ภายในรถม้า ทั้งสองคนนิ่งไม่ไหวติง
ชิงอีถูกชายหนุ่มขังไว้ในอ้อมกอด แขนของเขาเสมือนคีมเหล็กที่ล็อกช่วงเอวของนางไว้ ทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้
นิ้วของชายหนุ่มลากผ่านหัวไหล่ที่มีแผลเป็นนูนกว้างประมาณหนึ่งนิ้ว ดูแล้วคงเป็นแผลที่มีมานานแล้วอย่างแน่นอน
สายตาของเซียวเจวี๋ยค่อยๆ เคร่งขึ้น
“ดูพอหรือยัง?” ชิงอีหันหน้ามองชายหนุ่มด้วยท่าทีนิ่งเฉย ทว่า ปลายจมูกลากผ่านปลายคางของเขาสร้างความรู้สึกจั๊กจี้นิดๆ จนนางต้องขมวดคิ้วน้อยๆ
เซียวเจวี๋ยหลุบตาลงจ้องหน้านางอย่างไม่ละสายตา
ชิงอีถึงสังเกตเห็นว่าจริงๆ แล้วสีตาของชายหนุ่มไม่ได้ดำสนิท ยามมองใกล้ๆ คล้ายกับลูกแก้วคริสตัลสองลูกเสียมากกว่า มันช่างดูโปร่งใสราวกับว่าแสงสามารถทะลุผ่านได้ แต่ดวงตาคู่นี้ยังแลดูลุ่มลึกอย่างไร้ขอบเขต จนผู้อื่นไม่อาจคาดเดาความคิดและอารมณ์ของเขาได้
“ขออภัย ล่วงเกินองค์หญิงแล้ว” เซียวเจวี๋ยพูดด้วยความรู้สึกผิด พลางยื่นมือไปดึงเสื้อนางกลับมาคลุมไว้เรียบร้อยดั่งเดิม แถมรู้ว่าอะไรไม่ควรทำ เพราะนิ้วของเขาไม่ได้สัมผัสตัวนางอีก
ทว่า ตอนนี้ร่างทั้งร่างของชิงอีกำลังนั่งอยู่บนตักและซบลงที่หัวไหล่ของเขา ทำให้ผู้คนนึกถึงครั้งแรกที่ทั้งคู่พบเจอกันอย่างเสียไม่ได้
เพราะครั้งแรกที่พบเจอกันก็มีท่านั่งคล้ายกันกับตอนนี้…
หากเป็นผู้หญิงทั่วไปในยุคราชวงศ์เหยียนมาเจอสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าไม่โวยวายเสียงดัง ก็คงทั้งโกรธทั้งเขินมากเป็นแน่ แต่ชิงอีกลับนั่งนิ่งเฉยเย็นชาตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงบัดนี้
ราวกับรู้ว่าเซียวเจวี๋ยจะทำเช่นนี้มาตั้งแต่แรกอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้างดงามเต็มแสนเย็นชา เย่อหยิ่ง และเฉื่อยชา นอกจากจะไม่มีอาการเขินอายหน้าแดงแล้ว ยังมีอารมณ์นั่งมองชายหนุ่มอย่างพิจารณาอีก
ตั้งแต่เจอกันก็เหมือนว่าเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกครั้ง
ความรู้สึกเช่นนี้…มันก็แปลกใหม่ดี
ชายหนุ่มปล่อยให้ชิงอีไล่สายตามองตนอยู่อย่างนั้น ส่วนท่อนแขนที่ล็อกเอวนางไว้ก็มิได้คลายออกแม้แต่น้อย และยังคงกอดไว้เช่นเดิม ระหว่างเดินทางหลิงเฟิงได้ลอบมองเข้ามาภายในรถม้า เขาถึงกับตกตะลึงจนตาแทบถลนออกจากเบ้า!นั่นมันอะไรกัน! ท่านอ๋องกับองค์หญิงทรงทำอะไรกันกลางวันแสกๆ เนี่ย!
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนไม่ถูกกันไม่ใช่หรือ? ทำไมแค่พริบตาเดียว ถึง ถึงได้มากอดกันได้ล่ะ?
ล้อของรถม้ายังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ชิงอีจ้องหน้าชายหนุ่มมาเนิ่นนานก็เริ่มทนไม่ไหว “ปล่อยมือ”
เซียวเจวี๋ยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธทำเพียงคอเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดจะคลายมือออกแต่อย่างใด ทั้งยังโน้มตัวมากระซิบข้างหูว่า “องค์หญิงทรงเขินงั้นหรือ?”
ชิงอีมองชายหนุ่มอย่างไม่พอใจ
เขิน? กับเจ้าเนี่ยนะ?
แม้เซียวเจวี๋ยจะพูดปนหัวเราะ ทว่า น้ำเสียงกลับค่อนข้างเสียดสีเสียมากกว่า “นั่นสินะ วันนั้นองค์หญิงขืนใจข้าก็ไม่เห็นจะเขินอายอะไร นับประสาอะไรกับเรื่องวันนี้ล่ะ?”
ชิงอีมองชายหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา คำพูดแค่นี้ทำให้นางโกรธหรือโมโหไม่ได้หรอก ปกติแล้วหากใครกล้าพูดเช่นนี้กับนางคงสูญเสียความสามารถในการพูดไปตั้งนานแล้ว
แต่สถานการณ์ตอนนี้ มันไม่ปกติเลยสักนิด!
นี่มันแปลกเกินไปแล้ว! ทำไมพลังเวทของนางถึงใช้กับชายผู้นี้ไม่ได้ผลอีกแล้ว!
มิน่า เจ้าแมวอ้วนถึงได้ถูกเขาจับไว้ ทั้งยังขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ คิดไปคิดมา มันก็คงตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับนางตอนนี้สินะร่างกายของเซียวเจวี๋ยมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่?
ดวงตาคู่สวยของชิงอีหรี่ลงเล็กน้อย ความรู้สึกนี้มัน…ไม่สบอารมณ์เอาซะเลย!
“หากเจ้าอยากกอดก็กอดไปเลย แต่ต้องเปลี่ยนท่าก่อนเพราะท่านี้ข้านั่งไม่สบายตัว” ริมฝีปากแดงของชิงอีขยับและเปล่งเสียงหยิ่งยโส ดูไม่ออกเลยสักนิดว่านางเพิ่งใช้พลังอันเป็นที่พึ่งสุดท้ายไม่ได้ จึงเปลี่ยนจากฝ่ายตั้งรับเป็นฝ่ายโจมตีโดยใช้เซียวเจวี๋ยเป็นหมอนอิงมนุษย์แทน
“ขยับขาไปทางนู้นหน่อย” “อย่าขยับแขนสิ…”
“ยืดหลังตรง” เซียงเจวี๋ยยอมให้นางจัดท่าตามต้องการ ผ่านไปสักพัก ภาพในรถม้าก็กลายเป็นเช่นนี้
เซ่อเจิ้งอ๋องกำลังนั่งตัวตรง ส่วนหญิงสาวนอนตะแคงอยู่ในอ้อมแขนของเขาราวกับคนไม่มีแรง หนุนแขนเขาแทนหมอน ด้วยท่าทางเย้ายวน สีหน้าบ่งบอกว่าพอใจสุดๆ
“สบายไหม?” เซียวเจวี๋ยมองนางแล้วเผลอหลุดขำ
จะว่าไปก็แปลก หลายปีที่ผ่านมาข้างกายชายหนุ่มไม่เคยมีผู้หญิงเลยสักคน และเขาเองก็ไม่ชอบให้ผู้หญิงมาปรนนิบัติอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
แต่ชิงอีแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นตอนแรกเซียวเจวี๋ยคิดจะฆ่านางด้วยซ้ำ แต่หลังจากที่ได้พบเจอกันหลายครั้ง กลายเป็นว่าไม่ได้รู้สึกเกลียดนางเท่าไรนัก กลับรู้สึกสนใจเสียด้วยซ้ำ
องค์หญิงใหญ่คนนี้แตกต่างจากแต่ก่อนราวกับคนละคน มาตอนนี้นางกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนไม่ยอมคน ทั้งยังจองหองไร้เหตุผล คำพูดคำจาทุกอย่างล้วนเป็นแบบที่ชายหนุ่มไม่ชอบที่สุด น่าแปลก ยามที่มองนาง เขาไม่รู้สึกรำคาญเท่าไรนัก
กลับรู้สึกว่านางน่าสนใจและดูแปลกใหม่เสียด้วยซ้ำ
ท่าทีอ่อนน้อมเรียบร้อยนั้นไม่เข้ากับนาง ท่ามกลางฝูงไก่ นางเปรียบเหมือนนกกระเรียนหงอนแดงแสนโดดเด่นด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง ทั้งยังเป็นจอมวางท่าที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา
อีกทั้งแผนการร้ายกาจของนางที่ใช้ในคืนที่กลับเข้าวังหลวงนั้น ทำให้เขาทึ่งจนต้องเปลี่ยนความคิดที่มองนางเลย
ยิงธนูนัดเดียวสามารถกำจัดได้ทั้งตู้หมิงเยวี่ยและเสาเหย้า ซึ่งทำหน้าที่สอดแนมได้อย่างไร้ร่องรอย ทั้งหมดนี่ นางทำด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไรกัน? จากการตรวจสอบศพของทั้งสองคน เขาพบว่าสภาพการเสียชีวิตนั้นแปลกมาก
ร่างของทั้งคู่ไม่มีบาดแผลสาหัสที่ทำเสียชีวิตได้เลย ใบหน้าของเสาเหย้าเละจนดูไม่ออก ส่วนตู้หมิงเยวี่ย…กลับเหมือนถูกทำให้ตกใจจนตายเสียมากกว่า?
เมื่อครู่เขาฉวยโอกาส “พิสูจน์ตัวตน” ซึ่งพบว่าชิงอีไม่ได้มีกำลังภายในสักนิด ถ้างั้นนางใช้สิ่งใดในการจัดการสองคนนั้นกันล่ะ? คงไม่ได้ใช้เจ้าแมวอ้วนฟันเล็บแหลมคมที่อยู่ข้างเท้านางตัวนั้นใช่ไหม?
“วันนั้นคนที่วางยาองค์หญิงคือตู้หมิงเยวี่ยงั้นหรือ?” เซียวเจวี๋ยเอ่ยถามแบบไม่ได้ใส่ใจนัก พลางใช้ปลายนิ้วม้วนเส้นผมสละสลวยของนาง “เพราะเรื่องนั้นองค์หญิงก็เลยฆ่าเขาสินะ”
ชิงอีลืมตาขึ้นและหันไปมองชายหนุ่ม “ตู้หมิงเยวี่ยกับเสาเหย้าไม่ได้ฆ่าตัวตาย เพราะแอบลักลอบมีความรักกันงั้นหรือ?”
เซียวเจวี๋ยมองหน้านางเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นการฆ่าตัวตายนี่เอง”
“อืม ก็ฆ่าตัวตายไง”
“ในเมื่อองค์หญิงใหญ่บอกว่าฆ่าตัวตาย งั้นก็คือการฆ่าตัวตายสินะ”
ถ้าคนตระกูลตู้ได้ยินบทสนทนาระหว่างสองคนนี้ละก็ คงโกรธจนกระอักเลือดเป็นแน่
เมื่อเดินทางมาถึงประตูวังที่ไม่อนุญาตให้รถม้าเข้าไป
เซียวเจวี๋ยลงจากรถม้าก่อน แล้วค่อยเอี้ยวตัวมายื่นมือให้ ต้านเสวี่ยกับเถาเซียงที่กำลังจะช่วยประคองชิงอีลงจากรถม้าถึงกับชะงัก และยอมถอยออกมาอยู่ด้านข้างแต่โดยดี
ชิงอีเบะริมฝีปากแดง แล้วเมินมือที่ชายหนุ่มยื่นมาให้ ขณะที่นางกำลังจะเบี่ยงตัวลงอีกด้าน จู่ๆ ช่วงเอวก็โดนล็อกไว้ จนตัวนางลอยลิ่วลงจากรถเข้าสู่อ้อมแขนแกร่งอย่างไม่ทันตั้งตัว
วินาทีนั้นรอบข้างเต็มไปด้วยเสียงเอะอะ เหล่าข้าหลวงในวังต่างพากันมองอย่างตกตะลึง
เซียวเจวี๋ยยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย พร้อมโน้มตัวมากระซิบข้างหูนางว่า “จะเล่นละครก็ต้องเล่นให้สมจริงสิ”
ชิงอีจิกตามองชายหนุ่ม “ข้าไม่ได้ตกลงที่จะให้ความร่วมมือกับท่านเสียหน่อย”
ขณะที่เข่าของชิงอีกำลังจะกระแทกใส่เซียวเจวี๋ย เขาก็ปล่อยมืออย่างแนบเนียนไปยืนอยู่ข้างนาง การเคลื่อนไหวของเขาเป็นธรรมชาติราวกับสายน้ำไหลเอื่อย
ในสายตาของคนรอบข้าง ยังนึกว่าพวกเขาสองคนกำลังหยอกล้อตามประสาคนเกี้ยวพาราสีกัน แต่พริบตาเดียวสีหน้าของแต่ละคนก็ดูแปลกไป
ไหนว่าเซ่อเจิ้งอ๋องพยายามปฏิเสธการแต่งงานนี้ไง? องค์หญิงใหญ่เองก็มีคนในใจอยู่แล้วมิใช่หรือ?
หลิงเฟิงที่อยู่ข้างหลังไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่ลมหายใจ สายตาที่มองชิงอีนั้นระคนไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ตกตะลึง เลื่อมใส และนับถือ
คุณพระ! เขาที่อยู่นอกรถม้าเมื่อกี้ได้ยินหมดทุกอย่าง
ที่แท้นางนึกว่าท่านอ๋องเป็นชายขายตัวในหอนางโลมเลยร่วมเตียงกับท่านอ๋อง อีกทั้งหญิงสาวที่ให้รางวัลท่านอ๋องก็คือองค์หญิงใหญ่ผู้นี้!
ในที่สุดหลิงเฟิงก็เข้าใจว่าทำไมท่านอ๋องของเขาถึงเปลี่ยนใจตกลงแต่งงาน…จะมีผู้ชายคนไหนยอมทนกับเรื่องน่าอัปยศเช่นนี้ได้กันล่ะ?
แต่ว่าท่านอ๋อง…องค์หญิงใหญ่ผู้นี้ดูท่ากระดูกจะแข็งอย่างกับหิน ไม่ยอมใคร ท่านแน่ใจนะว่าจะแทะลง?