มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 1 ตอนที่ 28 เซียนซ่วนจื่อ?

        ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว

        หลี่เทียนจีฟื้นขึ้นมา และลืมตาขึ้นมองท้องฟ้าอันสดใส อารมณ์ของเขาดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับท้องฟ้าในเวลานี้ ใบหน้าของเขาหม่นหมอง หัวใจเต็มไปด้วยความเศร้า เขามั่นใจมากว่าจะหาข้อสรุปในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉินอวี่ได้ เขารีบนำวิชาโลหิตฟ้าดินออกมาใช้อย่างไม่ลังเล แต่กลับไม่มีข้อสรุปใดๆ ออกมาสิ่งนี้ทำให้คนโอหังอย่างหลี่เทียนจีคับข้องใจอย่างยิ่ง

        หากคนที่เขากำลังวิเคราะห์เป็นยอดฝีมือในระดับขั้นกุมารทิพย์ และไม่สามารถพบข้อสรุปอะไรออกมา ในใจของเขาคงจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่นี่เป็นเพียงชายหนุ่มขั้นยุทธ์ระดับเจ็ดคนหนึ่งเท่านั้นกลับไม่สามารถหาข้อสรุปอะไรได้เลย เรื่องนี้ทำให้หลี่เทียนจีรู้สึกไม่ค่อยพอใจและเริ่มเกิดความสงสัยในตัวเองมากขึ้น

        “คนที่มีความหวังจะได้ตำแหน่งเซียนซ่วนจื่อมากที่สุดในสำนักเซียนซ่วน บ้าบออะไรกัน? ข้าไม่อยากจะเชื่อเจ้าอีกแล้ว ข้าหลี่เทียนจีไม่อยากถูกเจ้าหลอกอีกแล้ว คนชื่อ”ซิงเฉิน”อะไรกัน? ข้ายังไม่เห็นแม้แต่ผีสักตน แล้วจะเป็นความหวังที่สุดในการเป็นเซียนซ่วนจื่ออะไรอีก…เซียนซ่วนจื่ออะไรบ้าบอ เซียนซ่วนจื่อกับผีสิ” หลี่เทียนจีรู้สึกน้อยใจ

        ขณะที่หลี่เทียนจีเริ่มหมดความอดทน เสียงที่หยาบกระด้างของสยงท่าเทียนก็ดังมาเข้ามาในหูของเขา

        “พี่ฉิน จะว่าไป นี่ข้ายังไม่รู้จักเขาดีพออีกหรือ? ยังมัวแต่คิดจะมาทำการพยากรณ์หาข้อสรุปอะไรนั่น จนตัวเองถึงกับสลบไป ก่อนหน้านี้ก็มีเช่นนี้อยู่หลายครั้งแล้ว อย่าหาว่าข้าตำหนิเลยนะ พี่ฉิน ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าหลี่เทียนจีไม่เหมาะกับการพยากรณ์อะไรนั่นเลย เขาไม่เหมาะกับอะไรทางด้านนั้นหรอก ไม่ใช่ว่าทำนายผิดพลาดหรอกนะ แต่เรียกว่าทำนายไม่แม่นยำมากกว่า เขาก็แค่มานั่งหลอกตัวเองอยู่ตรงนี้”

        หลี่เทียนจีผู้ซึ่งท้อแท้อยู่แต่เดิม แทบจะเป็นลมเมื่อได้ยินเสียงดังของสยงท่าเทียน

        “จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้ เขายังไม่ได้เข้าสู่เส้นทางของการพยากรณ์สิ่งเหล่านี้ รอให้เขามีประสบการณ์มากขึ้นในอนาคต เมื่อได้เรียนรู้มากขึ้นก็จะสามารถเดินอยู่บนหนทางที่ถูกต้องได้ เรื่องทุกอย่างจะเร่งรีบไม่ได้หรอก” เสียงของฉินอวี่ดังขึ้น

        หลี่เทียนจีรู้สึกดีขึ้นมาแล้ว

        ใช่ เขามีอายุเพียงสิบห้าปี เขาเพิ่งเรียนรู้พยากรณ์เหล่านี้มาไม่กี่ปี ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่หนทางของการพยากรณ์อย่างแท้จริง รอให้ได้ก้าวเข้าสู่หนทางที่แท้จริง ตนเองจะต้องกลายเป็นเซียนซ่วนจื่อได้อย่างแน่นอน และจะต้องเป็นคนที่มีความหวังในการก้าวขึ้นเป็นเซียนซ่วนจื่อมากที่สุด

        แต่คำพูดของฉินอวี่ทำให้เลือดลมบนหน้าอกของหลี่เทียนจื่อพลุ่งพล่านขึ้น จนเกือบจะกระอักเลือดออกมา

        “น่าเสียดายที่ยังเด็กเกินไป คนวัยหนุ่มสาวมีความเย่อหยิ่ง สำคัญตนว่าถูกต้องอยู่ตลอดเวลา ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาหากถูกพยากรณ์ออกมาได้? นั่นคงจะไม่น่าเป็นไปได้”

        “ใครยังเด็กเกินไป? ใครมีความเย่อหยิ่ง? เจ้าอายุมากกว่าข้ามากนักหรือ? อยู่ที่นี่ช่วยอวดดีให้มันน้อยหน่อยเถอะ!” หลี่เทียนจีเริ่มโมโห และกระโดดลุกขึ้นยืน ก่อนจะด่าออกไปเสียงดัง จนความเย่อหยิ่งอันเยือกเย็นได้อันตรธานหายไป

        “เฮ้ หลี่เทียนจีฟื้นแล้ว พี่ฉินพวกเราหยุดพูดกันก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะโจมตีพวกเราได้ อย่าหาว่าเขาเป็นพวกเย่อหยิ่งเลย จริงๆ แล้วเขาเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองมาก” สยงท่าเทียนที่อยู่ไม่ไกลมองดูหลี่เทียนจีด้วยความเห็นใจ และพึมพำกับฉินอวี่ เพียงแต่เสียงอันดังของเขาเมื่อกดเสียงลงแล้วก็ดูไม่ต่างจากเก่า

        หลี่เทียนจีเกือบจะวิ่งไปด้วยความโกรธ หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาแดงก่ำเป็นสีเลือด และมองไปทางสยงท่าเทียน เขาคิดอยากจะฉีกปากของสยงท่าเทียนออกจากกันเสียเดี๋ยวนี้

        ฉินอวี่มองไปที่สยงท่าเทียน จากนั้นก็หันกลับไปมองหลี่เทียนจีและเกิดความรู้สึกตลกในใจ เขาสังเกตเห็นนานแล้วว่าหลี่เทียนจีฟื้นขึ้นมาแล้ว เพียงแต่หลี่เทียนจีมีความโอหังเกินไป อีกทั้งยังมัวแต่ทำหน้าตาเคร่งขรึม ราวกับว่าไม่เห็นใครอยู่ในสายตาทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ในอีกไม่กี่เดือนจากนี้ก็ไม่ง่ายเลยที่จะเข้ากันได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการดีที่จะกระชากเอาสิ่งที่ปกปิดตัวเขาออกเสียก่อน

        สยงท่าเทียนยิ้มและพูดว่า “หลี่เทียนจีข้าไม่ได้ว่าอะไรเจ้าสักหน่อย ข้ากำลังคุยกับพี่ฉิน” สยงท่าเทียนกล่าวโดยไม่หันกลับไปมองหลี่เทียนจี

        ผ่านไปครู่หนึ่ง สยงท่าเทียนยังคงรู้สึกว่าหลี่เทียนจีกำลังจ้องมองมาที่เขาอีกครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะโกรธ เขาหันศีรษะและจ้องไปทางหลี่เทียนจี และพูดอย่างโกรธเคือง “หลี่เทียนจี เจ้ายังมาจ้องข้าทำไมอีก?”

        หน้าอกของหลี่เทียนจีกระเพื่อมขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ จนแทบจะปะทุออกมาด้วยความโกรธ เมื่อมองไปยังใบหน้าที่อวบอิ่มของสยงท่าเทียน ความโกรธในใจของหลี่เทียนจีก็ไม่อาจระเบิดออกมาได้ และแอบเตือนตัวเองว่าอย่าได้ไปสนใจคนที่ยังไร้เดียงสามีจิตวิญญาณที่ยังไม่เข้าถึงอารยะ ทำให้หลี่เทียนจียิ่งอึดอัดมากขึ้น และพูดอย่างเย็นชา “เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าสองคนดูถูกข้า เช่นนั้นพวกเราก็แยกกันตรงนี้ พวกเจ้าไปในทางของพวกเจ้า ข้าจะไปทางของข้า!” พูดจบ หลี่เทียนจีก็ยืดตัวขึ้นและหันหลังเดินเข้าไปยังส่วนลึก

        “พี่ฉิน ท่านดูเขาสิ เด็กชะมัดเลย ทำตัวขี้งอนอีกแล้ว”

        “พี่ฉิน ท่านเชื่อหรือไม่ ประเดี๋ยวเขาจะต้องกลับมาแน่นอน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยจะตายไป ข้าชินกับมันแล้ว เฮ้อ”

        เสียงที่พยายาม “ลดลง” ของสยงท่าเทียนเป็นเหมือนแรงกระตุ้นสำคัญ ที่ทำให้ถึงกับโกรธจนตัวสั่น และส่งเสียงตะโกนดังพร้อมรีบเข้าไปด้านใน เพราะกลัวว่าหากเขามัวแต่ชักช้าก็อาจจะย้อนกลับไปทะเลาะกับสยงท่าเทียนอย่างแน่นอน

        “เฮ้ หลี่เทียนจี เจ้าไม่เอาเศษผ้านั่นแล้วหรือ?” หลังจากที่หลี่เทียนจีออกไปไกลแล้ว สยงท่าเทียนก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา

        หลี่เทียนจีที่กำลังเร่งรีบก็หยุดอย่างกะทันหัน เพราะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้หยิบผ้าขาวผืนนั้นมาด้วย เขายืนลังเลใจอยู่ตรงนั้น จะกลับไปก็ไม่ควร จะไม่กลับก็ไม่ได้ จิตใจของเขาตอนนี้ยิ่งหดหู่มากขึ้น

        ผ่านไปเป็นเวลานาน หลี่เทียนจีตัดสินใจหันหลังกลับ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่สามารถทิ้งผ้าขาวผืนนั้นได้

        เมื่อกลับมาที่เดิม หลี่เทียนจีหยิบผ้าขาวขึ้นมาและเตรียมจะไปต่อ แต่กลับได้ยินสยงท่าเทียนพูดขึ้นมา “พ่อของข้าบอกกับข้าเสมอ ลูกผู้ชายจะต้องมีใจกว้างอย่าไปใส่ใจคำพูดคน อย่าเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย แต่ดูเจ้าสิ เจ้าโกรธมากมายขนาดนี้ ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าเป็นผู้ชายหรือไม่”

        “สยงท่าเทียน เจ้ากำลังว่าใคร?” หลี่เทียนจีหันศีรษะด้วยความโกรธและจ้องไปที่สยงท่าเทียน

        สยงท่าเทียนนั่งบนพื้นเหมือนหอคอยเหล็กเล็กๆ เงยหน้าขึ้นเหลือบมองหลี่เทียนจี และพูดอย่างโกรธเคือง “หลี่เทียนจี เจ้าอยากจะหาเรื่องทะเลาะกันใช่หรือไม่? นี่เจ้ากำลังจ้องหาเรื่องข้าอยู่นี่”

        ฉินอวี่มองสยงท่าเทียนด้วยความประหลาดใจ เขายังคงใช้เหตุผลอย่างยิ่งใหญ่และองอาจยิ่งนัก และในตอนนี้ยัง…มีเจ้าสองคนนี้ยังมาเป็นศัตรูคู่อาฆาตเสียอีก ทันใดนั้น ฉินอวี่ก็รีบพูดว่า “พอได้แล้วๆ เจ้าก็ด้วยสยงท่าเทียน เมื่อครู่นี้ก็ยังเป็นห่วงหลี่เทียนจีอยู่เลย ตอนนี้พอเขาฟื้นขึ้นมากลับมายั่วโมโหเขา หลี่เทียนจี พวกข้าไม่มีเจตนาร้ายเลยจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าก็แค่ถามสยงท่าเทียน ว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้าจึงได้สลบเช่นนั้น จะได้หาวิธีช่วยเจ้า”

        “ฮึ ข้าไม่เป็นห่วงเขาหรอก” สยงท่าเทียนหันศีรษะไปอีกด้านหนึ่ง และพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา

        สีหน้าของหลี่เทียนจีเริ่มซีดลงด้วยความอาย เขามองไปที่สยงท่าเทียน จากนั้นจึงมองไปทางฉินอวี่ แม้ว่าในใจของเขาจะรู้สึกอารมณ์เสีย แต่ในตอนนี้กลับไม่ปรากฏออกมา

        “สยงท่าเทียนก็ห่วงตนเองเหมือนกัน และสติปัญญาของเขาก็ยังไม่พัฒนา ดังนั้นจะไปเอาอะไรกับเข้ามากมาย?” หลี่เทียนจีปลอบใจตัวเอง และไม่จากไปไหน แต่กลับนั่งลงทันที

        “จริงสิ หลี่เทียนจี สยงท่าเทียนบอกว่าเจ้าสามารถพยากรณ์ได้หรือ? พยากรณ์เรื่องอนาคต?” ฉินอวี่รีบหันมาเปิดประเด็นอย่างรวดเร็ว

        “แน่นอน!” หลี่เทียนจีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและพูดอย่างเย็นชา

        “เช่นนั้น เจ้าช่วยพยากรณ์ให้ข้าบ้างได้ไหม? ลองดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับข้าบ้าง?” ฉินอวี่พูดด้วยความประหลาดใจ

        เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองของฉินอวี่ ใบหน้าของหลี่เทียนจีแข็งทื่อทันที สายตาของหลี่เทียนจีสั่นไหวครู่หนึ่ง และพูดอย่างเสียงแข็ง “เจ้าอยากให้ข้าพยากรณ์ก็ต้องพยากรณ์หรือ? อย่างไรข้าก็ไม่พยากรณ์ให้เจ้าหรอก”

        “เฮ้ หลี่เทียนจี เจ้านี่ใจเหี้ยมเหมือนหมาป่าจริงๆ ตอนที่เจ้าหมดสติไปพี่ฉินเขาคอยป้อนยาให้เจ้า คอยเป็นห่วงเจ้า แต่พอเจ้าดีขึ้นแล้ว กลับมาทำแบบนี้กับพี่ฉินหรือ เจ้านี่มันเนรคุณจริงๆ ยอดของความเนรคุณเลยทีเดียว” สยงท่าเทียนกล่าวอย่างโกรธเคือง

        หลี่เทียนจีตกใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น และรู้สึกเสียใจเล็กน้อยในใจ รู้สึกเหมือนคำพูดของตนเองนั้นดูน่าเบื่อสิ้นดี แต่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบฉินอวี่ไปอย่างไรดี หากจะตอบกลับไปว่าไม่สามารถพยากรณ์ออกมาได้? เช่นนี้จะไม่เป็นการตบหน้าตนเองหรือ?

        หลี่เทียนจีไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง จะขอโทษก็ไม่ใช่ ไม่ขอโทษก็ไม่ใช่ ท้ายที่สุด เขาก็หลับตาลงและทำเฉยไม่รู้ไม่เห็น

        ฉินอวี่เอนกายพิงต้นไม้ใหญ่ เหลือบมองสยงท่าเทียนที่กำลังไม่พอใจ และเหลือบมองหลี่เทียนจีที่กำลังดูอึดอัด ฉินอวี่ก็อดยิ้มไม่ได้ และเขาก็ดูมีความสุขกับวันเวลาเช่นนี้จริงๆ

        ตลอดหกปีที่ข้ามผ่านความสิ้นหวังมา ฉินอวี่ไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว เขาไม่ใช่คนคร่ำครึ และไม่ใช่คนที่ไร้รอยยิ้ม เพียงแต่ เขามีความสิ้นหวังมากมายในชีวิต ทำให้เขาไม่อาจจะปล่อยวางภาระที่มีได้อย่างสิ้นเชิง

        แม้ว่าเขาจะเหมือนได้เกิดใหม่ แต่ท้ายที่สุด ฉินอวี่ผู้มีวัยไม่เกินยี่สิบเอ็ดปี แม้ว่าความสิ้นหวังตลอดหกปีที่ผ่านมาจะทำลายความสามารถของเขาไป

        แต่ไม่ว่าความสามารถจะถูกทำลายไปอย่างไรก็ยังเป็นความสามารถ

        เขายังคงเป็นเขา เขาผู้ซึ่งลุกขึ้นจุดไฟในตัวเองและปลุกความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

Author Glory Forever