มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่ม 2 ตอนที่ 36 สืบหา

 

       ตอนบ่ายฉันกลับมาที่โรงเรียนตามปกติ ทั้งโรงเรียนยังคงเป็นเหมือนปกติทั่วไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น นักเรียนในชั้นเรียนอื่นๆ กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาไม่ได้รับผลกระทบจากคำสาปแม้แต่น้อย มองนักเรียนเหล่านี้ที่เดินอยู่ในทางเดิน ฉันรู้สึกอิจฉาจากใจจริงๆ 

 

       บางเวลา ก็เคยคิดถึงการใช้ชีวิตที่เป็นปกติทั่วไป ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่ยากลำบากที่สุดเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ถือว่าฉันได้เข้าใจความหมายแฝงของประโยคนี้อย่างลึกซึ้ง และก็กลับมาที่ห้องเรียน สภาพแวดล้อมในห้องเรียนยังคงเหมือนสองสามวันก่อนไม่มีผิด

 

       ความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้อันตรธานหายไปหมด ทั้งทานขนม เล่นโทรศัพท์มือถือ ทั้งห้องเรียนมีแต่เสียงดังอึกทึกครึกโครม ครูประจำชั้นก็ปล่อยชั้นเรียนนี้แล้ว นอกจากว่าจะมาดูเป็นครั้งคราว เวลาอื่นๆ ก็จะไม่มาเลย

 

        ในระหว่างที่อึกทึกครึกโครมกันนั้น ฉันกลับมาที่โต๊ะ หลี่โม่ฟ๋านรีบยื่นโค้กให้ฉัน 1 กระป๋อง ฉันดื่มไปอึกหนึ่ง แล้วถึงพูดว่า “อ่า ชื่นใจจริงๆ” 

 

       “เฮ้ยๆ ลูกพี่ อีกสักครู่นายก็จะต้องไปบ้านเฉินเฟิงแล้ว โค้กกระป๋องนี้ถือว่าเลี้ยงส่งนายก็แล้วกันนะ” หลี่โม่ฟ๋านพูดอย่างชื่นอกชื่นใจ

 

       “ไปให้พ้นเลย” ฉันยิ้มพลางด่าไปประโยคหนึ่งว่า “ฉันไม่ได้ไปตายน่ะ ก็แค่ลองไปดูสักหน่อย” 

 

       “พูดจริงๆ แล้วนะลูกพี่ เฉินเฟิงคือคนที่ตายคนแรก หลังจากที่เขาตายแล้ว ถึงจะมีคนเข้าใช้งานแอคเค้าท์ของเขาแล้วส่งแบบสอบถามมา เช่นนั้นไม่แน่ว่าอาจจะเกิดร่องรอยอะไรในคอมพิวเตอร์ของเฉินเฟิง ถึงตอนนั้นพวกเราก็อาจจะหลุดพ้นจากคำสาปนี้ก็เป็นได้” หลี่โม่ฟ๋านพูด

 

       “หวังว่าจะเป็นเช่นนี้เถอะ” ฉันพูดพลางยิ้มเล็กน้อย และสายตาฉันมองไปที่เย่รั่วเซวี่ย กลับพบว่าเธอกำลังจ้องฉันอยู่ และแล้วสายตาของพวกเราทั้งสองก็มากระทบกับกัน 

 

       สายตาของเย่รั่วเซวี่ยเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในชั้นเรียนนี้ก็ยังคงมีคนที่เป็นห่วงฉันอีกมาก

 

       คาบแรกของตอนบ่ายเป็นวิชาประวัติศาสตร์ แต่ทว่าครูวิชาประวัติศาสตร์มาเพียงแค่ครู่เดียว หลังจากนั้นก็ประกาศว่าให้ศึกษาบทเรียนด้วยตัวเอง แล้วตัวครูเองก็หายแวบไปเลย เหลือแค่คนกลุ่มนี้ที่เริ่มวุ่นวายขึ้นมา

 

       พวกนักเรียนชายเริ่มเล่นกันอย่างสนุกสนาน และพวกนักเรียนหญิงต่างก็พูดคุยกัน ด้านหลังห้องเรียน หวางอู่กำลังพาเพื่อนสองสามคนมาจัดการจูโหรง จูโหรงเป็นนักเรียนอ้วนคนหนึ่ง นิสัยอ่อนแอและขี้เล่ห์ ในชั้นเรียนนอกจากจ้าวหมิงหมิงแล้ว เขาก็เป็นคนที่มักจะโดนแกล้งอยู่บ่อยๆ คนหนึ่ง 

 

       ตอนนี้จ้าวหมิงหมิงคบกับหลิวเทียนเทียนแล้ว คนในชั้นเรียนก็ไม่กล้าที่จะรังแกเขา ดังนั้นเป้าหมายก็จะไปตกอยู่ที่จูโหรง ยังไงรูปร่างเขาก็อ้วนพอที่จะต้านหมัดได้

 

       นักเรียนชายกลุ่มหนึ่งได้ปิดล้อมจูโหรง หลังจากนั้นหวางอู่ก็ออกคำสั่ง มีคนสองสามคนกดจูโหรงไว้กับพื้นแล้วต่อยไปมาอยู่ครู่หนึ่ง หวางอู่ทั้งถีบ ทั้งด่าจูโหรงว่า “ไอ่หมูอ้วน ช่วงนี้รู้สึกว่าแกจะไม่ยอม เดี๋ยวฉันจะต่อยให้แกยอมเอง” 

 

       “ฉันไม่ใช่ว่าไม่ยอมนะ พี่หวาง” จูโหรงรีบพูด แต่ทว่าจริงๆ แล้วหวางอู่ขี้เกียจฟังคำแก้ต่างของเขา และถีบเขาต่ออย่างดุดัน จริงๆ แล้วใครๆ ล้วนก็รู้ว่า หวางอู่ก็แค่ต้องการหาเหตุผลต่อยเขาแค่นั้น

 

       ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกับว่าได้หาความรู้สึกที่ว่าตนเคยสูงส่งได้จากตัวของจูโหรง หลังจากที่คำสาปได้เข้ามาสู่ห้องเรียนของพวกเรา ทั้งชั้นเรียนก็ไม่ได้กลับไปเป็นเหมือนก่อนอีก

 

        ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนชายหรือนักเรียนหญิง ล้วนไม่มีความสุขเลย ถึงจะเป็นการรวมกลุ่มกัน ทุกคนก็จะเต็มไปด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง ความตายได้แผ่คลุมตัวของนักเรียนทุกคนในชั้นเรียน ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางที่จะโชคดีรอดพ้นไปได้

         

       ก็มีแค่ตัวของนักเรียนที่เรียนแย่อย่างจูโหรงเท่านั้น ที่นักเรียนชายพวกนั้นถึงจะหาความรู้สึกของการมีตัวตนในชั้นเรียนของตนได้ ไม่นานจูโหรงก็ถูกพวกเขาตีจนลุกไม่ขึ้น แต่ทว่าด้วยการฟื้นฟูพละกำลังของจูโหรงแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เวลายาวนานก็สามารถยืนขึ้นได้ เขาก็แค่ตั้งใจทำเป็นว่าอ่อนแอ เพื่อให้นักเรียนชายกลุ่มนี้ยอมปล่อยเขาไป

 

       หวางอู่นำนักเรียนชายสองสามคนให้ปล่อยจูโหรง แล้วก็เดินมาทางพวกเราอีก สีหน้าของหลี่โม่ฟ๋านขาวซีด เขารู้ว่าหวางอู่จะต้องมาหาเขาแน่นอน

 

       หวางอู่นำนักเรียนชายสองสามคนมาที่ด้านหน้าพวกเราแล้วหัวเราะด้วยสีหน้าที่ดุร้าย เขามองหน้าหลี่โมฟ๋านพลางพูดด้วยความเยือกเย็นว่า “หลี่โม่ฟ๋าน เพราะนายเป็นเหตุทำให้ฉันต้องทุบรถพ่อฉัน เสียหายไปสิบล้าน นายพูด นายจะชดใช้ฉันยังไง”

 

       “ฉัน …… ฉันจะชดใช้ให้นายแน่” หลี่โม่ฟ๋านพูดด้วยอาการสั่นเทา

 

       “ฮาๆ ชดใช้ นายมีปัญญาชดใช้เหรอ? นี่มันสิบกว่าล้านนะ ฉันจะไม่ทำให้นายลำบากเลย หากนายให้ฉันต่อยนายสักสองสามที หนี้ก้อนนี้ก็จะถือว่าหายกัน” หวางอู่แสยะยิ้มพูด

 

       หยางย่าซินที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยืนขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงที่โมโหว่า “หวางอู่ นายกล้าทำสหายฉัน ก็ลองดูสิ”

 

       “เชี่ย ทำแล้วจะทำไมล่ะ” หวางอู่จับชายเสื้อของหลี่โม่ฟ๋าน และต้องการที่จะลากเขาออกไป ในเวลานี้ แขนของเขาถูกฉันจับไว้

 

       “เรื่องนี้ให้มันจบแค่นี้เถอะ ถือว่าเห็นแกหน้าฉันแล้วกัน” ฉันปริปากพูดอย่างสงบนิ่ง ดวงตาคู่นั้นมองไปที่หวางอู่

 

       “ฮ่าๆ เห็นแก่หน้านาย นายเป็นใครเหรอ? อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ที่ฉันได้ผลโหวตมากขนาดนี้ ก็เป็นฝีมือนาย ฉันจะบอกนายให้ จัดการหลี่โม่ฟ๋านเสร็จ ฉันก็จะจัดการนายต่อ” หวางอู่มองฉันด้วยสีหน้าที่โกรธเคือง ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความดุร้าย

 

       “หลี่โม่ฟ๋านเป็นสหายฉัน ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเขาเด็ดขาด นายกล้าทำเขา ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับฉัน” ฉันมองหวางอู่อย่างสงบนิ่ง ดวงตาที่สงบนิ่ง แต่ไม่ได้พูดคำพูดที่ดุดันอะไร และก็ไม่ได้ร้องขอ ฉันที่เคยผ่านนรกมาแล้ว ล้วนได้เปลี่ยนไปแล้ว ฉันพูดอย่างสงบนิ่งมาก แต่ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับทำให้ทุกคนหวาดผวา

 

       “เฮอๆ เป็นศัตรูกับนายแล้วจะทำไมล่ะ?” หวางอู่หัวเราะด้วยเสียงแหบ และได้ปล่อยมือจากชายเสื้อของหลี่โม่ฟ๋านแล้ว

 

       “ไม่ทำไมทั้งนั้น แต่จุดจบของนาย บางทีอาจจะเหมือนกับพวกซูหย่าก็ได้” ฉันพูดเบา ๆ

 

       นักเรียนชายที่อยู่รอบๆ หวางอู่ ได้ยินฉันพูดแบบนี้แล้วก็ล้วนถอยออกไป ต่างคนต่างก็ถอยออกไปหนึ่งก้าว ซึ่งไม่อยากเป็นเต่าที่โผล่หัว ดูแล้วพวกเขาล้วนไม่อยากที่จะล่วงเกินฉัน

 

       นัยน์ตาของหวางอู่ก็หดเข้าไป มีสายตาที่ไม่เต็มใจอยู่บ้าง แต่ยังคงพูดว่า “งั้นฉันก็จะเห็นแก่หน้านายก็แล้วกัน เรื่องนี้ฉันจะปล่อยหลี่โม่ฟ๋านไปก่อน”

 

       “งั้นก็ขอบใจมากแล้วกัน พี่หวาง” ฉันก้มหัวพลางยิ้ม ฉันรู้ว่าหวางอู่ได้ถอยแล้ว เวลานี้ไม่จำเป็นต้องผูกพยาบาทกับเขา เขาเป็นคนมีหน้ามีตาคนหนึ่ง พูดดีสักหน่อยก็ไม่ได้เลวร้ายต่อฉันนัก

 

       จริงๆ ได้ยินฉันเรียกว่าพี่หวาง หวางอู่ก็เดินกลับไปด้วยความพอใจแล้ว สายตาที่มองฉันก็ไม่ได้มีความอาฆาตแค้นอะไรขนาดนั้น 

 

       ซึ่งก็ทำให้หลี่โม่ฟ๋านผ่อนคลายลง อดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า “ลูกพี่ ขอบใจนายจริงๆ เมื่อกี้หากไม่มีนาย”

 

       “แค่เรื่องเล็กน้อยน่ะ” ฉันปริปากพูดอย่างเฉยเมย

 

       “แต่ว่าลูกพี่ นายไม่จำเป็นต้องเกรงใจหวางอู่ขนาดนี้ก็ได้ นายก็ไม่ได้กลัวหวางอู่ด้วยซ้ำ” หลี่โม่ฟ๋านพูดเบาๆ 

 

       “ฉันในตอนนี้ ไม่ได้กลัวเขา แต่ทว่ามีศัตรูเพิ่มมาอีกหนึ่ง มันจะไม่มีผลดีอะไรต่อฉัน” ฉันส่ายหน้าพลางพูด

 

       “เฮ้ยๆ นายนี่สมเป็นลูกพี่จริงๆ คิดอะไรรอบคอบ หากเป็นฉันแล้วล่ะก็ ไม่แน่ว่าเมื่อกี้จะต้องต่อยกับหวางอู่แล้ว” หลี่โม่ฟ๋านพูด และเขาก็คิดอะไรออก พลางพูดด้วยความเคอะเขินว่า “ลูกพี่ หากหวางอู่ต่อยฉันจริงๆ นายจะช่วยฉันไหม?” 

 

       “ฉันจะช่วยนายยังไงล่ะ? รูปร่างอย่างฉันก็สู้หวางอู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำได้แค่ต้องทนไปก่อน” ฉันยักไหล่พลางพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง 

 

       “อ่อ” หลี่โม่ฟ๋านพยักหน้า ใบหน้ารู้สึกหมดหวังอยู่บ้าง แต่กลับไม่พูดอะไร

 

       “แต่ทว่า หากเขากล้าทำนายจริงๆ ถึงฉันจะช่วยนายไม่ได้ แต่เชื่อฉันเถอะ ฉันจะต้องให้เขาชดใช้แน่นอน” ฉันพูดด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น

 

       “อืม” หลี่โม่ฟ๋านพยักหน้าอย่างจริงจัง 

 

       ผ่านไปสักครู่ กวานเหยาพาตวนมู่เซวียนเดินเข้ามา เธอมองมาที่ฉันแล้วถามว่า “จางเว่ย ถึงเวลาแล้ว ไปกับพวกเราเถอะ”

 

       “อืม ไปเถอะ” ฉันพยักหน้าพลางพูด หลังจากนั้นก็เดินออกจากห้องเรียนไปกับพวกเขา

 

       กวานเหยาเตรียมใบลาไว้เรียบแล้ว ไม่นานพวกเราทั้งสามคนก็เดินออกจากโรงเรียนไป รถเบนท์ลี่ย์คันหนึ่งกำลังรอฉันอยู่ และที่รถ มีชายชราคนหนึ่งยืนรออยู่ที่ข้างๆ รถ

 

       เห็นพวกเราสามคนเดินออกมา เขารีบต้อนรับขึ้นรถ พูดด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อมว่า “นายน้อย รถเตรียมพร้อมแล้ว”

 

       “อืม” ตวนมู่เซวียนพยักหน้า หลังจากนั้นชำเลืองมองพวกเราสองคน “ขึ้นรถเถอะ”

 

       ฉันจึงขึ้นรถพร้อมกับกวานเหยา ในรถเบนท์ลี่ย์กว้างมาก เดินขึ้นมาแล้วฉันอดไม่ได้ที่จะตะลึงจนตาค้าง พื้นที่ภายในรถกว้างมากๆ โดยเฉพาะสามารถยืดขาออกไปได้ พนักเก้าอี้ก็สบายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะยังมีตู้เย็นสำหรับในรถ

 

       “ออกรถเถอะ” ตวนมู่เซวียนพูด หลังจากนั้นชายชราก็เริ่มออกรถ รถเบนท์ลี่ย์เริ่มแล่นออกไปอย่างช้าๆ ดูการตกแต่งภายในที่หรูหราภายในรถแล้ว ฉันชมเชยอย่างไม่หยุด

 

       แม้แต่กวานเหยาก็มีอาการตะลึงงั้นอยู่บ้าง ฐานะครอบครัวเธอก็แค่ดีนิดหน่อย รถหรูอย่างนี้เธอก็นั่งเป็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่มองท่าทางฉันที่กระโดดไปทั่ว เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางพูดว่า “จางเว่ย นายเป็นอะไรน่ะ?”

 

       “ไม่เป็นไร” ฉันพูดด้วยความเคอะเขิน หลังจากนั้นนั่งลงบนโซฟาต่อ ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า รถหรูก็มีเสน่ห์ของรถหรู ไม่ว่าจะเป็นความสบาย ความเร็วก็ยังคงดีกว่ารถแท็กซี่ที่ฉันเคยนั่ง

 

       ไม่นาน พวกเราก็มาถึงบ้านของเฉินเฟิง บ้านของเฉินเฟิงเป็นบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง พวกเราสามคนลงจากรถ รถเบนท์ลี่ย์คันนี้จอดรอพวกเราอยู่ข้างๆ 

 

       ตวนมู่เซวียนกับฉันเดินอยู่ด้านหลังสุด และกวานเหยาเดินอยู่ด้านหน้าสุด พวกเราสามคนเข้ามาในบริเวณบ้านเฉินเฟิงแล้ว กวานเหยาเริ่มเคาะประตูก่อน ไม่นานประตูก็เปิดออก สุภาพสตรีที่กำลังมาร์คหน้าอยู่ท่านหนึ่งได้เดินออกมา ดูจากท่าทางแล้วเธอน่าจะอายุ 30 กว่าปี รูปร่างดีมาก การสวมใส่ก็ดูแพงมีระดับเป็นอย่างมาก

 

       เธอมองพวกเรา แล้วพูดด้วยความประหลาดใจอยู่บ้างว่า “พวกเธอเป็นใคร?”

 

       “พวกเราเป็นเพื่อนร่วมห้องของเฉินเฟิง ครั้งนี้พวกเรามาไหว้เฉินเฟิง” กวานเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน

 

       “เป็นเช่นนี้นี่เอง เข้ามาสิ” ผู้หญิงคนนี้พูดด้วยอาการที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

 

       พวกเราสามคนมองหน้ากันแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้านหลังนี้ บ้านหลังนี้ใหญ่มาก มี 2 ชั้น ด้านล่างตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่า ภาพถ่ายในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ของเฉินเฟิงวางอยู่ที่บนโต๊ะ ด้านบนยังมีการจุดธูป ในขณะเดียวกันยังวางเครื่องเซ่นไว้ด้วย

 

       กวานเหยารีบเดินไปข้างหน้า หยิบธูป 3 ดอกขึ้นมาจุด หลังจากนั้นก็เริ่มไหว้ และฉันก็มองการตกแต่งโดยรอบอย่างตามอำเภอใจ แล้วก็อุทานไปด้วยว่าบ้านเฉินเฟิงรวยจริงๆ และยังครุ่นคิดไปด้วย

 

       ตวนมู่เซวียนแค่จะมองไปรอบๆ ก็ยังไม่มองเลย แต่กลับมองผู้หญิงคนนี้พลางพูดว่า “ขอถามหน่อยคุณเป็นอะไรกับเฉินเฟิงครับ?”

 

       “ฉันเป็นแม่ของเขาน่ะ” ผู้หญิงคนนี้พูดพลางยิ้ม

 

       “อ่อ เป็นเช่นนี้นี่เอง ใช่แล้ว ขออนุญาตให้ผมเข้าไปดูห้องของเฉินเฟิงหน่อยได้ไหมครับ?” ตวนมู่เซวียนถามด้วยความอ่อนโยน ดูท่าทางดั่งเป็นคุณชายที่เจียมเนื้อเจียมตัว

 

       “อันนี้ไม่ได้ ห้องของเฉินเฟิงจะเข้าไปตามอำเภอใจไม่น่ะ”

 

       “ผมคิดว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว ก่อนหน้านี้ผมเคยให้เฉินเฟิงยืมหนังสือ 1 เล่ม ด้านในรู้สึกว่าจะมีบัตรประจำตัวประชาชนผมติดอยู่ รบกวนคุณหน่อยได้ไหม ให้ผมลองเข้าไปหาในห้องเขาหน่อยได้ไหมครับ?” ตวนมู่เซวียนฉีกยิ้มอย่างต่อเนื่อง และอดไม่ได้ที่จะพูด เขาที่มีใบหน้าเย็นชาอยู่ตลอดเวลาพอยิ้มขึ้นมาแล้วก็ดูดีมาก

 

       “งั้นก็ได้ แต่ทว่าอย่านานล่ะ” ในที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็ยินยอม ดังนั้นพวกเราสามคนก็เริ่มเดินขึ้นไปชั้น 2 ด้านทิศตะวันตกสุดของชั้น 2 ก็คือห้องของเฉินเฟิง

 

Author Glory Forever