“ฉันมีคำถาม ไป๋อี้ คุณได้สัมผัสกับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่นหลายต่อหลายครั้ง แต่ทำไมคุณกับโม่โม่จึงมีเพียงการแสดงออกของยีนผีเสื้อเท่านั้น” เมย์ริสพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันและสงบนิ่ง
“คำถามนี้ง่ายมาก จริง ๆ แล้วจำนวนการผสานรวมยีนของเซลล์ดัดแปลงถูกกำหนดโดยระดับของเซลล์ดัดแปลงตั้งแต่ LV1-LV9 ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนครั้งในการผสานยีน 1-9 ครั้ง การที่โม่โม่และฉันได้ผสานรวมกับยีนของผีเสื้อเท่านั้นมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ……!” ไป๋อี้พูดอย่างใจเย็น
LV1!
ทุกคนต่างตกตะลึงระคนไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ มันคือความรู้สึกอะไรกัน ความเห็นใจงั้นเหรอ? ถ้าระดับเซลล์ดัดแปลงอยู่ใน LV1 ก็เป็นความจริงที่ว่าจะสามารถผสานรวมยีนได้เพียงยีนเดียวเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือสิ่งที่ไป๋อี้พูดก่อนหน้านั้นเกี่ยวกับการผสานรวมกับยีนกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งนั้นจะไม่มีผลใด ๆ กับไป๋อี้และโม่โม่ ยิ่งไปกว่านั้นความแข็งแกร่งของทุกคนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับของเซลล์ดัดแปลงทั้งสิ้น
“ดูท่าทีของพวกคุณสิ อันที่จริงอาจจะไม่ใช่เพราะ LV1 ก็ได้ แต่ยังมีอีกความเป็นไปได้ว่าหนึ่งตำแหน่งการผสานรวมยีนของฉันกับโม่โม่ล้วนแต่ผสานรวมกับยีนของผีเสื้อแล้วทั้งสิ้น แม้ว่าเช่นนี้จะเหมือนกับว่าไม่สามารถผสานรวมยีนกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ได้อีก แต่ก็ไม่ใช่ว่าระดับของเซลล์ดัดแปลงจะเป็น LV1 ซะทีเดียว” ไป๋อี้กล่าวอย่างโล่งใจ
คนอื่น ๆ ได้ยินดังนั้นก็อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อพวกเขาเห็นการแสดงออกของไป๋อี้ พวกเขาก็ไม่ได้ยกหัวข้อนี้ขึ้นมาพูดอีกต่อไป เพราะเกรงว่าบรรยากาศจะหนักหน่วงไปมากกว่านี้
“ตามที่ฉันได้พูดไปแล้ว ฉันจะเตือนคุณอีกครั้งว่าจำนวนตำแหน่งการผสานรวมยีนนั้นมีจำกัด และอาจจะไม่สามารถผสานรวมกันได้ถึง 9 ครั้งตอนนี้พวกคุณได้ผสานรวมยีนบางตัวเข้าไปแล้ว พวกคุณควรคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับทางเลือกต่อไปของพวกคุณ” ไป๋อี้กล่าวย้ำเตือนอีกครั้ง
ทุกคนต่างก็คิดไตร่ตรองเรื่องนี้เมื่อได้ยินถึงปัญหาที่แท้จริง!
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง!” เมย์ริสพูดต่อ ทุกคนต่างมีสีหน้าตึงเครียดอีกครั้ง จากนั้นก็มองไปที่เมย์ริสอย่างประหม่า หวังว่ามันคงไม่ใช่ข่าวร้าย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดีนัก จากสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมของเมย์ริสมันต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ ๆ
“ไป๋อี้ การฟื้นตัวของนายช้ากว่าวูล์ฟและคนอื่น ๆ!”
“อะไร?”
“ตอนที่คุณได้รับการช่วยเหลือที่ฐานใต้ดิน อาการบาดเจ็บของคุณนั้นเบากว่าวูล์ฟและหยูหานเล็กน้อย แต่อัตราการฟื้นตัวของคุณช้ากว่าพวกเขามาก คุณหมดสติไปสามวันติดต่อกัน หากลักษณะชีพจรของคุณไม่มั่นคงพอฉันคงคิดว่าคุณกำลังจะตาย” เมย์ริสกล่าว ซาร่าก็พยักหน้าเห็นด้วย แม้ว่าเธอจะเป็นเพียงพยาบาลแต่ความสามารถทางการแพทย์ของซาร่าก็เก่งไม่แพ้กัน
“ฉันถามวูล์ฟและมาร์ตินเกี่ยวกับสถานการณ์การต่อสู้ในตอนนั้นและตรวจสอบอาการบาดเจ็บของคุณอย่างละเอียด ดังนั้นฉันจึงรู้ว่าอาการบาดเจ็บของคุณส่วนใหญ่เป็นบาดแผลบริเวณผิวแขนซ้าย หน้าอก และหน้าท้อง แต่คุณไม่สังเกตเหรอ? สิ่งที่ยังไม่ฟื้นตัวจริง ๆ คือทั้งร่างกายของคุณ หรือกล่าวได้ว่ามันคือ … เซลล์ดัดแปลง!” เมย์ริสกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ไป๋อี้มองไปที่เมย์ริสด้วยความตกใจ จากนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาแสบร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
……
อารมณ์ที่รุนแรงผ่านเสียงร่ำร้องที่เงียบงัน มันเป็นเสียงโห่ร้องที่บ้าคลั่ง ทันใดนั้นกล้ามเนื้อทั่วร่างกายของไป๋อี้ก็เริ่มเต้นแรง ลวดลายสีที่เกิดจากยีนของผีเสื้อบนใบหน้าของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นถึงหนึ่งในสามทันที …… ในชั่วพริบตาเดียวกล้ามเนื้อทั่วร่างกายของไป๋อี้ก็เริ่มไหม้อย่างรุนแรง ความรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขากำลังลุกเป็นไฟ เสียงร้องอย่างบ้าคลั่งดังออกมาราวกับอยากจะทำลายทุกสิ่งให้พินาศไป
มันเกิดขึ้นสองครั้ง ครั้งหนึ่งตอนที่เขาช่วยมาร์ติน อีกครั้งหนึ่งตอนที่เขาถูกหยูหานเตะกระแทกกับกำแพง!
……
ไป๋อี้ตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหันและหายใจหอบ ในขณะนี้ทุกคนต่างจ้องเขม็งไปที่ไป๋อี้อย่างจริงจังโดยเฉพาะบริเวณเส้นหลากสีบนใบหน้าของไป๋อี้
“คุณจำอะไรได้ไหม”
“อ๋า เหมือนจะจำอะไรได้นิดหน่อย” ไป๋อี้พยักหน้าช้า ๆ จากความทรงจำเมื่อสักครู่นี้ดูเหมือนตอนนั้นไป๋อี้จะรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อยและรู้สึกรุ่มร้อนจากร่างกายของเขา ที่จริงแล้วเขาคือ……
“มาร์ติน คุณรู้ไหมว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เมย์ริสถาม
“ไม่ ฉันไม่เคยพบเจอสถานการณ์แบบนี้ อันที่จริงความเข้าใจของคุณเกี่ยวกับร่างทดลองอาจจะรู้ครอบคลุมมากกว่าฉันเสียอีก เพราะฉันไม่ใช่นักวิจัยหลักในสถาบันวิจัย” มาร์ตินกล่าวความจริง มาร์ตินพูดแบบนี้ตั้งแต่พบกันแล้วว่าเขานั้นไม่ใช่สมาชิกหลักของทีมนักวิจัย
เมย์ริสตรวจดูไป๋อี้อย่างละเอียดอีกครั้งและหลังจากเธอเคร่งเครียดอยู่นานเธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ไม่มีความผิดปกติอะไร! เรามีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับเซลล์ดัดแปลง ดังนั้นเราจึงไม่สามารถให้คำแนะนำเพิ่มเติมแก่คุณได้ นั่นคือคุณต้องระวังตัวให้ดี” เมย์ริสบอกกับไป๋อี้หลังจากตรวจเสร็จแล้ว
“อื้ม เข้าใจแล้ว” ไป๋อี้พยักหน้ารับ
“ทุกคนเข้าใจเกี่ยวกับการผสานรวมยีนด้วยตนเองแล้ว ดังนั้นเราจะแบ่งกลุ่มกัน พวกเราครึ่งหนึ่งอยู่ที่นี่คอยดูแลรถ และอีกครึ่งหนึ่งไปที่สวนนิเวศวิทยากัน” ไป๋อี้ไม่ได้สูญเสียเซลล์สมองไปกับความผิดปกติของร่างกายแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามความผิดปกติที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ถึงแม้จะกังวลไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ไป๋อี้จึงไม่ได้สนใจมากนัก และในที่นี้ไป๋อี้ก็นับได้ว่าเป็นผู้ควบคุม
“หงฉี่ฮว๋า, โม่โม่, มาร์ติน, ซาร่า, หนูน้อยเวอร์เนอร์, ชาร์ไป่ และพูพู พวกคุณอยู่ที่นี่ ส่วนฉัน, วูล์ฟ, เมย์ริส และเฮลัวส์ พวกเราจะไปที่สวนนิเวศวิทยา” ไป๋อี้กล่าว
“ไป๋อี้ แล้วอาการบาดเจ็บของคุณล่ะ!”
“ไม่เป็นไร ตราบใดที่ฉันไม่ได้ต่อสู้ตัวต่อตัวอาการบาดเจ็บของฉันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ถ้าเจออันตรายอะไรฉันจะให้วูล์ฟ จัดการใช่ไหมวูล์ฟ” ไป๋อี้กล่าว
“แน่นอน อยู่ข้างฉันเอาไว้!” วูล์ฟยืนเชิดอกอย่างมั่นใจ
ทุกคนพยักหน้าโดยไม่มีอะไรขัดข้อง การแบ่งกลุ่มนี้มีความสมเหตุสมผลมาก เมื่อมีหงฉี่ฮว๋าอยู่ทุกคนก็สบายใจ เพราะศักยภาพที่โดดเด่นของหงฉี่ฮว๋านั้นชัดเจนและโดดเด่นมากสำหรับทุกคน ไป๋อี้ วูล์ฟ และเฮลัวส์ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันได้ดี นอกจากนี้ยังมีเมย์ริสตามมาด้วย เมื่อพวกเขาได้รับบาดเจ็บเธอก็จะสามารถปฐมพยาบาลได้ทันท่วงที
……
ไป๋อี้ถือปืนพกและดาบคะตะนะไปด้วย วูล์ฟถือง้าวและปืนกล เฮลัวส์เองก็ถือปืนพกเช่นเดียวกันและรวมไปถึงมีดสั้นของเธอด้วย เมย์ริสเป็นคนคอยปฐมพยาบาล เธอจึงถือชุดปฐมพยาบาลมาด้วย แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะพกมีดสั้นของเธอเช่นกัน
ความสำคัญของอาวุธเบาที่ไป๋อี้บอกกับหงฉี่ฮว๋านั้นเขาได้บอกกล่าวกับทุกคนเช่นกัน ดังนั้นนับตั้งแต่นี้ไปนี้ทุกคนจึงคิดที่จะทำความคุ้นเคยกับอาวุธเหล่านี้ให้มากขึ้น
“ไปห้องที่เอาไว้ทดลองกันก่อน!” ไป๋อี้กล่าว
“ทำไมล่ะ?” วูล์ฟเอ่ยถาม
“เราต้องหาภาชนะที่เหมาะสม เช่น หลอดทดลอง ขวดน้ำยา ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับการกักเก็บเนื้อเยื่อและของเหลวในร่างกายของสิ่งมีชีวิต เราจะไม่ผสานรวมยีนด้วยการกินสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ๆ เข้าไป” ไป๋อี้อธิบาย
เมื่อวูล์ฟเห็นว่าคนอื่น ๆ ไม่ได้คัดค้าน พวกเขาจึงเดินทางไปหาห้องทดลองที่ไว้ใช้ปฏิบัติการ
ทุกคนไม่เคยมาที่โรงเรียนมัธยมต้นโอโทโรฮังกามาก่อนเว้นก็แต่เฮลัวส์ พื้นที่บริเวณโรงเรียนนี้ค่อนข้างกว้างขวางพอสมควรนั่นเพราะนิวซีแลนด์มีประชากรเบาบาง พวกเขาวนเวียนอยู่ในอาคารสอนหลายครั้ง ถ้าเฮลัวส์ไม่เคยมาที่โรงเรียนนี้เกรงว่าทุกคนคงจะต้องหลงทางแน่ ๆ
“ที่นี่ค่อนข้าใหญ่มากจริง ๆ” วูล์ฟอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาเมื่อเห็นเฮลัวส์เงี่ยหูฟังที่ประตูประตูมีขนาดใหญ่กว่าปกติที่ควรจะเป็น วูล์ฟเหลือบมองไปที่ประตูสองสามครั้ง เขาตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปเนื่องจากขนาดร่างกายปัจจุบันของเขา แม้แต่การเดินไปตามทางเดินก็ดูจะแออัดไปสักเล็กน้อยสำหรับเขาเลย
“ที่นี่คือสถานที่ที่วางอุปกรณ์การทดลอง คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่!” เฮลัวส์พูดด้วยความคิดถึงเมื่อเห็นว่าห้องมันมืด ด้วยสัญชาตญาณเมย์ริสจึงกดเปิดสวิตช์ไฟ
ทันใดนั้นหลอดไฟก็สว่างขึ้น ไป๋อี้เงยหน้าขึ้นมอง
“ที่นี่ยังมีไฟฟ้าใช้เหรอ?” ไป๋อี้ถามอย่างสงสัย
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ก็เป็นเวลานานแล้วที่ไฟดับทั้งเมือง มีเพียงเครื่องผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในฐานซึ่งแทบจะไม่สามารถให้พลังงานไฟฟ้าที่เพียงพอสำหรับการใช้งานประจำวันได้เลย
“ฉันแค่เปิดไฟตามสัญชาตญาณ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เมย์ริสส่ายหัว เมื่อเธอเข้าไปในห้องเธอเห็นว่ามันมืดสนิทจึงเปิดไฟโดยไม่รู้ตัว อันที่จริงเธอไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำว่าที่นี่จะมีไฟฟ้าหรือไม่
“เฮลัวส์ คุณรู้ไหมว่านี่มันอะไร?”
“บางทีนักเรียนที่นี่อาจจะทำขึ้นมาเอง” เฮลัวส์ตอบอย่างไม่มั่นใจนัก
“นักเรียน!”
“อื้ม โรงเรียนมัธยมต้นโอโทโรฮังกาให้ความสำคัญกับความสามารถที่นำมาใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวัน ที่นี่จึงมีชมรมมากมาย นี่อาจเป็นผลงานมาจากชมรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเหล่านั้นก็เป็นได้ แต่ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร” เฮลัวส์อธิบาย
นักเรียนทำขึ้นเองงั้นเหรอ ไป๋อี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นักเรียนชาวจีนมีเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่เป็นเด็กเนิร์ดเช่นนี้
หากจะให้พวกเขาทำอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าที่ให้พลังงานไฟฟ้าสำหรับทั้งโรงเรียนคาดว่าคงเป็นไปได้ในทางทฤษฎี … เฉพาะในทางทฤษฎีเท่านั้น แต่ตอนนี้ไป๋อี้ไม่สนใจเรื่องนี้ เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าไฟฟ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร ตราบเท่าที่เขารู้ว่ามีไฟฟ้าก็เพียงพอแล้ว ไป๋อี้เลือกเครื่องขัดเงาเพื่อต้องการแปรรูปวัตถุบางอย่าง ในตอนแรกเขาคิดที่จะไปที่อื่นเพื่อหาไฟฟ้า แต่ที่นี่จะช่วยลดขั้นตอนยุ่งยากได้มากทีเดียว
“มันเป็นเรื่องดีที่ที่นี่มีไฟฟ้า เอาขวดน้ำยาแล้วเราไปที่สวนนิเวศวิทยากัน” ไป๋อี้กล่าว
พวกเขาร่วมมือช่วยกันหยิบขวดน้ำยามามากกว่าหนึ่งโหลจากห้องปฏิบัติการ จากนั้นก็นำมาใส่ไว้ในกล่อง เมย์ริสแบกชุดปฐมพยาบาลและกล่องขึ้นหลังทีละอย่าง ในเวลานี้ไป๋อี้ไม่ได้แสดงความเป็นสุภาพบุรุษช่วยเหลือเธอเพราะเมย์ริสจะไม่เข้าร่วมการต่อสู้โดยตรง ดังนั้นเธอจึงเหมาะสมที่สุดที่จะถือสิ่งเหล่านี้
……
หงฉี่ฮว๋าและคนอื่น ๆ หลังจากตั้งแนวป้องกันแบบง่าย ๆ เพื่อป้องกันอันตรายแล้ว ทุกคนก็หยุดพักผ่อน หนูน้อยเวอร์เนอร์กำลังเล่นมีดที่ไป๋อี้ช่วยเอาให้เขา และบางครั้งเขาก็เหลือบมองไปที่โม่โม่ซึ่งกำลังหยอกล้อกับพูพูอยู่ข้าง ๆ ตำแหน่งยีนทั้งหมดของโม่โม่ถูกผสานรวมเข้ากับยีนของผีเสื้อแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะผสานรวมกับยีนของพูพูอีก และโม่โม่ก็ชอบสัตว์เลี้ยงที่มีหูใหญ่ตัวแบบเจ้านี้มาก
“กำลังคิดอะไรอยู่?” หงฉี่ฮว๋าเข้ามาหาหนูน้อยเวอร์เนอร์
“ไม่ได้คิดอะไรครับ!” หนูน้อยเวอร์เนอร์ตอบกลับหงฉี่ฮว๋า
หงฉี่ฮว๋ามองไปในแววตาที่บริสุทธิ์ของหนูน้อยเวอร์เนอร์และแน่ใจว่าหนูน้อยเวอร์เนอร์ไม่ได้คิดอะไรอยู่จริง ๆ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในนิวซีแลนด์และการเสียชีวิตของพ่อแม่ สำหรับเด็กน้อยนั้นเกรงว่าเขาอาจจะยังไม่เข้าใจนัก แม้ว่าหนูน้อยเวอร์เนอร์จะรู้เรื่องรู้ราวอะไรอยู่บ้าง แต่ในเวลานี้เขาก็ไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าจะปรับตัวให้เข้ากับโลกได้อย่างไร