มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 3 ตอนที่ 75 หลับหนึ่งตื่นก็ลืมแล้ว

        แผ่นหลังของซูจื่อฉินค่อยๆ จมหายเข้าไปในราตรีอันแสนมืดมน จนลับสายตาไปอย่างสิ้นเชิง จวินเชียนจี้ก้มมองเฟิ่งสือจิ่นที่อยู่ในอ้อมแขน คิ้วคมของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็คลายออกจากกันอีกครั้ง เขาพูดด้วยใบหน้านิ่งเรียบ “ออกไปเที่ยวเล่นโดยไม่บอกอาจารย์สักคำ ใครใช้ให้เจ้าดื่มสุราเยอะขนาดนี้”

        เดิมที เขาคิดว่าเฟิ่งสือจิ่นหลับไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะได้ยินสิ่งที่เขาพูด เฟิ่งสือจิ่นแหงนหน้ามองจวินเชียนจี้ด้วยแววตาเหม่อลอย สักพักจึงยกมุมปากขึ้นเบาๆ ริมฝีปากที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสุราขยับขึ้นเล็กน้อย นางพูดอย่างเหม่อลอย “อาจารย์… ข้าเป็นคนอยากดื่มเอง… สุราช่างเป็นของที่ดีจริงๆ เมื่อดื่มมันเข้าไป ร่างกายก็เบาหวิวไปหมด รู้สึกเหมือนกำลังจะลอยขึ้นไปบนฟ้าเช่นนั้น… ความกลัดกลุ้มที่มีก็หายไปจนหมด…”

        เจ้ากลัดกลุ้มเรื่องใด” จวินเชียนจี้ประคองนางเดินกลับพลางถามด้วยเสียงแผ่วเบา

        เสียงเบาหวิวของเขาลอยล่องไปในอากาศ ช่างเสนาะหูเหลือเกิน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเสียงของลำธารที่รินไหลใต้แสงจันทร์เช่นนั้น

        รอยยิ้มของเฟิ่งสือจิ่นค่อยๆ หดหายไป นางมีท่าทีซึมเศร้า ฝีเท้าที่เดินก็โซไปเซมา หากไม่มีจวินเชียนจี้คอยประคอง นางคงหกล้มทุกๆ สามก้าวเลยก็ว่าได้ นางบอก “ศิษย์มีเรื่องกลุ้มใจมากมาย… แต่เรื่องที่กลุ้มใจมากที่สุด ศิษย์กลับนึกไม่ออกเสียที…”

        ข้าเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเรื่องที่จำไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การจดจำ ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมฟัง”

        เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกพะอืดพะอมเป็นอย่างมาก ความรู้สึกวิงเวียน คล้ายโลกกำลังหมุนวนเช่นนี้ทำให้นางคลื่นไส้จนแทบจะกลั้นไม่อยู่ นางรีบดันจวินเชียนจี้ออกห่าง “อาจารย์ ไม่ต้องประคองข้า ข้าเดินเองได้…” เมื่อสลัดแขนของจวินเชียนจี้ออกไป นางก็เริ่มเดินโซซัดโซเซไปข้างหน้า พลางหันกลับมาบอกกับจวินเชียนจี้ “ดูสิ ข้าเดินเองได้…” เพิ่งพูดจบ จู่ๆ นางก็วิ่งตรงไปที่กำแพง ใช้มือยันกำแพงไว้ และเริ่มอาเจียนฉาดใหญ่อย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้

        การอาเจียนทำให้นางทรมานเป็นอย่างมาก รู้สึกเหมือนตับไตไส้พุงกำลังจะทะลักออกมาด้วยเช่นนั้น จวินเชียนจี้ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาเตรียมจะก้าวเข้ามาลูบหลังให้ แต่เฟิ่งสือจิ่นก็ยื่นมือข้างหนึ่งกลับไปด้านหลังแล้วส่งสัญญาณให้เขาหยุดลงเสียก่อน “อย่าเข้ามาอาจารย์ อย่าเข้ามา… เดี๋ยวของสกปรกที่ศิษย์อาเจียนออกมาจะเลอะโดนอาจารย์…”

        ขอบตาร้อนผ่าวไปหมด แถมสติก็พร่าเบลอเต็มที นางเห็นว่าจวินเชียนจี้หยุดอยู่ในจุดที่ห่างออกไปประมาณสามก้าว โดยไม่ได้เดินเข้ามาใกล้อีก นางสามารถอาเจียนสิ่งที่อัดแน่นอยู่ข้างในออกมาได้อย่างเต็มที่แล้ว เฟิ่งสือจิ่นพูดด้วยเสียงขาดห้วง “มีเรื่องหนึ่ง… ที่ข้าอยากถามอาจารย์…”

        เรื่องอะไร?”

        สามปีก่อน…” แววตาของจวินเชียนจี้เย็นยะเยือกลงอย่างกะทันหัน เฟิ่งสือจิ่นพูดต่อ “เมื่อสามปีก่อน ตอนที่เฟิ่งสือหนิงกับซูกู้เหยียนแต่งงานกัน… ข้าเคยกลับมาหรือเปล่า?”

        จวินเชียนจี้ไม่ยอมตอบสิ่งใดออกมา

        เมื่ออาเจียนเสร็จ เฟิ่งสือจิ่นก็เดินหน้าต่อไประยะหนึ่ง จากนั้นจึงหมุนตัว พิงหลังลงบนผนังเย็นเยียบที่มีเถาวัลย์สีเขียวเลื้อยพัน แล้วมองไปยังจวินเชียนจี้อย่างอ่อนแรง แสงจันทร์สีขาวอันแสนริบหรี่ส่องลงบนใบหน้าเนียนใสของเฟิ่งสือจิ่น ทำให้นางแลดูว้าเหว่และเคว้งคว้างเกินจะบรรยาย “ข้าเคยกลับมาหรือเปล่า?”

        จวินเชียนจี้ก้าวเข้ามาหานางทีละก้าวๆ แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบที่มุมปากให้นาง “กลับมาแล้วอย่างไร ไม่กลับมาแล้วจะเป็นอย่างไร”

        เฟิ่งสือจิ่นกุมหัวตนเอง ช่างเจ็บปวดอะไรเช่นนี้ นางส่ายหัวแรงๆ “คืนนี้ พวกเขาบอกข้าว่าข้าเคยกลับมา… บอกว่าข้าไปอาละวาดที่งานแต่งของเฟิ่งสือหนิง แต่ข้าไม่เชื่อ…”

        เช่นนั้นก็อย่าได้เชื่อ”

        แต่ว่า… แต่…” เฟิ่งสือจิ่นเบิกตากว้างพลางมองไปยังจวินเชียนจี้ เขายืนย้อนแสง โครงร่างสูงใหญ่จึงแลดูลึกลับยิ่งขึ้น ลมราตรีลูบผ่านเส้นผมกับชายเสื้อสีเขียว เมื่อได้เห็นแววตาที่เปล่งประกายและน่าดึงดูดคู่นั้น จู่ๆ น้ำตาหยดใสก็ไหลออกมาจากขอบตาของเฟิ่งสือจิ่นอย่างไม่อาจหักห้าม ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน สองมือกุมหัวเอาไว้แน่น “แต่หลังได้ฟังเรื่องพวกนั้น ข้าก็เจ็บปวดทรมานเหลือเกิน …เหมือนกับว่าข้าเคยกลับมาจริงๆ เหมือนข้าเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป…” นางยื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อของจวินเชียนจี้เอาไว้ เนื้อผ้าในมืออ่อนนุ่มและเบาบางไม่ต่างจากสายลม นางกำชายเสื้อเอาไว้แน่น พลางพูดวิงวอน “อาจารย์ ข้าไปที่นั่นจริงๆ หรือเปล่า? ทำไมข้าถึงจำไม่ได้? สิ่งที่ข้าลืม… คือซูกู้เหยียนจริงๆ หรือ?”

        จวินเชียนจี้ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี

        เฟิ่งสือจิ่นเอียงหัวไปพิงหน้าอกของจวินเชียนจี้ พลางกัดฟันถาม “นี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? ทำไมท่านถึงไม่ยอมบอกข้า? ข้าคิดมาโดยตลอดว่าตัวเองฝึกวิชาอยู่บนเขาจื่อหยางมาตลอดหกปี โดยไม่เคยลงจากเขาแม้แต่ครั้งเดียว…” นางสูดหายใจหลายครั้ง จากนั้นจึงแหงนหน้ามองจวินเชียนจี้ ดวงตาคู่นั้นมีน้ำตาเจิ่งนอง แต่ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจเด็ดเดี่ยว “ทำไมข้าถึงความจำเสื่อม ท่านรู้ใช่หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อหกปีก่อน? ท่านแค่ไม่อยากบอกข้าเท่านั้น!

        เฟิ่งสือจิ่นรออยู่นาน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นคำพูดสั้นๆ “เจ้าเมามากแล้ว”

        เฟิ่งสือจิ่นอ้าปาก คล้ายอยากจะพูดอะไรต่อ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกชาที่ท้ายทอย นางพยายามเบิกตากว้าง และมองผ่านม่านน้ำตาที่พร่ามัวไปยังใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของจวินเชียนจี้ ก่อนเปลือกตาที่หนักอึ้งจะปิดลงช้าๆ ร่างบางเอนล้มอย่างหมดแรง นางพึมพำเบาๆ “อาจารย์… ข้าปวดหัว…”

        จวินเชียนจี้ยื่นมือเข้าไปโอบเอวบางเอาไว้ก่อนที่นางจะล้มลงพื้น จากนั้นก็อุ้มร่างของนางเอาไว้ในอ้อมแขน และเดินต่อไปทีละก้าวๆ

        เฟิ่งสือจิ่นเมาหนักไปหน่อย เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น นางจึงรู้สึกปวดหัวราวกับถูกประตูหนีบมาเช่นนั้น เจ็บเหมือนสมองกำลังจะระเบิด กระทั่งจวินเชียนจี้นำยามาให้ดื่มหลายถ้วย นางจึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง เมื่อสังเกตเห็นสีหน้านิ่งเรียบที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ของจวินเชียนจี้ เฟิ่งสือจิ่นก็รีบยอมรับผิดทันที “อาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว โปรดลงโทษข้าด้วย”

        จวินเชียนจี้ถาม “ทำผิดตรงไหนบ้าง”

        เฟิ่งสือจิ่นตอบตามความจริง “ศิษย์ไม่ควรออกไปเที่ยวงานประกวดยอดบุปผากับท่านชายหลิว และไม่ควรดื่มสุรามากมายเช่นนั้น ไม่ควร…” นางครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็คิดไม่ออกเสียทีว่าเกิดอะไรขึ้นหลังดื่มสุรา จึงลอบมองจวินเชียนจี้อย่างระแวง “เมื่อคืน ศิษย์กลับมาได้อย่างไร?”

        องค์ชายสองเป็นคนส่งเจ้ากลับมา”

        องค์ชายสองคนไหน?” เฟิ่งสือจิ่นเอียงคอคิด นางจำได้รางๆ ว่ามีคนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ แถมยังปรากฏตัวด้วยวิธีที่น่าตื่นตาตื่นใจและหวือหวาเป็นอย่างมาก ทว่าเหตุการณ์ตอนที่เขาปรากฏตัว นางเองก็จำไม่ค่อยได้แล้ว

        จวินเชียนจี้ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับยกหางเสียงให้สูงขึ้น “งานประกวดยอดบุปผา สนุกขนาดนั้นเชียวหรือ?”

        เฟิ่งสือจิ่นยืดตัวตรง เปลี่ยนมานั่งในท่าที่เรียบร้อย และตอบกลับไปทันที “อาจารย์ มันก็ไม่ได้สนุกอะไรมากมายหรอก ศิษย์เองก็ไม่ชอบดูอะไรที่หวือหวาฟู่ฟ่าแบบนั้นเหมือนกัน แต่ท่านชายหลิวเชิญด้วยความจริงใจ ข้าจึงไม่อาจปฏิเสธได้”

        งั้นหรือ”

        เฟิ่งสือจิ่นแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อย นางยังไม่ลืมว่าวันนี้ต้องไปเรียนที่วิทยาลัยหลวง จึงกินมื้อเช้าแบบลวกๆ เตรียมจะออกจากจวนแต่เช้า วันนี้จวินเชียนจี้มาส่งนางถึงที่หน้าประตูจวน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก เขาบอก “วันนี้ เมื่อไปที่วิทยาลัยหลวงแล้ว กล่าวทักทายท่านชายหลิวแทนข้าด้วย”

        เฟิ่งสือจิ่นหันกลับไปถามอย่างไม่เข้าใจ “อาจารย์ ทำไมท่านต้องทักทายเขาด้วย?”

        จวินเชียนจี้กล่าว “เขาจะเข้าใจความหมายของข้าเอง”

        เฟิ่งสือจิ่นคิดในใจอย่างหวาดระแวง… หรือเมื่อคืนนางกับหลิวอวิ๋นชูออกไปสร้างเรื่องสร้างราวอะไรจนทำให้อาจารย์ไม่พอใจหรือเปล่า? ก่อนไป นางยังถามจวินเชียนจี้อย่างไม่ยอมแพ้ “อาจารย์ ศิษย์ทำความผิดอะไร จนทำให้ท่านโกรธหรือเปล่า?”

        ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” จวินเชียนจี้ยืนแขนชิดลำตัว เขาเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “เพียงแต่เมื่อคืนนี้ เจ้ากลับมาร้องไห้กับข้า บอกว่า…”

Author Jinovel