มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 4 บทที่ 112 ที่พูดมาก็มีเหตุผล

        ชุ่ยหลิ่วสั่นไปทั้งตัวด้วยความกลัว เมื่อสติกลับมา นางยังคงเห็นชิงอีนั่งอยู่บนเก้าอี้ ราวกับว่าเมื่อครู่เป็นเพียงภาพหลอนเท่านั้น

        มัน มันก็เป็นแค่แมวตัวหนึ่ง แค่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น!

        ชุ่ยหลิ่วไม่เข้าใจ ก็แค่สัตว์เดรัจฉานไม่ใช่หรือ ฆ่าก็ฆ่าไปแล้ว มันต่างจากการเหยียบมดจนตายอย่างไร?

        เมื่อเว่ยซู่หายโกรธก็ไปมองชิงอีอีกครั้ง แม้ยังคงไม่พอใจกับท่าทางเย่อหยิ่งของนาง ทว่า เขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายมีความสามารถจริงๆ

        เมื่อวานนางแค่มองผ่านๆ แต่แค่ข้ามคืนก็หาต้นตอได้แล้ว

        เว่ยซู่จึงโค้งคำนับนาง “ท่านปรมาอาจารย์ โปรดช่วยขับไล่วิญญาณร้าย เพื่อตระกูลเว่ยของข้าได้หรือไม่ หลังจากจบเรื่อง ข้าจะตอบแทนท่านอย่างสมน้ำสมเนื้อแน่!”

        จริงหรือ? ไม่รู้ว่ารองเสนาบดีจะให้รางวัลอะไรแก่ข้ากัน?” ชิงอีถามช้าๆ

        เว่ยซู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเหลือบมองเซียวเจวี๋ยก่อน ค่อยตอบว่า “แม้ตระกูลเว่ยจะเป็นขุนนางมาหลายชั่วอายุ ทว่า ก็เป็นตระกูลที่ไร้มลทินและซื่อสัตย์อยู่เสมอ เงินทองอาจจะไม่ได้มากมายนัก แต่ก็สะสมหนังสือไว้มากมาย หากท่านปรมาจารย์ไม่รังเกียจ…”

        รังเกียจ! รังเกียจมากๆ ด้วย!” ชิงอีพูดด้วยรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา “หนังสือสะสม? มันก็แค่กระดาษแข็งๆ ที่มีไว้เช็ดก้นเท่านั้นแหละ ท่านไม่อายเลยหรือที่จะมอบเป็นของรางวัล? ท่านเองก็เป็นถึงรองเสนาบดี แต่กลับมีตอบแทนด้วยของแค่นี้น่ะหรือ?”

        หน้าของเว่ยซู่แดงก่ำเพราะความโกรธทันที เขาอยากจะระเบิดความโกรธออกมาอยู่หลายครั้ง แต่พอมองเซียวเจวี๋ย เขาก็ไม่สนใจเว่ยซู่เลย แถมยังพยักหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเห็นด้วยกับนางเสียงอย่างนั้น

        เว่ยซู่อดหวาดระแวงไม่ได้ แล้วอยากไล่หมอเถื่อนนี่ออกไป ทว่า หากนางไล่ไป แล้วใครจะจัดการกับสิ่งชั่วร้ายกันล่ะ? นักบวชลัทธิเต๋าที่เชิญมาก็ไม่ได้เรื่อง ชุ่ยหลิ่วเองยามนี้ก็ตกอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน เว่ยซู่กลัวว่าคนต่อไปที่จะเป็นโรคนี้คือตนเอง

        ท่านปรมาจารย์อยากได้รางวัลอะไร เชิญท่านบอกมาได้เลย แล้วข้าจะดูว่าสามารถให้ท่านได้หรือไม่”

        ไม่ต้องรีบร้อนไป ไม่นานรองเสนาบดีเว่ยก็จะรู้เอง อย่างไรก็ตาม ถึงเวลานั้น ท่านอย่าเสียดายล่ะ” ชิงอียิ้มอย่างไม่อาจคาดเดา เว่ยซู่กังวลขึ้นมาในทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

        เขารู้สึกตลอดว่าปรมาจารย์ท่านนี้…ดูชั่วร้าย

        ทว่า ในเมื่อเป็นคนที่เซ่อเจิ้งอ๋องหามา ก็ไม่น่าจะเป็นคนเลวร้ายหรอกใช่ไหม?

        ส่วนมากปรมาจารย์ปราบผีมักมีนิสัยประหลาดๆ ทั้งนั้น อืม มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ

        หากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฮึๆ รองเสนาบดีเว่ยคิดผิดแล้วล่ะ

        ท่านปรมาจารย์ เช่นนั้นท่านจะทำการขับไล่ความชั่วร้ายเมื่อไรหรือ?”

        รีบร้อนขนาดนี้ มาทำเองไหมล่ะ?” ชิงอีเชิดคาง

        เว่ยซู่ส่ายหน้าทันที ตลกน่า เขาเองก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายๆ ปี

        ไปที่จวนอีกสามแห่ง และเรียกสาวใช้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นมาให้หมด”

        ชิงอีขี้เกียจเกินกว่าจะไปถึงที่ จึงสั่งให้เว่ยซู่ส่งคนไปส่งข่าว

        รองเสนาบดีเว่ยไม่รอช้า หลังจากส่งคนไปบอกข่าวเรียบร้อย เขาคิดทบทวนว่านอกจากป๋อหยวนโหวนิสัยไม่ดีท่านนั้นแล้ว ขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกสองคนต่างมีความคิดคล้ายเขา

        ตอนนี้พวกเขากลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงแล้ว หากการหย่าร้างในยามนี้จะทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นคนเลือดเย็นละก็ เกรงว่าเขาคงจะหย่าไปนานแล้ว

        หากไม่ใช่เพราะวิญญาณร้าย แต่เป็นการป่วยธรรมดา เว่ยซู่คงไม่มีอะไรต้องกลัว อย่างไรเสีย เขายังคงได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ร่ำรวย และหากฮูหยินตายไป มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แถมเขาก็คงได้แต่งงานใหม่กับหญิงงาม

        เชื่อว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกสองคนคงไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ เมื่อเว่ยซู่คิดอย่างรอบคอบแล้ว เขาคิดว่าเขารีบควรหาทางรอด ก่อนที่สิ่งชั่วร้ายนั่นจะมาถึงตัวเขา

        ชุ่ยหลิ่วคุกเข่าด้วยความไม่สบายใจ แม้ว่านางจะมองไม่เห็นรูปลักษณ์และสีหน้าของชิงอีภายใต้หมวกใบนั้น ทว่า นางก็รู้สึกเสมอว่าดวงตาของอีกฝ่ายจะมองมาที่นางเป็นครั้งคราว

        ทั้งที่เป็นเพียงแค่การมองเท่านั้น ทว่า มันเหมือนมีดทิ่มแทงลงบนร่างกาย

        ว่าไปแล้ว เจ้าลืมเล่าไปนะ ว่าเจ้าแมวป่าตัวนั้นตายอย่างไร?”

        เสียงหัวเราะเยือกเย็นของชิงอีดังก้องหู ชั่วพริบตา ความทรงจำของชุ่ยหลิ่วถูกดึงให้ย้อนกลับไปในวันที่เกิดเหตุ ประหนึ่งว่าเหตุการณ์ในวันนั้นกำลังเกิดขึ้นอีกครา

        เจ้าสัตว์ร้ายนี่ข่วนได้ดีจริงๆ ฉินอวี่โหรวผู้หญิงคนนั้น ข้าไม่ชอบนางมานานแล้ว เป็นลูกนางสนมคิดว่าได้แต่งเข้าจวนโหวแล้วจะวางอำนาจอย่างไรก็ได้เช่นนั้นหรือ? ไม่เห็นหรือว่าเจ้าคนตระกูลโหวนั่นก็ไม่ได้ยึดมั่นในคุณธรรมเท่าไรนัก” นางหลี่พูดด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ “เขาก็แค่คนธรรมดา เกรงว่ามีแค่ใจ แต่ไร้เรี่ยวแรงน่ะสิ ไม่แปลกใจที่แต่งกันนานแล้วยังไม่มีทายาทเสียที”

        หญิงสาวอีกสองคนหัวเราะเยาะอย่างเห็นด้วยกับสิ่งที่นางหลี่พูดทันที

        ทั้งสองคนนั่นคือฮูหยินของรองเสนาบดีกรมคลังและฮูหยินของนักปราชญ์แห่งสำนักไท่

        คนสกุลเถียนและสกุลหวังให้นางเป็นผู้นำ แล้วทั้งคู่ต่างเห็นดีเห็นงามกับการล้อฉินอวี่โหรวของนาง

        นางหลี่ได้ยินเสียงหัวเราะก็มีความสุข พลางมองเจ้าแมวป่าตัวนั้น ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับยื่นมือหมายจะสัมผัสสัตว์ร้ายที่ยังคงฉุนเฉียวอยู่ ชุ่ยหลิ่วจะเข้าไปห้าม แต่ก็สายเกินไป

        นางหลี่กรีดร้อง บนหลังมือมีรอยข่วนสามรอยราวกับกีบหมู ซึ่งตามรอยนั้นมีเลือดซึมออกมา

        เจ้าสัตว์ร้ายสมควรตาย คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าข่วนข้า!”

        ด้วยความโกรธสุดขีดของนางหลี่ นางจึงกระทืบเจ้าแมวป่าตัวนั้นไปหลายครั้ง มันส่งเสียงร้องโหยหวนและพยายามดิ้นรนขัดขืน นางหลี่ยังคงกระทืบซ้ำ จนมันขดตัวนอนกระอักเลือดอย่างสิ้นหวัง

        นางหลี่เพิ่งสังเกตว่าท้องของเจ้าแมวป่านั้นใหญ่กว่าปกติ

        แม้ว่านางจะล้อฉินอวี่โหรวว่าท้องกลวงไม่มีทายาท แต่หลายปีที่ผ่านมา นางเองไม่มีทายาท จริงๆ แล้ว ลูกชายที่มีอยู่ตอนนี้ก็เป็นเพียงเด็กที่ไปขโมยมาจากนางสนม

        ไม่คิดว่าเจ้าสัตว์ร้ายทำร้ายนางจะตั้งท้องอยู่ นี่ทำให้นางหลี่ยิ่งเกลียดมันขึ้นไปอีก

        นางเถียนและนางหวังเห็นเหตุการณ์ พวกนางไม่รู้ว่าความเกลียดชังของนางหลี่มีสาเหตุจากอะไร

        พี่หญิงหลี่ น้องมีวิธีที่จะทำให้พี่ใจเย็นลงได้”

        ไหนลองบอกมาซิ?”

        ที่บ้านเกิดน้อง มีซุปที่เรียกว่าซุปพยัคฆ์มังกร เป็นซุปที่บำรุงหยินหยางได้ดีทีเดียว ยิ่งกินพร้อมลูกแมวแรกเกิดก็ยิ่งมีรสชาติโอชา แถมถ้าคนที่กินเป็นหญิงสาว ว่ากันว่าได้ผลดีทีเดียว”

        ตาของนางหลี่เป็นประกาย “เรื่องดีๆ เช่นนี้ เหตุใดถึงไม่บอกก่อนละ รีบจับเจ้าแมวป่าตัวนี้ไปคว้านท้อง จากนั้นก็ไปจับงูอีกสักสองสามตัว เพราะวันนี้พวกเจ้ามีส่วนร่วมด้วย ดังนั้นก็มาเพลิดเพลินกับซุปบำรุงกันเถอะ…”

        หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?

        ชุ่นหลิ่วคิดอย่างโง่เขลา โอ๊ะ นางกับเหล่าคนรับใช้ช่วยกันคว้านท้องแมวป่าและนำบรรดาลูกแมวออกมา

        ก้อนเนื้อสีชมพูนุ่มๆ ถูกลำเลียงออกมาทีละตัว และบางตัวหัวใจยังเต้นอยู่ คาดว่าอีกประมาณหนึ่งหรือสองวันก็คงจะได้ออกมาลืมตาดูโลก

        นายหญิงช่างโชคดีจริงๆ หากผ่านไปอีกสองสามวัน ท่านคงไม่ได้กินเนื้อแมวนุ่มๆ แบบนี้แน่

        ถลกหนังและหักกระดูกลูกแมวต่อหน้าแม่แมว แม่แมวที่ยังไม่ตายนั้นได้แต่กรีดร้องเสียงแหลมอย่างดูรันทด…

        แล้วมันตายตอนไหนกันนะ?

        ใช่ตอนที่พวกลูกแมวลงไปอยู่ในหม้อต้มหรือเปล่านะ?

        หรือเป็นตอนที่พวกเขาแบ่งปันซุป พลางพูดคุยและหัวเราะกันนะ?

        ชุ่ยหลิ่วก็จำไม่ได้แล้ว แม้กระทั่งวิธีจัดการกับซากศพของแมวป่าตัวนั้น นางก็ลืมไปแล้ว

        สุดท้าย มันก็แค่สัตว์ตัวหนึ่ง

        ฆ่าก็ฆ่าไปแล้ว กินก็กินไปแล้ว

        ก็เหมือนกับที่นายหญิงพูด เป็นโชคดีของมันที่ได้ลงไปอยู่ในท้องของนาง

        ภายใต้ผ้าโปร่งสีดำนั้น ชิงอีค่อยๆ ลืมตาขึ้น

        รอยยิ้มเย็นยะเยือกบนใบหน้านางหายไปแล้ว เหลือเพียงบรรยากาศเงียบสงัดจนน่าสะพรึงกลัว

        โชคดีงั้นหรือ?

        มนุษย์กินสัตว์ถือเป็นความโชคดีของมัน

        เช่นนั้น ผีที่กินเนื้อมนุษย์ ก็เป็นโชคดีของมนุษย์เหมือนกันใช่ไหม?

        เหตุผลนี้ ก็ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลอยู่นะ…

Author Jinovel