ก็พุ่งพรวดเข้าสู่ร่างกายของหู่หวา
ใช่แล้ว เขาต้องการจะทำการหลอมร่างกายให้กับหู่หวา เพื่อสลายการติดขัดของเส้นลมปราณ เปิดปากทางพลังวิญญาณ จากนั้นจึงจะทำการเปิดจุดตันเถียน
ในไม่ช้า ใบหน้าของหู่หวาก็ปรากฏสีหน้าของความเจ็บปวด และเหมือนว่าเขากำลังจะตื่นขึ้นมา แต่ทว่ากลับถูกกลิ่นหอมของเย่เฉินส่งเขาเข้าสู่ความฝันอีกครั้ง
เย่เฉินควบคุมอัคคีเที่ยงแท้ และทำการหลอมร่างกายของหู่หวาอย่างระมัดระวัง เพราะเกรงว่าอัคคีเที่ยงแท้จะทำให้หู่หวาได้รับบาดเจ็บ
ผ่านไปไม่นาน ทั่วร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
อย่างไรก็ตามความยากลำบากที่เขาทำไปก็ไม่สูญเปล่า เมื่อผ่านการชุบหลอม เส้นลมปราณของหู่หวาก็แข็งแกร่งขึ้น เส้นลมปราณที่เคยติดขัดอยู่ ก็ได้คลายออก พลังปราณที่เย่เฉินได้ถ่ายทอดเข้าไปนั้นเริ่มค่อยๆ ทะลุถึงกัน
ขั้นตอนนี้ใช้เวลานานมาก
จนกระทั่งรุ่งสาง เย่เฉินจึงสามารถเปิดเส้นลมปราณทั้งหมดของหู่หวาได้สำเร็จ และด้วยการหลอมจากอัคคีเที่ยงแท้ ทำให้สิ่งเจือปนที่อยู่ในร่างกาย ล้วนถูกขับออกมาตามรูขุมขน เขาเห็นรางๆ ในขณะหลับนั้น มีรอยยิ้มที่แสนสบายปรากฏขึ้นมา
เฮ้อ!
เย่เฉินผ่อนลมหายใจหยาบออกไป ร่างที่เกร็งไปทั่วเริ่มคลายออก
“เอาล่ะ ต่อไปก็ทำการเปิดทวารวิญญาณ” เย่เฉินยิ้มขึ้นเล็กน้อย ที่เขาสามารถทำสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
“อาจจะเจ็บหน่อยนะ อดทนสักนิด” หลังจากพักผ่อนไประยะหนึ่ง เย่เฉินจึงถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ร่างกายของหู่หวา จากนั้นจึงไหลเข้าไปตามเส้นลมปราณของหู่หวา ทำลายสิ่งกีดขวางที่จะนำไปสู่จุดตันเถียน
โอ๊ย…!
การทำลายในครั้งแรก ความเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหู่หวา
ต่อมา
เย่เฉินก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างระมัดระวัง เพราะหากพลาดไปหู่หวาอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
พลังปราณที่เขาถ่ายทอดให้กับหู่หวานั้น เปรียบเหมือนกระบี่แหลมคม ที่มีการกระทบกระเทือนตลอดเวลา ความแข็งแกร่งของแรงกระทบนั้นไล่เรียงตั้งแต่อ่อนไปจนถึงเข้มข้น เหงื่อไหลออกมาจนเต็มใบหน้าของหู่หวา ใบหน้าแลดูซีดเซียวดั่งกระดาษ หากเย่เฉินไม่ได้ใส่กลิ่นหอมนั้นเข้าไปเพื่อให้เขาหลับ เขาก็อาจจะตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด
“พยายามต่อไป ชะตาชีวิตของเจ้าอาจจะเปลี่ยนไปด้วยเหตุนี้” เย่เฉินยังคงเดินหน้าทำลายสิ่งกีดขวางต่างๆ
เป็นเวลาเกือบจะรุ่งสาง ใบหน้าของเย่เฉินในตอนนี้เริ่มซีดลงเล็กน้อย
พัวะ!
เมื่อมีเสียงเช่นนี้ดังขึ้นจากร่างกายของหู่หวา ทวารวิญญาณของจุดตันเถียนก็ถูกเย่เฉินเปิดออก
ทันใดนั้น พลังปราณวิญญาณฟ้าดินก็เริ่มผันผวน และรวมตัวกันเรื่อยๆ มุ่งไปทางร่างของหู่หวา เปลี่ยนรูปไปเป็นกระแสวนเวียนดุจวังน้ำวน จากนั้นก็พุ่งเข้าสู่ร่างกายของหู่หวาผ่านทุกรูขุมขน
“สวรรค์ย่อมเมตตาผู้มุ่งมั่น” เย่เฉินถอนหายใจ และอดไม่ได้ที่จะเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมา