มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 3 บทที่ 88 เปลือกไข่ชิ้นหนึ่ง

        ทันใดนั้นรากของปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์ก็หดตัวกลับมารวมกันทั้งหมด ก่อนจะเคลื่อนไหวปิดล้อมตัวเองเป็นชั้นๆ ราวกับเป็นรัง แล้วห่อหุ้มตัวเองจนดูเหมือน ‘บ๊ะจ่าง’ ก็ไม่ปานดูคล้ายกับลูกทรงกลมขนาดใหญ่ กลายเป็นคนอ้วนที่ท้องโตมากจนอธิบายไม่ถูก

        ในเวลาอันสั้นปรากฏของเหลวสีแดงถูกส่งผ่านกลับขึ้นไปทางรากทีละน้อยๆ หลังจากนั้นพลังชีวิตของปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น น่าสนใจตรงที่เลือดเนื้อที่ก่อนหน้านี้ได้ดูดกลืนเอาไว้นั้นเอาไปเก็บไว้ในรากที่อยู่ใต้ดิน ในเวลานี้นั้นสามารถนำกลับมาใช้เป็นพลังชีวิตสำรองได้ด้วย

        ทักษะการดูดกลืน ช่างมาได้เหมาะเจาะกับเวลาเสียจริง

        ทองคำราตรีและคนอื่นๆ เมื่อพบการเปลี่ยนแปลงขึ้นในเวลานี้ ก็สายเกินไปที่จะหยุดการโจมตีแล้ว คงทำได้แค่ปล่อยเลยตามเลยโดยโจมตีตามเดิม วิญญาณดาบ คลื่นพลังสีเลือด คมดาบ สายฟ้าร้องคำราม และกำปั้นก็ต่างโจมตีเข้าใส่ปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์ในเวลาเดียวกัน เกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นจนน่าตกใจ พื้นดินสั่นไหวเป็นระลอก ปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์เกิดอาการสั่นไหวอย่างรุนแรง เถาวัลย์ฉีกขาดออกจากกันเป็นชิ้นๆ จนดูเหมือนกับเศษผ้าที่ขาดวิ่น

        สุดท้ายแล้วดูเหมือนกับว่ามันจะยังคงมีชีวิตอยู่ ดูท่าว่าที่บางคนตั้งความหวังเอาไว้ คงจะไม่เป็นไปตามที่หวังเสียแล้ว

        แม้ว่าปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์ยังไม่ถูกจัดการ แต่สภาพก็ไม่ค่อยดีนัก ร่างกายของมันเต็มไปด้วยบาดแผล เถาวัลย์ส่วนใหญ่ก็หายไปจนเกือบหมดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเลือดนั้นยังไม่ลดลงแต่ตรงกันข้ามกลับเพิ่มขึ้นไปอีก ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นๆ อย่างช้าๆ จนในที่สุดก็กลับมาอยู่ในระดับ 80,000 หน่วย ก่อนจะชะลออัตราการเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งในเวลานี้ต่างก็ไม่มีใครรู้ว่ายังมีเลือดและเนื้อกักเก็บไว้อีกมากแค่ไหน

        “โดนโจมตีไปขนาดนี้แล้วยังไม่ตายอีกหรือ อย่างนั้นมาเจอกันใหม่อีกรอบ” นกในฤดูใบไม้ผลิข่มความตื่นตระหนกเอาไว้ ปราศจากซึ่งความหวาดกลัว ความต้องการที่จะต่อสู้ก่อตัวขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม ฮ่า… ฮ่า… เสียงหัวเราะดังขึ้น ขณะที่ร่างกายเริ่มเคลื่อนไหว ปรากฏแสงสว่างวาบสีขาวขึ้นบนค้อน ก่อนจะเรียกใช้ ‘งูสายฟ้าเริงระบำ’ อีกครั้ง

        ตั้งแต่ในตอนนั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ บรรยากาศรอบตัวของปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์ที่ปล่อยออกมานั้น ทั้งกดดันและผันผวนอย่างบ้าคลั่ง เหมือนสิงโตที่กำลังหลับอยู่แล้วถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างกะทันหัน ความแข็งแกร่งมหาศาลที่ส่งออกมาในชั่วพริบตาทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นรู้สึกเหมือนถูกลอบโจมตี ต้นหญ้าที่อยู่ในรัศมี 100 เมตร ก็เหี่ยวเฉาลง เหตุการณ์ในตอนนี้ทำให้ในใจของทุกคนถึงกับสั่นกลัวไม่หยุด

        ยอดเขาไท่ซานไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา ก่อนจะถอนสายฟ้ากลับ ในขณะที่กำลังขยับร่างกายของเขาอยู่นั้น เสียงอันดังก็กระจายออกมาให้ได้ยิน

        ตูมม…

        เถาวัลย์หลายร้อยเส้นพุ่งทะลุออกมาจากพื้นดิน และโจมตีใส่ผู้เล่นจำนวนมากราวกับสายฟ้าแลบ เถาวัลย์ในเวลานี้ดูไม่ต่างจากงูอนาคอนด้า ในขณะที่เถาวัลย์สะบัดฟาดไปมาอย่างแรง ทุกสิ่งที่อยู่ด้านหน้าก็ถูกบดทับจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ฝุ่นทรายปลิวฟุ้งไปทั่ว ก้อนหินกระจัดกระจายไปในอากาศ ก่อให้เกิดแรงกดดันที่น่าทึ่ง

        ซึ่งความรู้สึกในตอนนี้นั้นราวกับเจอน้ำป่าไหลหลากก็ไม่ปาน มันรวดเร็วจนคนทั่วไปไม่มีเวลาที่จะหนีได้ทัน ในเวลานี้มีแต่เสียงกรีดร้อง ตะโกนก้องอย่างน่าสลด ผู้เล่นนับสิบคนถูกบดขยี้ตายในทันทีกลายเป็นเศษเนื้อแหลกเหลวไปกับพื้น ไม่รู้ว่ารากขนาดเล็กในดินเริ่มชอนไชขึ้นมาเมื่อไร ก่อนจะเริ่มต้นดูดกลืนเลือดเนื้อของผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น ดูไปคล้ายกับหนอนดินสีเลือด คลานยั้วเยี้ยไปมา ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกชาไปทั้งตัว

        โครม…

        ผู้เล่นที่ขี่แรดสวมเกราะนั้นหลบไม่พ้น หลังจากถูกเถาวัลย์ฟาดใส่ ทั้งคนและสัตว์ต่างก็ถูกกวาดพุ่งกระเด็นออกไปไกลกว่าสิบเมตร และตกอยู่ในสภาวะมึนงงชั่วขณะ กลุ่มพระอาทิตย์ตกดินมีผู้เล่น 4 คน ที่ถูกบดขยี้จนกลายเป็นพายเนื้อ มีเพียงเมจธาตุดินเท่านั้นที่โชคดีสามารถป้องกันเอาไว้ได้ แต่ทว่าพลังชีวิตเกือบหมดลง ก่อนจะกลืนยาเพิ่มพลังกันอย่างรวดเร็ว ส่วนกิลด์ราตรียิ่งใหญ่นั้นแย่กว่า เหลืออยู่เพียงแค่หกคนเท่านั้น กิลด์สวรรค์นั้นดีกว่า หลังจากที่ใช้ ‘งูสายฟ้าเริงระบำ’ ก็ส่งผลขึ้นมาเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ถูกสังหารไปสองคน เหลือเพียงแค่สามคนเท่านั้น ส่วนยอดเขาไท่ซานนั้นดีที่สุด เนื่องจากเขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว จึงรีบหนีออกจากระยะโจมตีของเถาวัลย์ได้ทัน แต่ก็ยังโดนเถาวัลย์กระแทกใส่ เนื่องจากปฏิกิริยาตอบสนองได้ไวจึงนำดาบหนามากันไว้ได้ทัน แต่ก็ยังถูกเถาวัลย์กระแทกออกไปไกลถึง 20 เมตร เท้าทั้งสองข้างจมลึกลงในดินแต่ก็ไถลออกไปเป็นทางยาว

        ดูเหมือนว่าเถาวัลย์ใหญ่ยักษ์จะไม่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากโจมตีไปหนึ่งครั้ง ก็เริ่มหดกลับลงไปอยู่ใต้ดินดังเดิม ซึ่งยังเป็นโชคดี ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่มีผู้เล่นคนใดมีชีวิตรอดกลับไปเป็นแน่ แต่ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ของผู้เล่นในเวลานี้ก็ไม่สู้ดีนัก ปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์นั้นมีเถาวัลย์หลากหลายขนาดมากเกินไปทั้งสั้นยาว ทั้งเล็กและใหญ่เต็มไปหมด ถึงจะตัดออกไปเยอะแล้ว แต่ก็ยังเหลืออีกเป็นจำนวนไม่น้อย ไม่ต่างจากคลื่นที่ซัดเข้ามาลูกแล้วลูกเล่า ทั้งกราดเกรี้ยวและทรงพลังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

        “พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?” เมื่อมองดูเถาวัลย์ที่มีอยู่อย่างมืดฟ้ามัวดิน เมจของกิลด์ราตรียิ่งใหญ่ก็มีสีหน้าซีดเผือด เวลาแห่งการถอนตัวนั้นก็ได้ผ่านไปแล้วเสียด้วย

        “อดทนไว้สัก 5 วินาที” ทองคำราตรีกัดฟันแน่น ก่อนจะนำม้วนคัมภีร์เวทออกมาขว้างใส่ปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์เต็มแรง ปากขยับร่ายเวท ด้วยการปรากฏขึ้นของม้วนคัมภีร์เวท คลื่นความรุนแรงของเวทได้แผ่ขยายออกมา ช่วงเวลาถัดมามีลำแสงสีดำขนาดใหญ่พุ่งกระทบเข้าใส่ลำต้น ราวกับแสงจันทร์ซึมผ่านเข้าผิวดิน นุ่มนวลและอ่อนโยนไม่ต่างจากมือของคนรัก บริเวณที่ถูกแสงสีดำส่องผ่านก็พลันอันตรธานหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง ปรากฏเป็นโพรงขนาดใหญ่เจาะทะลุลำต้น เผยให้เห็นแสงสว่างส่องทะลุผ่านจากทางด้านหน้าไปสู่ด้านหลัง ซึ่งมีขนาดเดียวกับลำแสง ก่อนจะสร้างความเสียหายขึ้น 30,000 หน่วยลอยขึ้นมา

        “แสงแห่งการกัดกร่อน”

        เวทมนตร์ธาตุมืดที่ชั่วร้าย

        ในช่วงเวลาคับขันทุกคนต่างรู้สึกสิ้นหวัง นกในฤดูใบไม้ผลิได้ตอบโต้กลับการโจมตีที่รุนแรงที่สุดนั้นด้วย “พายุสายฟ้า” โดยที่มีแสงส่องประกายระยิบระยับสีขาวเจิดจ้าขึ้นที่ค้อน เนื่องจากประกายแสงสว่างจ้ามากเกินไป ทำให้ผู้เล่นที่จ้องมองไม่ทันระวังจึงถูกแสงแยงตาจนทำให้น้ำตาไหลอาบแก้ม พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่ว ต่อมาก็มีบอลสายฟ้าขนาดเท่ากำปั้นถูกยิงออกไป บอลสายฟ้านั้นประกอบไปด้วยเสียงฟ้าร้องฟ้าคำราม บนพื้นผิวเต็มไปด้วยริ้วของสายฟ้า ฉินโจ้วหรี่ตาจ้องมองแสงนั้น ในใจก็พลันเต้นรัว นี่ต้องเป็นรูปแบบที่พัฒนาขึ้นของ ‘พายุสายฟ้า’ อย่างแน่นอน อีกอย่างเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะมานึกถึงเรื่องนี้ด้วย ก่อนที่บอลสายฟ้าจะพุ่งเข้าใส่ลำต้นของปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์

        ในฐานะที่เป็นมอนสเตอร์ระดับบอส ปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์นั้นมีประสาทสัมผัสดีกว่ามอนสเตอร์ระดับทั่วไป ทันทีที่รู้สึกได้ถึงการคุกคามก็รีบตอบสนองในทันใด โดยรวบรวมเถาวัลย์ขึ้นมาปกคลุมป้องกันร่างเอาไว้ ทำเป็นรูปร่างคล้ายกับบ๊ะจ่างอีกครั้ง เพื่อปกป้องตัวเอง เพียงแต่ “พายุสายฟ้า” ครานี้ดูจะไม่ธรรมดาเหมือนก่อน

        ตูมม…

        พลันเกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นจนน่าตกใจ ถึงกับทำให้หูของทุกคนดับไปชั่วครู่ ไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรเลย ฉินโจ้วรู้สึกว่าพื้นดินเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนทำให้หลี่เฟยเกือบจะหล่น โชคดีที่เขาฝึกวิชาตัวเบาสำเร็จมาบ้างแล้ว ทำให้ร่างกายทรงตัวได้มั่นคง เมื่อมองไปทางปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์อีกครั้ง มันดูไม่ต่างจากพืชไร่ที่เพิ่งจะโดนพายุฝนพัดกระหน่ำใส่อย่างหนักหน่วง กิ่งก้านและลำต้นนั้นแหลกสลายหายไปถึงหนึ่งในสี่ส่วน ทำให้ดูผอมเพรียวขึ้นเล็กน้อย เปลือกนอกเป็นสีดำสนิท และมีกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง มีเถาวัลย์ร่วงหล่นกระจัดกระจายไปทั่ว ซึ่งส่วนใหญ่ถูกเผาไหม้เกรียมจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

        แค่การโจมตีอย่างรุนแรงเพียงครั้งเดียว วิชาเวทสายฟ้าเป็นเวทระดับกลางที่มีความรุนแรงมากกว่าธาตุอื่น ซึ่งในเวลานี้ดูเหมือนว่าปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์กำลังเหยียบย่างเข้าสู่ประตูแห่งความตายแล้ว

        “หมัดหินผา”

        ในขณะที่ทุกคนกำลังขบคิดอยู่ เมจธาตุดินเป็นคนแรกที่มีการตอบสนอง เมื่อสบโอกาสจึงเริ่มโจมตีด้วยทักษะเวท ซึ่งจู่ๆ ก็มีกำปั้นขนาดใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นกลางอากาศ หนักแน่นราวกับขุนเขา พุ่งผ่านไปด้วยเสียงหวีดแหลม

        “ตายซะ”

        “ไอ้บ้าเอ๊ย…”

        ทองคำราตรีและนกในฤดูใบไม้ผลิเมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ก็รู้สึกโมโหขึ้นในเวลาเดียวกัน แต่เนื่องจากไม่ได้อยู่ในทิศทางเดียวกัน จึงไม่สามารถหยุดยั้งได้ พวกเขาจึงต้องเลือกแผนสำรอง โดยรีบพาตัวเองพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว และปลดปล่อยการโจมตีอีกครั้ง โดยหวังว่าจะแย่งชิงสิทธิ์ในการสังหารปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์ แต่ทว่าในใจของพวกเขานั้นรู้ดีว่าความหวังนั้นช่างเลือนรางเหลือเกิน ทองคำราตรีนั้นอยู่ห่างไกลเกินไป ส่วนนกในฤดูใบไม้ผลิเองนั้นก็เพิ่งจะใช้ทักษะ ‘พายุสายฟ้า’ ปลดปล่อยพลังเวทออกไป สุดท้ายก็ดูเหมือนว่าจะสายไปสำหรับการแย่งชิงเพื่อขึ้นนำ ในขณะที่ ‘หมัดหินผา’ กำลังจะโจมตีเข้าใส่ปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์

        คมดาบส่องประกายสว่างมากขึ้น เหมือนรุ้งกินน้ำวิ่งผ่านดวงตะวัน ส่องประกายวาบ นั่นคือยอดเขาไท่ซานที่กำลังพุ่งออกมา คมดาบในเวลานี้รวดเร็วเหมือนฟ้าผ่า เวลานี้ถ้าใครมาถึงก่อนก็สมควรได้ไป เมื่อเทียบกับเมจธาตุดินแล้วดูเหมือนว่าจะรวดเร็วกว่าหนึ่งส่วน ก่อนจะฟันไปที่ร่างของปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์อย่างรุนแรงหนักหน่วง ทำให้เกิดรอยแตกเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่จนน่าตกใจ ภายใต้การโจมตีดังกล่าว ปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์เกิดอาการสั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับเป็นลมบ้าหมู เถาวัลย์ที่เหลืออยู่เริ่มโจมตีใส่ทุกทิศทาง ซึ่งดูแล้วรุนแรงยิ่งนัก แต่ผู้เล่นส่วนใหญ่ที่มาก็เป็นผู้มากประสบการณ์แล้วทั้งนั้น เมื่อมองดูก็รู้ว่าเป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายก่อนที่จะตาย

        เมจธาตุดินถึงกับถอนหายใจยาวออกมา ยังพอมีหวังอยู่ ความกังวลที่มีอยู่ในดวงตาก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกยินดี เป็นไปตามที่คาดไว้ ปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์นั้นสามารถทนต่อการโจมตีของยอดเขาไท่ซานได้ ไม่อย่างนั้นแล้วทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ดูเหมือนว่ายอดเขาไท่ซานจะทำไม่สำเร็จ โอกาสของเขาได้มาถึงแล้ว “หมัดหินผา” พุ่งออกไปเป็นสายตามหลังคมดาบแสง ก่อนจะกระแทกใส่อย่างรุนแรงเข้าที่ลำต้น ปังง… ผู้คนต่างเห็นกำปั้นพุ่งกระทบเข้ากับผิวของลำต้นอย่างจัง ก่อนจะสังเกตเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้นเลย ผ่านไปชั่วขณะจึงเห็นปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์เริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง เหมือนถูกผลักเอียงไปเป็นมุมราว 45 องศากับพื้นดิน  สีหน้าบนต้นไม้ดูเหมือนร่ำร้องด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียงออกมาให้ได้ยินก็ตาม แต่ท่าทางที่แสดงความเจ็บปวดนั้นก็ส่งผ่านมาให้ทุกคนได้รับรู้ สมกับที่เป็นต้นไม้ปีศาจอย่างแท้จริง

        แม้ว่าในใจจะเจ็บปวด แต่อย่างน้อยก็ยังคงมีชีวิตรอด

        เมจธาตุดินเองก็มองอย่างไม่เชื่อสายตาว่าปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์กำลังจะตาย ลมหายใจนั้นยังมั่นคงและยังคงยืนหยัดอยู่ได้ ก่อนจะถอนหายใจด้วยเสียงอันดัง รู้ได้เลยว่าเขาได้พลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดไปเสียแล้ว

        มันสายไปหน่อยที่จะแสดงอาการโกรธออกมาในเวลานี้ แต่สุดท้ายก็กลับเปลี่ยนเป็นความน่ายินดีไปแทน นกในฤดูใบไม้ผลิและทองคำราตรีจึงเริ่มโจมตีอย่างต่อเนื่องใส่ลำต้นของปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์ ก่อนที่มันจะปล่อยเถาวัลย์ลงดินไปเป็นจำนวนมาก ปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์สั่นเทิ้มไม่หยุด ต้นไม้ต้นนี้อยู่มาตั้งแต่วัยรุ่นจนได้เป็นใหญ่ไม่รู้ว่าเก็บรวบรวมสะสมพลังชีวิตไว้มากมายขนาดไหน จนถึงตอนนี้เวลานี้ดูราวกับว่าเป็นหญ้าอ่อนที่กำลังโดนพายุโหมกระหน่ำ เถาวัลย์ที่อยู่ใต้ดินกำลังส่งผ่านเลือดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพื่อต่อชีวิตให้อยู่รอดด้วยทุกอย่างที่มีอย่างเต็มที่

        หลังจากการโจมตีได้ผ่านไป พลังชีวิตของปีศาจต้นอู๋ถงก็เหลืออยู่น้อยนิดราวกับเส้นไหม แต่อย่างน้อยความพยายามก็ยังไม่สูญเปล่า มันยังคงมีชีวิตรอดอยู่ ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงวิกฤติก็ตามที

        สีหน้าของทองคำราตรีและนกในฤดูใบไม้ผลิต่างก็ดูเย็นชา ไม่อยากเชื่อเลยว่า ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะโจมตีร่วมกันแล้ว แต่ปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์นั้นก็ยังคงมีชีวิตรอดอยู่ สองวินาทีผ่านไป ก็ยังไม่มีการโจมตีใดๆ เกิดขึ้น ในใจของทั้งสองยังคงรู้สึกถึงความท้อแท้

        “กิลด์สวรรค์ขอแรงหน่อย”

        ผู้เล่นที่ขี่แรดสวมเกราะยิ้มออกมา เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ถึงแม้จะบอกว่ามาถึงเร็วก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป เขานั้นเป็นคนโจมตีโดยสร้างความเสียหายได้มากที่สุด ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสแล้ว ก็เลยไม่ได้คิดเอาไว้ในเรื่องที่จะได้หรือจะเสียอะไร แล้วแต่สวรรค์ก็แล้วกัน สวรรค์นั้นให้ความยุติธรรมกับทุกคนเท่าเทียมกันเสมอ ความดีใจที่ถูกเก็บไว้ในใจ ทำให้เขาปลดปล่อยพลังโจมตีที่รุนแรงที่สุดออกมา ดาบเลือดได้เปลี่ยนเป็นลูกธนูขนาดใหญ่ ถูกยิงออกมาจากมือ ในเวลานี้เมื่อเคลื่อนมาถึงร่างปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์ ทุกๆ ระยะทางการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า สีเลือดนั้นก็จะเข้มขึ้น พลังของอากาศโดยรอบก็สูงขึ้นด้วย ลูกธนูดูเหมือนว่าความหนาจะเพิ่มขึ้นถ้าเลือดไหลออกมามากขึ้น เมื่อแสงสีแดงสวยสดงดงามเปล่งประกายระยิบระยับ ก็ดูสุกสกาวยิ่งกว่าพระอาทิตย์เสียอีก ซึ่งวิธีการโจมตีนี้ทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก

        ถ้าปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์ยังอยู่ในสภาพปกติ ก็คงต้องออกแรงสู้ด้วยกันต่อ แต่ว่าในเวลานี้ไม่มีใครคิดว่าปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์นั้นจะยังคงมีชีวิตรอด และเมื่อทุกคนคาดว่าผู้เล่นที่ขี่แรดสวมเกราะอาจจะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลานี้ จุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

        มีเงาดำถูกยิงออกมาคล้ายกับกระแสไฟฟ้าจากที่ห่างไกล โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเงาแบบไหน ซึ่งไม่มีใครจินตนาการออก ถึงแม้ว่าความเร็วของผู้เล่นนั้นจะเร็วมาก และยังรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าเสียอีก จนไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ทัน

        ปลายดาบสีทองส่องประกายวาบ ก่อนจะพุ่งออกไปในพริบตา เมื่อมองไปที่ปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์ก็ปรากฏมีแสงสีเทาพวยพุ่งออกมา นั่นคือแสงแห่งความตาย เมื่อแสงสว่างวาบขึ้นมา ลูกศรเลือดก็แทงทะลุเข้าใส่ลำต้น ซึ่งมันสายเกินไปเสียแล้ว

        ทันใดนั้นก็ปรากฏรูปร่างคล้ายกับภูตผีถอยกลับอย่างรวดเร็วทันทีที่สัมผัส การเคลื่อนไหวลื่นไหลราวกับเมฆคล้อยวารีไหลริน เมื่อหยิบไอเทมที่ดรอปอยู่บนพื้นได้แล้ว ก็ไม่รู้ว่ากระโดดขึ้นไปบนต้นไม้เมื่อไร ก่อนจะหยุดอยู่บนนั้นชั่วครู่ จากนั้นร่างก็ค่อยๆ ลอยลงมา และวิ่งตรงไปยังที่ห่างไกล  ทิ้งไว้เพียงเงาร่างคงอยู่ในอากาศ เพียงครู่เดียวก็มาหยุดอยู่ข้างหลี่เฟยอย่างรวดเร็ว หลายคนจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเป็นใครกัน ก่อนจะพบว่าเป็นฉินโจ้วนั่นเอง

        “ไอ้เลวเอ๊ย…”

        เขาไม่สามารถทนดูสิ่งที่กำลังจะอยู่ในมือแล้ว แต่กลับถูกคนอื่นคว้าเอาไปได้ ภายในใจของผู้เล่นที่ขี่แรดสวมเกราะนั้นรู้สึกโกรธเกรี้ยวมากจนอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา ก่อนจะนำดาบเลือดกลับคืนมา และพุ่งตรงไปหาฉินโจ้วทันที เขาเต็มไปด้วยรังสีแห่งความโกรธแค้นที่พวยพุ่งออกมา ผู้เล่นที่ขี่แรดสวมเกราะจ้องมองฉินโจ้วด้วยสายตาที่ต้องการแก้แค้น ราวกับว่าฉินโจ้วนั้นไปฆ่าล้างครอบครัวและฉกตัวภรรยาของเขาไป

        ฉินโจ้วไม่ได้แสดงอาการใดๆ ในขณะที่แบกหลี่เฟยไว้ ในความเป็นจริงนั้นเป็นการใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายทำให้ยืนหยัดอยู่ได้ ใบหน้าของเขาซีดเผือด ถึงแม้ว่า ‘ย่ำหิมะไร้รอย’ นั้นจะทรงพลังมาก แต่ระดับเลเวลของเขายังไม่เพียงพอ การใช้งานมากเกินที่จะรับไหว ทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบ ซึ่งตอนนี้ร่างกายของฉินโจ้วนั้นอ่อนแอเป็นอย่างมาก แต่ทว่าเขาเองก็ไม่ได้สนใจ เพราะว่าทุกสิ่งที่ทำไปนั้นล้วนคุ้มค่า

        ค่าประสบการณ์ของปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์นั้นไม่ได้มากมายเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าจะได้โจมตีปิดฉากในครั้งสุดท้ายก็ตามที แต่ค่าประสบการณ์ที่ได้ก็ทำให้ฉินโจ้วได้เลื่อนระดับ และฉินโจ้วได้เพิ่มหลี่เฟยให้เป็นเพื่อนร่วมทีมก่อนที่จะจู่โจม เมื่อทั้งหลี่เฟยและฉินโจ้วอยู่ในปาร์ตี้เดียวกัน ก็ทำให้ได้รับค่าประสบการณ์มากมายเช่นกัน ซึ่งเหลือไม่ถึงเส้นไหมก็จะเพิ่มระดับได้แล้ว ลดเวลาไปได้อย่างน้อยเกือบสองวัน

        ถึงแม้ในเวลานี้ฉินโจ้วนั้นจะอ่อนแอมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเกรงกลัวผู้ใด เขาอัญเชิญอัศวินปฐพีออกมาทันทีโดยไม่ต้องกล่าวอะไร ไม่ต้องคำนึงถึงว่าพวกนั้นมันจะเป็นแรดเกราะเหล็กหรือไม่ ต่อให้มีแรดเกราะเหล็กสามหรือห้าตัวมาพร้อมกัน เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถจัดการกับพวกมันได้ทั้งหมด

        พวกเขาเห็นเพียงเงาสีขาวขนาดใหญ่ตกลงมาจากท้องฟ้า พื้นดินที่รับแรงกระแทกจนแตกกระจายออก ลองจินตนาการถึงน้ำหนักว่าจะมากขนาดไหน ยังไม่ทันเห็นว่ามันคือสิ่งใด เงาสีขาวก็พุ่งกระแทกกับแรดสวมเกราะอย่างรุนแรง ทั้งคู่ก็เป็นสัตว์ขนาดยักษ์ ราวกับดาวอังคารพุ่งชนโลก ซึ่งการพุ่งเข้าชนนั้นทำให้เกิดการสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว

        แคร๊ง…

        พลันเกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นจนน่าตกใจ แรงกระแทกส่งผลให้เกิดคลื่นกระแทกกระจายออกไปทั่วบริเวณ เมื่อคลื่นกระแทกผ่านไป ทั้งพื้นดินและหญ้าต่างถูกกระชากทิ้งกระเด็น ฝุ่นตลบฟุ้งกระจายไปทั่ว บริเวณศูนย์กลางแรงกระแทกทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ลึกประมาณสองเมตร

        แรดสวมเกราะถูกดันให้ถอยออกไปถึงสามเมตร บริเวณหัวโดนกระแทกจนมึนงงไปชั่วขณะ ส่วนอัศวินปฐพีก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร ถูกแรงกระแทกออกไปไกลถึงสองเมตร แต่ทว่าดูจากระยะทางแล้ว ถือว่าเราได้เปรียบ ในรอบแรกอัศวินปฐพีเป็นฝ่ายชนะ ทั้งคู่ก็ไม่ต่างจากเหล็กกล้ากับเหล็ก การที่มีผิวหนังที่หยาบแข็งและกล้ามเนื้อที่ล่ำมาก การต่อสู้ดังกล่าวจึงไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บมากมายนัก แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าพวกมันยังสบายดีอยู่ แต่เจ้าของแรดสวมเกราะนั้นดูเหมือนกำลังจะยุ่งแล้ว

        ได้ยินแต่เสียงกรีดร้องของผู้เล่น เวลาที่บินออกมานั้นเร็วกว่าตอนขามาเสียอีก เขาตกลงมาที่พื้นจากความสูงมากกว่าสิบเมตร กระดูกทั่วทั้งร่างมีเสียงกร๊อบดังลั่น เวลานี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากระดูกหักหรือไม่ แต่เขาก็รู้สึกเจ็บปวดและมึนงงไปชั่วขณะ ทว่าพลังชีวิตของเขาคนนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดา อัดแน่นไปด้วยความแข็งแกร่ง ก่อนจะกัดฟันลุกขึ้นยืนทันที ในขณะที่กำลังระบุทิศทางอยู่นั้น ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าในเวลานั้นฝูงผึ้งเพชฌฆาตปรากฏอยู่บนท้องฟ้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นผึ้งเพชฌฆาตกำลังมุ่งตรงมาหาเขาอีกด้วย ผึ้งเพชฌฆาตนั้นรวดเร็วมาก เพียงครู่เดียวเขาก็ถูกรุมล้อมไว้แล้ว

        หลังจากนั้นเพียงแค่สามวินาที ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนออกมา ซึ่งทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นถึงกับขนพองสยองเกล้า ในขณะที่เขาถือดาบเลือดควงไปมาสะเปะสะปะอย่างไร้ทิศทาง โดยเสียงกรีดร้องนั้นดังต่อเนื่องอยู่ไม่นานนักจู่ๆ ก็หยุดลง ร่างแข็งทื่อของเขาก็ล้มลงไปกองกับพื้นไม่ต่างจากท่อนไม้ ทั้งตัวมีแต่รอยปูดบวมจนเกือบจะกลายเป็นทรงกลม รูปร่างที่ปรากฏดูไม่ออกว่าเป็นใคร หน้าอกหยุดเคลื่อนไหวดูเหมือนจะหยุดหายใจมาสักพักแล้ว เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ที่เขาดรอปดาบเลือดออกมา ถึงแม้ว่าฉินโจ้ว นั้นจะมีชื่อสีแดง ก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะดรอปอุปกรณ์ที่มีค่าแบบนี้ออกมาได้ ช่างปาฏิหาริย์เสียจริง แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นในความคิดของทุกคนก็คือ ค่าสถานะประจำตัวของชายคนนี้คงจะอยู่ในระดับสุดยอด

        เมื่อเจ้าของตาย แรดเกราะเหล็กก็หายไป

        เมจธาตุดินเดิมทีวางแผนว่าจะเข้าใกล้ฉินโจ้ว แต่เนื่องจากเขามาช้า เพิ่งจะมาได้ครึ่งทาง ก็พบว่าการต่อสู้ได้จบลงแล้ว ดังนั้นเขาเองก็ฉลาดพอที่จะหยุดเดิน ก่อนจะมองดูฉินโจ้วก้มหยิบดาบเลือดขึ้นมา คงมีแต่ ‘นกในฤดูใบไม้ผลิ’ ที่ยังคงเดินต่อ เมื่อเขาเดินมาถึงฉินโจ้ว คนของเขาทั้งหมดก็ถูกสังหารไปจนหมดสิ้น แต่ถึงอย่างนั้นต่อให้เหลือเขาเพียงแค่คนเดียว ท่าทีของเขายังคงเหมือนเดิม ยังคงหยิ่งผยองอย่างไม่มีใครเทียบ

        “เด็กน้อย ฟังนะ… ฉันไม่สนหรอกนะว่านายเป็นใคร และฉันเองก็ไม่ได้อยากรู้ด้วย ไม่สำคัญว่านายจะมีแบ็คยิ่งใหญ่มาจากไหน ฉันจะบอกนายไว้อย่างหนึ่ง ใครที่ต่อต้านกิลด์สวรรค์จบไม่สวยเลยสักคน ถึงอย่างนั้นฉันเองก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล นายทำงาน นายก็ต้องได้รับอะไรตอบแทนบ้าง ถึงแม้ว่านายจะมาฉกของที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของฉันก็ตามที ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกโกรธมาก แต่ทว่าถ้านายยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อล่ะก็ ส่งของที่อยู่ในลังนั่นมาซะ ของที่ดรอปออกมาจากปีศาจต้นอู๋ถงกลายพันธุ์นั้น นายสามารถเก็บมันไว้ได้ชิ้นหนึ่ง ส่วนที่เหลือจงส่งมันมา ฉันไม่ได้อยากจะข่มขู่นายหรอก แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่ระดับเลเวล ของนายไม่ต้องลดลง เพื่อที่นายและเพื่อนของนายจะได้ไม่ต้องไปสัมผัสชีวิตที่สงบสุขของหมู่บ้านโนวิสอีกครั้ง นึกถึงระดับเลเวลของหญิงสาวคนนี้บ้าง ฉันคิดว่านายน่าจะฉลาดที่จะเลือกนะ นายเห็นด้วยกับฉันไหม?”

        “ถ้าผมตอบว่าไม่ล่ะ” ฉินโจ้วยิ้มอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำขู่ของอีกฝ่ายเลย

        “ทำไมคนหนุ่มสาวสมัยนี้ ถึงได้พูดอะไรไม่ค่อยจะฟังกันบ้างเลยนะ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าที่ทำอยู่นี่ก็เพื่อตัวนายทั้งนั้น ที่สำคัญฉันน่ะ…“ ผู้เล่นใบไม้ผลิได้แต่ทอดถอนใจออกมา ด้วยท่าทีที่ไม่ยอมแพ้นั้นทำให้เขาเต็มไปด้วยความโกรธ ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเขากำลังจะพูดอะไรออกมา เขากลับยกค้อนของเขาขึ้น รังสีเริ่มส่องประกายแสงระยิบระยับออกมา

        ‘งูสายฟ้าเริงระบำ’

        ‘เขย่าวิญญาณ’

        ‘เขย่าวิญญาณ’

        กระแสลมสีเทาอ่อนจางสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่ ‘นกในฤดูใบไม้ผลิ’ ได้ก่อนที่เขาจะปล่อย ‘งูสายฟ้าเริงระบำ’ ออกมา นกในฤดูใบไม้ผลิถึงกับนิ่งค้างไปชั่วขณะ และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ออกมา ฉินโจ้วจึงหยิบมีดสั้นที่ไม่ได้จำกัดอาชีพขึ้นมา ก่อนจะตวัดวาดไปที่คอของ ‘นกในฤดูใบไม้ผลิ’

        เพียงแค่ตวัดมือ เลือดก็กระเซ็นออกมาเป็นสาย

        “ถ้าสัตว์เลี้ยงของฉันยังอยู่มีหรือที่นายจะสามารถจัดการฉันได้” ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่นกในฤดูใบไม้ผลิจะตาย จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีขาวกลับไปเกิดใหม่ และมีอุปกรณ์จำนวนหนึ่งหล่นออกมา

        ฉินโจ้วเหลือบตาไปมองอย่างคาดหวัง แต่กลับรู้สึกท้อใจเล็กน้อยว่าทำไมค้อนมันไม่ดรอปนะ ทันใดนั้นเองดวงตาก็ส่องประกายวาบขึ้นมา ก่อนจะรีบคว้าหมับของบางอย่างขึ้นมาไว้ในมืออย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะเป็นตุ๊กตาหุ่นเชิดตัวหนึ่ง มีอวัยวะบนใบหน้าครบถ้วน ลักษณะยืดหยุ่นได้คล้ายกับมีชีวิต

        ตุ๊กตาแทนตัว : เวลาใช้ให้หักทำลายในช่วงเวลาฉุกเฉิน สามารถรับการโจมตีที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตแทนได้

        ซึ่งในปัจจุบันนี้ยังไม่มีตุ๊กตาแทนตัววางขายในตลาด สำหรับสิ่งนี้ฉินโจ้วเพียงแค่ได้ยินมาเท่านั้น แต่ยังไม่เคยเห็นตัวจริงมาก่อนเลย รู้เพียงแต่ว่ามีราคาค่อนข้างสูงมาก และหาซื้อไม่ได้ในตลาด เป็นของที่มีค่ามาก สมบัตินี่มันเป็นสุดยอดสมบัติอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อไปสิ่งนี้มูลค่าจะพุ่งเร็วกว่านี้เมื่อนำไปเทียบกับทองคำ ถ้าข่าวลือนี้แพร่กระจายออกไป ช่องว่างที่เอาไว้เก็บยาน้ำเพิ่มพลังทั้งหลายคงจะดีกว่าถ้าเอาไว้ใส่ตุ๊กตาแทนตัว

        ช่างน่าเห็นใจ ‘นกในฤดูใบไม้ผลิ’ ยิ่งนัก ในมือของตุ๊กตาแทนตัวนั้นว่างเปล่า น่าเสียดายที่ร่างกายหยุดนิ่งค้าง ทำให้ไม่สามารถเรียกใช้งานตุ๊กตาแทนตัวได้ ผลสุดท้ายสมบัติก็ได้สูญสลายหายไป ฉินโจ้วเองก็รู้สึกหวาดกลัวไปชั่วขณะ แต่โชคดีที่ ‘เขย่าวิญญาณ’ สามารถใช้ได้กับทั้งภูตผีและวิญญาณ ถ้าเป็นเวทชนิดอื่น หรือถ้าหากไม่ได้คิดคำนวณอย่างถี่ถ้วน ผลอาจจะกลายเป็นล้มคว่ำไม่เป็นท่าก็เป็นได้

        เมามายซบตักสาวงาม นายล้างคอรอฉันไว้ได้เลย เรื่องระหว่างเรายังไม่จบเพียงแค่นี้แน่ ทองคำราตรีพูดจบก็ดีดนิ้วเรียกใช้ม้วนคัมภีร์เวทกลับเมือง ก่อนจะนำคนของเขากลับไปด้วย

        ฉินโจ้วหัวเราะเยาะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

        นายเจ๋งดีนี่นา ผมชื่อ ‘นกราตรี’ ถ้ามีโอกาสคงได้พบกันใหม่ ผู้ใช้เวทธาตุดินเดินตรงเข้ามาหากำหมัดประสานมือแสดงความเคารพให้กับฉินโจ้ว และเดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย ฉินโจ้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทันใดนั้นเมื่อหันหลังกลับไปมอง ก็พบว่ายอดเขาไท่ซานนั้นไม่รู้ว่าจากไปตั้งแต่เมื่อไร

        เข้าใจแจ่มแจ้ง ไม่แสร้งทำ ต้องลงมือเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ ไม่แปลกใจเลยถึงได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญได้

Author Glory Forever