มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 4 บทที่ 108 ไม่ใช่ความโปรดปรานราชาเป่ยอิน

        เมื่อไปถึงสถานที่ ชิงอีก็ก้าวเข้าไปข้างใน พอก้าวไปได้สองก้าว ก็พบว่ารองเสนาบดีเว่ยยังคงยืนอยู่หน้าประตู โดยไม่คิดที่จะก้าวตามเข้ามา

        ท่านผู้เฒ่า เหตุใดท่านถึงไม่เข้ามาล่ะ?”

        ใบหน้ารองเสนาบดีเว่ยเต็มไปด้วยเหงื่อ หากไม่ใช่เพราะเซียวเจวี๋ยอยู่ด้วย เกรงว่าเขาคงไปจากตรงนี้นานแล้ว เมื่อเจอคำถามนี้ของชิงอี เขาทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านหมอเทวดา ท่านรีบไปดูอาการของฮูหยินเถิด”

        ชิงอีเสียงเหอะอย่างเย็นชา ไม่ใช่เพราะภรรยาของตนเปลี่ยนไปจนน่ากลัวหรอกหรือ ถึงได้ไม่ยอมเข้ามาดู?

        นางก้าวไปหลังฉากกั้น

        ม่านเตียงภายในห้องยังคงปิดอยู่ เหล่าสาวใช้เห็นเช่นนี้ก็เข้ามาดึงม่านขึ้นไปแขวนที่ตะขอทองแดงทั้งสองข้าง และเบือนหันไปทางอื่น เห็นได้ชัดว่าไม่อยากมองคนบนเตียง

        ชิวอวี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังชิงอี เมื่อเหลือบมอง เขาก็ตกใจจนกระโดดโหยง

        ที่นอนอยู่บนเตียงใช่คนซะที่ไหน!

        จากรูปร่างพอจะดูออกว่าเป็นผู้หญิงร่างอวบอ้วน ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยขน ราวกับสัตว์ประหลาดในร่างมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยใบหน้าแมว

        ชิงอีมองไปยังข้างเตียงครู่หนึ่ง แล้วเรียกสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ มา

        ถอดเสื้อผ้าของนางออก”

        สาวใช้ชะงักไปครู่หนึ่ง มองไปทางด้านหลังอย่างลำบากใจ

        เซียวเจวี๋ยออกไปทันที ชิวอวี่เองก็รีบตามไป

        ยังยืนบื้ออะไรอยู่อีก รีบถอดสิ!” ชิงอีตะคอก

        สาวใช้รีบจัดการด้วยตัวสั่นเทา หลังจากถอดเสื้อผ้าของฮูหยินแล้ว ชิงอีทำเพียงเหลือบมอง แล้วเดินออกมา

        ไปกันเถอะ บ้านหลังต่อไป”

        เว่ยซู่ที่รออยู่ตรงประตู แม้เขาจะไม่ได้คาดหวังอะไรนัก ทว่า พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขาก็พูดไม่ออก

        เสร็จแล้วหรือ? เข้าไปแล้วออกมา ทั้งที่ดื่มชาได้ไม่ถึงครึ่งถ้วยเลยด้วยซ้ำ!

        หลังจากส่งพวกเซียวเจวี๋ยแล้ว เว่ยซู่ก็เรียกสาวใช้มาสอบถามสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เมื่อรู้ว่าชิงอีไม่แม้แต่จะทำอะไรเลย แค่สั่งให้พวกนางถอดเสื้อผ้าของฮูหยินออก แล้วเพียงเหลือบมอง ก่อนจะจากออกมา

        เว่ยซู่ก็โกรธจนเกือบทำกาน้ำชาที่ทำจากดินจื่อซาสุดโปรดตก

        การตรวจอาการเช่นนี้ มีที่ไหนกัน?!

        หมอเทวดาอะไรกัน เกรงว่าจะเป็นหมอเถื่อนเสียมากกว่า!

        อีกสองจวนคือรองเสนาบดีกรมคลังและนักปราชญ์ของสำนักไท่ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟไม่ต่างกัน เมื่อพวกชิงอีกำลังจะไปถึงจวนป๋อหยวนโหว เซียวเจวี๋ยก็เตือนนางว่า “เมื่อถึงจวนโหวแล้ว เจ้าพูดให้น้อยลงหน่อย ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกจับได้”

        ชิงอีหันหน้ามามองเขา แล้วก็นึกขึ้นได้ เหอะ เกือบลืมแล้วว่าป๋อหยวนโหวเป็นคนในครอบครัวของหญิงชราต่ำต้อยนั่นสินะ?

        ป๋อหยวนโหว หรืออีกชื่อคือมู่จ้งจิ่น หากเรียงตามลำดับอาวุโสแล้ว ชิงอีก็ควรเรียกเขาว่าลุง

        มู่จ้งจิ่นที่อยู่ในวัยอายุสี่สิบปี เขาเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่เขายังเด็ก ใส่ชุดเกราะฆ่าศัตรูสู้รบมามากมาย ทว่า หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บในสนามรบ จนต้องตัดขาข้างหนึ่ง เพราะเหตุนี้ เขาจึงจำใจถอดชุดเกราะออก และกลับมารับตำแหน่งโหว[1]

        จริงอยู่ที่เขากลายเป็นคนพิการ ทว่า เขาไม่เหมือนขุนนางคนอื่นๆ ในเมืองหลวงที่ลุ่มหลงในเกียรติยศ

        กระทั่งต่อหน้าเซียวเจวี๋ย มู่จ้งจิ่นก็ยังไม่ประจบสอพลอสักนิด เมื่อได้ยินถึงเหตุผลในการมาครั้งนี้ เขาก็ขมวดคิ้วทันที “มาดูอาการ? ขนาดหมอหลวงยังรักษาไม่ได้ ท่านอ๋องเองทรงอย่าคาดหวังนักเลย”

        ชิงอีที่อยู่ข้างๆ มองมู่จ้งจิ่น ชายคนนี้เต็มไปด้วยปราณบริสุทธิ์ มีแสงสีทองส่องอยู่ระหว่างคิ้วของเขา เห็นได้ชัดว่าเป็นคนมีบุญ สายตาของนางเคลื่อนลงไปที่ขาขวา ซึ่งถูกตัดขาดของเขา แล้วนางก็กระตุกมุมปาก เกรงว่าบุญเหล่านั้นคงใช้ขานี้แลกมา

        ในช่วงต้นปีของเฟิงเทียน ซินเจียงเหนือได้ก่อกบฏ พวกกบฏได้ล้อมรอบเมืองเฟิงหยู่เพื่อสังหารผู้คนในเมือง ตอนนั้นมู่จ้งจิ่นเป็นแม่ทัพฝ่ายซ้าย หากแต่เสบียงของกองทัพใหญ่ขาดแคลน นายพลจึงต้องสั่งถอนกำลังกองทัพออกจากเมืองเฟิงหยู่

        เขาอยากละทิ้งผู้คนในเมือง จึงนำทหารกล้ากว่าหนึ่งร้อยนายกลับไปที่เมืองเฟิงหยู่ เพื่อร่วมสู้เป็นตายเคียงข้างกับคนในเมืองแห่งนั้น

        เขาสังหารศัตรูและต่อสู้เป็นเวลานานหลายวัน จนกระทั่งเหลือทหารคนสุดท้าย แล้วก็ต้องรอเสบียงจากราชสำนัก รวมถึงกำลังเสริม

        เขารอดชีวิตมาอย่างหวุดหวิด ทว่า เหล่าลูกน้องที่ร่วมกันปกป้องเมืองกลับตายในสนามรบ เขาเองก็สูญเสียขาขวาไป เส้นเอ็นของเขาขาดไปถึงเจ็ดส่วน ไม่ต่างอะไรจากคนพิการ เขาจึงไม่อาจเข้าร่วมกองทัพได้อีก

        ทว่า ก็เป็นเพราะพวกเขาที่อยู่ต่อสู้และเสียสละเลือดเนื้อ เพื่อให้คนในเมืองเฟิงหยู่อยู่รอด!

        ราชวงศ์เหยียนได้รับความสงบสุขตรงชายแดน ทั้งหมดเป็นเพราะมีคนเช่นมู่จ้งจิ่น หรือทหารผู้น้อยคนหนึ่งที่ยอมสละเลือดเนื้อ เพื่อประชาชน เพื่อบ้านเมือง และเดินไปข้างหน้าแบกภาระอันหนักอึ้ง!

        ชิงอีสูดลมหายใจ สลัดความคิดทิ้งไป

        ไม่แปลกใจเลยที่จะเห็นวิญญาณผู้กล้ามากมายรอบๆ จวนโหวแห่งนี้ มาคิดดูแล้ว วิญญาณเหล่านั้นต่างเป็นบรรดาทหาร ซึ่งสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับมู่จ้งจิ่นและตายที่เมืองเฟิงหยู่

        เพราะมีวิญญาณผู้กล้าคอยขับไล่สิ่งชั่วร้ายเช่นนี้ จึงทำให้วิญญาณชั่วร้ายไม่สามารถเข้ามาได้เลย แม้แต่เจ้าหน้าที่แห่งปรโลก หากเจอกับมู่จ้งจิ่นและวิญญาณผู้กล้าเหล่านี้ยังต้องให้ความเคารพ และเปิดทางให้ก้าวเดินเช่นกัน

        นอกจากนี้ หน้าประตูจวนยังมีลมพัด เห็นได้ชัดว่าตระกูลของเขายังมีพลังด้านบวก ภายในจวนก็มีความสงบสุข และฮูหยินโหวของจวนนี้ก็น่าจะเป็นคนมีจิตใจดีงามด้วย ทว่า กลับมาติดโรคร้าย นั่นค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว

        ขณะที่มู่จ้งจิ่นพูดคุยกับเซียวเจวี๋ย ชิงอีที่รออยู่ก็หมดความอดทน นางจึงสาวเท้าเข้าไปในจวน มู่จ้งจิ่นคิดไม่ถึงว่านางจะไร้มารยาทถึงเพียงนี้ เขาขมวดคิ้วแน่น เตรียมจะเข้าไปหยุดนาง ทว่า กลับมีคนมาหยุดเอาไว้เสียก่อน

        หากสามารถช่วยฮูหยินโหวได้ เหตุใดป๋อหยวนโหวต้องมาขัดขวางซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย!”

        ใบหน้าของมู่จ้งจิ่นที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างสุดขีด “ท่านอ๋องตรัสออกมาเหมือนว่ามันเป็นเรื่องง่าย ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนนี้คนนอกพูดกันไปไหนต่อไหนแล้ว ทั้งที่เป็นสตรีสะสมคุณความดีมาตลอด กลับประสบหายนะเช่นนี้ หากรักษาไม่หาย เหตุใดต้องให้นางถูกผู้อื่นตราหน้าด้วยเล่า!”

        ชิงอีเดินมาไกลพอสมควรแล้ว ถึงกับหยุดฝีเท้าเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

        รักษาก็ยังไม่รักษา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่สามารถรักษาให้หายได้?”

        มู่จ้งจิ่นตวัดตามองนาง “ขนาดหมอหลวงยังไม่อาจรักษา แล้วเจ้ากล้ารับประกันได้อย่างไร!”

        หมอหลวงทำไม่ได้ ทำไมเจ้าไม่เชิญนักบวชลัทธิเต๋ามาล่ะ?”

        มู่จ้งจิ่นเหยียดยิ้มดูถูก เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขามองเซียวเจวี๋ยอย่างเหยียดหยามยิ่งขึ้น “คนที่ท่านอ๋องทรงพามาคงไม่ใช่หมอเทวดาหรอก คงเป็นหมอเถื่อนเสียมากกว่า?!”

        ไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นหมอเทวดาหรือหมอเถื่อน แค่รักษาฮูหยินของท่านให้หายดีได้ก็พอแล้ว” เซียวเจวี๋ยไม่ถือโทษหรือโกรธเคือง เพียงแต่ทัศนคติของเขาที่มีต่อมู่จ้งจิ่นค่อนข้างต่างไปจากก่อนหน้านี้เล็กน้อย

        ชิงอีเองก็ยากที่จะคุมตัวเองไม่ให้สบถออกไป

        แล้วถามออกมาหนึ่งประโยคว่า “หากฮูหยินโหวไม่หายดี ท่านจะทำเช่นไร?”

        ก็ไม่เป็นไร!” มู่จ้งจิ่นตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “นางเป็นฮูหยินของข้า ไม่ว่านางจะกลายเป็นอะไร นางก็ยังเป็นนายหญิงของจวนโหวแห่งนี้!”

        ชิวอวี่อดแสดงความชื่นชมไม่ได้ ช่างเป็นชายชาตินักรบที่ให้ความสำคัญกับความรักและความเป็นธรรมอย่างหนักแน่นเสียจริงๆ!

        จะพิการขาขาดข้างหนึ่งแล้วอย่างไรล่ะ เมื่อเทียบกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่สามคนที่อยู่ข้างหน้า ไม่รู้ว่าร่างของมู่จ้งจิ่นนั้นสูงใหญ่ไปมากกว่าตั้งเท่าไร!

        ชิงอีกลับยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงสนิทสนมที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน “นำทางไปเถอะ”

        มู่จ้งจิ่นขมวดคิ้วมองเซียวเจวี๋ย

        ข้าผู้นี้เอาชีวิตเป็นประกัน ท่านจะยอมเชื่อสักครั้งหรือไม่?”

        หลังจากที่มู่จ้งจิ่นได้ยินเช่นนั้น เขาจึงจะยอมผ่อนคลายลง

        เอาล่ะ! ข้าเห็นแก่ท่านอ๋อง ถึงได้ให้ท่านเข้าไปรักษา ทักษะทางการแพทย์ของท่านควรดีที่สุดให้คู่ควรกับการที่ท่านอ๋องไว้วางพระทัยในตัวท่าน!”

        หลังจากที่มู่จ้งจิ่นพูดจบ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยไม้ค้ำ

        ชิงอีเบะปากและเหลือบมองเซียวเจวี๋ยผ่านหมวกคลุม เจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้เป็นแค่คนไร้ประโยชน์เสียด้วยซ้ำ ความไว้วางใจของเขาจะมีค่าบุญแค่ไหนเชียว?

        อย่างไรเสีย หากไม่ใช่สิ่งที่ราชาเป่ยอินของนางโปรดปราน เหอะ ใครจะเอาก็เอาไปเลย!

 

 

*********************

[1] โหว เป็นบรรดาศักดิ์รองจากขั้นกง ซึ่งเป็นยศที่ได้รับจากการสืบสกุล หรือได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ เนื่องจากมีความดีความชอบ

Author Jinovel