มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 1 บทที่ 26 ไม่ธรรมดาเลยสักนิด 

        ช่วงเวลานี้ในชาติก่อน ยามที่นางถูกเนรเทศ นางโดนตามฆ่านับครั้งไม่ถ้วน เกือบตายอยู่หลายหน

        ทว่าชาตินี้กลับพักผ่อนอย่างสบายในยามบ่าย ร่วมร่ำสุรากับบุรุษสามคนที่โด่งดังที่สุดในเมืองชุ่นเทียน

        ชาตินี้ โชคชะตาของนางได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ งั้นหรือ?

        เช่นนั้น โชคชะตาของบุรุษทั้งสามคนตรงนี้เล่า?

        เหนียนยวี่เหลือบตามองจ้าวอี้และจ้าวเยี่ยน จากนั้นเบนสายตามองฉู่ชิง ความลับที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ในชาติก่อนของบุรุษผู้นี้ ในชาตินี้จะยังคงจบลงที่โดนลอบสังหารเช่นครั้งนั้นหรือไม่?

        เหนียนยวี่ครุ่นคิด เสียงฉินของจ้าวอี้หยุดลง เขาเดินไปทางด้านหลังของจ้าวเยี่ยน จ้องมองภาพทิวทัศน์บนภาพวาดนั้น อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชม “ทิวทัศน์อันงดงามของเกาะใจกลางทะเลสาบแห่งนี้ ทั้งหมดปรากฏอยู่ในภาพวาดของท่านพี่ น่าเสียดาย…เหมือนว่ามีบางอย่างขาดหายไป

        จ้าวอี้ครุ่นคิด ครั้นพูดจบเขาก็ก้าวเท้าเดินไปยังใต้ต้นหลิว มือดึงเหนียนยวี่ให้ลุกขึ้นก่อนจะลากนางไปทางจ้าวเยี่ยน “ยวี่เอ๋อร์ดูสิ เจ้าคิดว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไปหรือไม่?”

        สายตาของเหนียนยวี่จ้องมองภาพนั้น หลีอ๋องจ้าวเยี่ยนชำนาญฉิน ชำนาญหมากล้อมแลเขียนพู่กัน รวมถึงภาพเขียนทุกประเภท ในชาติก่อน นางได้รู้ว่าการวาดของเขา…

        สิ่งข้าถนัดที่สุดก็คือการวาดคน วาดสาวงาม วาดสนามรบ สาวงามที่กล้าสู้รบสังหารศัตรู…

        คำพลอดรักของจ้าวเยี่ยนในชาติก่อนพลันดังก้องขึ้นในหัวของเหนียนยวี่ นัยน์ตานางฉายแววซับซ้อน ราวกับมึนเมาจนมิอาจควบคุมอารมณ์บางอย่างได้ เหนียนยวี่ฮึมฮัมแผ่วเบา “ขาดหายไป ขาดหายไปจริงๆ !”

        ขาดหัวใจไปดวงหนึ่ง หัวใจที่จริงใจ!

        จ้าวเยี่ยนได้ยินเข้า แน่นอนว่าเขาไม่มีทางรู้ว่าสิ่งเหนียนยวี่เอ่ยนั้น นางกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะเป็นเช่นนั้น ใบหน้าหล่อเหลาจึงยังคงมีรอยยิ้มปรากฏฉายชัด

        ผ่อนคลายชั่วประเดี๋ยว จ้าวอี้ก็ลากคนไม่กี่คนตรงนั้นกลับไปร่ำสุรากันอีกครั้ง จนกระทั่งพลบค่ำ จ้าวอี้ก็เมามากจนเดินโซซัดโซเซ

        ยวี่เอ๋อร์ ข้าจะไปส่งเจ้าเอง” คนทั้งสี่นั่งเรือออกจากเกาะกลางทะเลสาบ ยามที่ลงเรือ แขนของจ้าวอี้เกยอยู่บนไหล่ของเหนียนยวี่ สภาพเมามายจนไม่ได้สตินั้นช่างแตกต่างกับบุรุษหล่อเหลาผู้นั้นในวันธรรมดาเป็นอย่างมาก

        ไม่รบกวนมู่อ๋องแล้วเพคะ เหนียนยวี่จะกลับจวนเองเพคะ” จ้าวอี้ทำให้เหนียนยวี่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชาติก่อนนางเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบค่ายทหาร ในค่ายทหาร สุราถูกเตรียมกันเป็นปกติ ความสามารถในการดื่มสุราของนางถูกฝึกฝนมาอย่างดี แม้จะดื่มเป็นเวลาสามวันสามคืน นางก็รับมือได้

        ทว่าร่างกายในยามนี้ยังไม่ค่อยชินกับสุรานัก นางในเวลานี้รู้สึกมึนเมาสะลึมสะลือบ้างเล็กน้อย

        อี้เอ๋อร์ ยวี่เอ๋อร์เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะให้คนไปส่งนางเอง” จู่ๆ จ้าวเยี่ยนพลันพูดขึ้น ในบรรดาคนไม่กี่คนตรงนั้น เขาดื่มน้อยที่สุด

        เหนียนยวี่รู้ดีว่าบุรุษผู้นี้ไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่ยอมให้ตนเองเมาจนไม่ได้สติเช่นจ้าวอี้

        ทว่าเขาจะให้คนไปส่งนางหรือ?

        จิตใต้สำนึกของเหนียนยวี่ต้องการจะปฏิเสธ ทว่ายังไม่ทันเอ่ย ฉู่ชิงก็เดินเข้ามา “ท่านอ๋องหลีดูแลท่านอ๋องมู่เถิด ส่วนคุณหนูรองสกุลเหนียน…ข้าจะไปส่งให้เอง”

        อาจเพราะควบคุมดูแลอำนาจยิ่งใหญ่มาตลอด น้ำเสียงนี้แม้อยู่ต่อหน้าองค์ชายทั้งสอง ก็ยังคงแข็งแกร่งองอาจแลสง่างาม

        ตกลง ให้จื๋อหร่านไปส่ง” จ้าวอี้ตบอกฉู่ชิงเบาๆ กล่าวเตือนอย่างมึนเมา “เจ้าต้องไปส่งญาติผู้น้องของข้าถึงจวนเหนียนอย่างปลอดภัยนะ”

        ฉู่ชิงไม่ได้เอ่ยตอบ คนสองคนสบสายตากัน สุดท้ายจ้าวอี้ก็ผลักเหนียนยวี่ไปทางฉู่ชิง

        ด้วยกำลังของจ้าวอี้นั้น เหนียนยวี่ที่ไม่ทันป้องกันจึงชนเข้ากับอ้อมอกของฉู่ชิง

        สัมผัสเช่นนั้น จิตใต้สำนึกของเหนียนยวี่คิดอยากจะหนีออกไป ทว่าฝ่ามือใหญ่ยังคงโอบไหล่นางเอาไว้ อุณหภูมิจากฝ่ามือนั้น ทำให้อาการสะลึมสะลือมึนเมาของเหนียนยวี่สร่างลงไปมากกว่าครึ่ง

        ฉู่ชิงจะไปส่งนางหรือ?

        เหนียนยวี่อดไม่ได้ที่จะร่ำไห้ในใจ การอยู่กับท่านแม่ทัพหลวงผู้นี้ยังน่ากลัวยิ่งกว่าการอยู่สองต่อสองกับหลีอ๋องร้อยเท่า

        ทว่าตัวการที่ก่อหายนะนั้นกลับมึนเมาจนเผลอเรอออกมา เขากล่าวอย่างขำขันเล็กน้อยว่า “จื๋อหร่าน เจ้าอย่ารังแกเสี่ยวยวี่เอ๋อของข้าเล่า”

        ฉู่ชิงขานรับคำพูดนั้น แม้นจะเห็นสีหน้าอารมณ์ของเขาได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่าแค่เสียงนั้นเพียงเสียงเดียวก็ฟังออกถึงความสุขได้อย่างคลุมเครือ

        จ้าวอี้จึงหมุนตัวกลับอย่างวางใจ เดินโซซัดโซเซผละจาก โชคดีที่จ้าวเยี่ยนคว้าเขาได้ทันท่วงทีและช่วยประคองเขาพาไปส่งที่ห้อง

        ไปกันเถิด คุณหนูรอง” ฉู่ชิงเหลือบมองเหนียนยวี่ น้ำเสียงนั้นฟังดูค่อนข้างอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก

        เหนียนยวี่ส่งยิ้มให้ฉู่ชิง ในใจคิดว่าจะปฏิเสธความเมตตาของท่านแม่ทัพได้อย่างไร ทว่าฉู่ชิงราวกับจะรู้ทันความคิดของนาง

        ได้รับความไว้วางใจแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด นี่คือหลักการของข้า คุณหนูรองอย่าเปลืองสมองคิดปฏิเสธเลย”

        ประโยคง่ายๆ ปิดกั้นหนทางของเหนียนยวี่ เหนียนยวี่สูดหายใจลึกและหยุดดิ้นรนอย่างไร้ความหมาย “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนท่านแม่ทัพหลวงแล้วเจ้าค่ะ

        เหนียนยวี่ย่อเข่าคำนับฉู่ชิงด้วยท่าฝูเชิน เดินนำหน้าไปยังประตูจวนมู่อ๋อง

        เหนียนยวี่ขึ้นรถม้า เดิมคิดว่าฉู่ชิงจะขี่ม้า ทว่าคาดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่นางนั่งลง บุรุษผู้นั้นก็ตามเข้ามาด้วย เหนียนยวี่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ฉู่ชิงก็สั่งคนขับรถม้าออกเดินทางทันที

        ภายในรถม้า ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน เหนียนยวี่มองอารมณ์สีหน้าภายใต้หน้ากากนั้นได้ไม่ชัดนัก ทว่าแววตานั้นกลับจ้องมองมาที่นางอย่างกระสับกระส่ายร้อนรน ทำให้นางรู้สึกอึดอัดเมื่อได้เห็น

        เหนียนยวี่แอบคาดเดาในใจ ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่นางเผลอทำลายความลับของเขานะ?

        ฉู่ชิงผู้นี้ติดตามนางประหนึ่งเป็นเงาจริงๆ หรือเขาคิดจะจับตามองนางเช่นนี้ไปชั่วชีวิตงั้นหรือ?

        ท่านแม่ทัพหลวง” หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว นางก็หันไปสบตากับดวงตาสีนิลคู่นั้น “เหนียนยวี่ยังคงกล่าวเช่นเดิมว่า วันนั้นข้าไม่เห็นอะไรเลย การไม่ยุ่งกงการอะไรของชาวบ้านคือหลักการของข้า ดังนั้นท่านแม่ทัพหลวงโปรดวางใจ ท่านไม่ต้องจ้องมองสตรีตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ อยู่ตลอดเวลาเช่นนี้”

        ธรรมดาหรือ?” ฉู่ชิงหัวเราะเบาๆ “สำหรับเจ้า คำว่าธรรมดา แม้สักนิดก็หาได้มีไม่ พรุ่งนี้ก็จะได้เป็นธิดาบุญธรรมขององค์หญิงใหญ่ ไม่รู้ว่าวันถัดไปจะกลายเป็นชายาของมู่อ๋องหรือไม่”

        ชายาของมู่อ๋องหรือ?

        ท่านแม่ทัพหลวงกล่าวล้อเล่นแล้ว เหนียนยวี่ไม่เคยกล้าคิดเช่นนั้น” เหนียนยวี่รู้สึกขำขันมาก ในใจนางยังอึดอัดกับท่าทีใกล้ชิดเช่นนั้นของจ้าวอี้อยู่บ้าง ทว่าเขาร้ายกาจตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งเขาไม่ให้ทำอะไรได้ แล้วนางจะหยุดมันได้อย่างไร?

        ยิ่งไปกว่านั้น นางกลับรู้สึกว่า ความใกล้ชิดของจ้าวอี้ไม่ใช่การปฏิบัติต่อนางในฐานะสตรี

        ฉู่ชิงจ้องมองเหนียนยวี่อย่างไม่ละสายตา ราวกับว่ากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง สักพักก็ถอนสายตากลับ

        ในรถม้าเงียบไปชั่วขณะ จนกระทั่งรถม้าหยุดลง เหนียนยวี่ยื่นตัวออกไปนอกรถม้าได้ครึ่งตัว เสียงเบาๆ ของบุรุษด้านหลังก็เปล่งขึ้นมา…

        เรื่องของราชวงศ์ หากเจ้าก้าวเข้าไปพัวพันแล้ว จะไม่มีทางถอยออกมาได้อีก คุณหนูรองเป็นคนฉลาด ควรจะใช้ชีวิตอย่างไร ควรคิดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ”

        เหนียนยวี่สะดุ้งเล็กน้อย

        ที่เขาพูดก็ไม่ผิดนัก ราชวงศ์นั้นปั่นป่วนราววายุและเมฆา แม้นภายนอกจะดูสงบสุข ทว่าแท้จริงแล้วกลับมีคลื่นใต้น้ำอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง นางเคยประสบสิ่งนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว นางรู้จุดนี้ดีเป็นอย่างยิ่ง

        ทว่า…

        ชีวิตจะเป็นเช่นไรต่อ?

        ชาตินี้หนทางที่นางเลือกเดินได้ถูกกำหนดไว้นานแล้ว จ้าวเยี่ยน เหนียนอีหลาน ตระกูลหนานกง นางและพวกเขา กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว หากข้าไม่ตายความแค้นก็ไม่มีวันเลิกราสิ้นสุด!

        ขอบคุณคำชี้แนะของท่านแม่ทัพเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ เหนียนยวี่จะจดจำไว้” เหนียนยวี่เอ่ยกับบุรุษด้านหลัง และก้าวเดินลงจากรถม้าทันที

        ฉู่ชิงเปิดม่าน มองเงาร่างที่กำลังเดินเข้าจวนเหนียน นัยน์ตาสีนิลราวบึงน้ำลึก ไม่ว่าผู้ใดล้วนดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไร…

        ณ ลานเซียนหลาน

        ครั้นยามบ่ายเหนียนยวี่ก็ยังไม่กลับมา เหนียนอีหลานรอจนหมดความอดทน

        เข้าพลบค่ำจนยามนี้ ท้องฟ้าไรแสงอาทิตย์นานแล้ว เหนียนยวี่ยังคงไม่กลับมา นางกับมู่อ๋องกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?

        คุณหนู นางผู้หญิงสารเลวนั่นวันนี้คงไม่ใช่ว่าจะค้างที่จวนมู่อ๋องหรอกนะเจ้าคะ?” ฟางเหอบ่นพึมพำ “ท่านอ๋องมู่เพิ่งเข้าช่วงวัยคึกคะนองพอดี ไม่นานก็คงจะต้องรับชายาเข้าวังแล้ว ถ้าหากนางผู้หญิงแพศยานั่นใช้เสน่ห์หลอกล่อเพื่อดึงดูดท่านอ๋องล่ะก็ คงไม่พ้นวิธีการเปลี่ยนข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก [1] นั่น…”

        หุบปาก!” เหนียนอีหลานตัดบทอย่างรุนแรง ใช้หางตามองฟางเหออย่างดุร้าย “ข้าไม่มีวันยอมให้นาง เหนียนยวี่ได้มีชีวิตเป็นมู่หวังเฟย!”

        แม้นข้าวสารจะกลายเป็นข้าวสุก เหนียนอีหลานจะไม่ยอมให้ท่านอ๋องมู่แต่งงานกับเหนียนยวี่เด็ดขาด

        ใช่ ใช่ ใช่แล้วเจ้าค่ะ นางผู้หญิงแพศยานั่นจะเป็นมู่หวังเฟยได้เยี่ยงไร กล่าวได้เลยว่าพวกเราเมืองชุ่นเทียนมีเพียงแค่คุณหนูคนเดียวที่เหมาะสมกับมู่อ๋องเจ้าค่ะ” ฟางเหอกล่าวคล้อยตามทันที เหลือบมองออกไปนอกประตู เอ่ยหยั่งเชิงว่า “จะให้บ่าวออกไปสืบให้หรือไม่เจ้าคะ?”

        ไปเถิด” เหนียนอีหลานโบกมือ สูดหายใจลึก

        สิ่งที่ฟางเหอพูดเมื่อกี้ แม้ว่านางจะไม่ชอบฟังนัก ทว่านางก็ต้องยอมรับว่าเหนียนยวี่ได้คุกคามนางอย่างใหญ่หลวงแล้ว

        นางควรทำอย่างไร?

        หากมู่อ๋องพอใจเหนียนยวี่เข้าแล้วจริงๆ จนขอพระราชทานพระราชโองการให้ได้สมรสกับนาง ด้วยความโปรดปรานของฝ่าบาทที่มีต่อมู่อ๋อง ไม่แน่ว่าฝ่าบาทอาจจะอนุญาต แม้นจะไม่สามารถเป็นชายาเอกได้ ทว่าตำแหน่งชายารองก็อาจเป็นไปได้

        เหนียนอีหลานขมวดคิ้ว กำผ้าเช็ดหน้าปักลายแน่น เมื่อนึกถึงใบหน้าของเหนียนยวี่ ความดุร้ายในใจก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น…

        ฟางเหอออกไปได้ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ย้อนกลับมา ปิดประตูลง รีบเร่งเข้าไปรายงานเหนียนอีหลานเบาๆ  “นางกลับมา กลับมาแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเพิ่งไปที่ประตูก็เห็นนางสารเลวตัวนั้นลงมาจากรถม้าเจ้าค่ะ”

        มู่อ๋องมาส่งนางด้วยตัวเองงั้นหรือ?” เหนียนอีหลานลุกขึ้นทันที จ้องมองฟางเหอ หัวใจยังคงไม่คลายกังวล

        ฟางเหอขมวดคิ้ว “บ่าวไม่เห็นสิ่งใดนอกจากนางสารเลวนั่นกำลังลงจากรถม้า ทว่า…ใช่แล้วเจ้าค่ะ บ่าวแอบเห็นมือหนึ่งเปิดม่านออก ดูราวกับมือของบุรุษเลยเจ้าค่ะ”

         

        เชิงอรรถ

        [1] ข้าวสารเป็นข้าวสุก หมายถึง เรื่องราวดำเนินไปแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้

         

Author Jinovel