มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 3 บทที่ 62 พึงใจจวินหวง

        ทั้งสองคนเดินออกจากวิหารหลวง และมองไปในสวนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา หลังจากฝนตกกลิ่นหอมของดินโคลนอบอวลอยู่ในอากาศ จวินหวงหลับตาสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด รู้สึกปลอดโปร่งเบาสบายไปทั่วร่างกาย ลมอ่อนๆ ยกเรือนผมของนางสยายไปในอากาศ

        “ครั้งนี้เจ้ามาด้วยเรื่องอันใดหรือ?” หนานสวินเอ่ยปากถาม

        จวินหวงลืมตาขึ้นมองไปยังดอกไห่ถังด้านข้าง หัวเราะเบาๆ อย่างรู้สึกขำ “ไท่จื่อหวังดีพาข้ามาไหว้พระขอพรด้านความรัก”

        หนานสวินได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งไป ก่อนที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา ฉับพลันก็นึกขึ้นมาได้จึงปิดปากไว้แล้วไอกลบเกลื่อนทีหนึ่ง จวินหวงยักไหล่ไม่สนใจ ปล่อยให้หนานสวินหัวเราะเยาะตามสบาย นางก้มลงมาสูดกลิ่นหอมของดอกไห่ถัง

        ผ่านไปครู่หนึ่งหนานสวินถึงหยุดหัวเราะ เขากระแอมเบาๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ฉีเฉินช่างมีความปรารถนาดีโดยแท้ มาคิดๆ ดูเขาก็เสนอเรื่องนี้ขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ก็ถูกล่ะนะ คุณชายกำลังอยู่ในช่วงวัยที่รุ่งโรจน์ คิดว่าคงมีสตรีมากมายใฝ่ฝันถึงอยู่เป็นแน่”

        มีหรือจวินหวงจะฟังไม่ออกว่าเขากำลังยั่วล้อนางอยู่ จึงถลึงตาแรงๆ ใส่หนานสวินไปทีหนึ่ง แล้วปะทะฝีปากกับหนานสวินต่อจนไม่ได้สังเกตว่าองค์หญิงหว่านเอ๋อร์ยืนอยู่ที่ระเบียง

        ความจริงที่หนานสวินมาที่นี่วันนี้เพราะมาเป็นเพื่อนหว่านเอ๋อร์ และไม่คิดว่าจะเจอกับพวกจวินหวง หว่านเอ๋อร์ที่แอบมองจวินหวงอยู่ไกลๆ นางรู้สึกเหมือนจะลมหายใจจะหยุดลงให้ได้

        นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้พบ แต่การพบกันครั้งนี้ยิ่งทำให้ตื่นตะลึง ชุดสีครามราวกับสีของสระมรกตแห่งสรวงสวรรค์บนร่างกาย เรือนผมสีดำที่สยายไปตามลม ริมฝีปากที่มีรอยยิ้ม ท่าทางราวกับหนุ่มน้อยที่ชวนให้หลงใหล หว่านเอ๋อร์ตื่นตะลึง ใจหวิวๆ คล้ายจะเป็นลม

        ไม่นานนักหนานสวินก็รู้สึกได้ว่าหว่านเอ๋อร์แอบมองพวกเขาอยู่ หว่านเอ๋อร์รู้ว่าหลบไม่ได้แล้วจึงค่อยๆ เดินออกมา นางคลี่ยิ้มและโบกมือให้พวกเขา         

        จวินหวงประสานมือค้อมกายคำนับ กล่าวอย่างสุภาพแต่ดูห่างเหิน “ถวายบังคมองค์หญิง”

        เพียงแค่ได้ยินเสียงใสราวกับน้ำพุของจวินหวง หว่านเอ๋อร์ก็ใบหน้าแดงก่ำ เดินก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวแต่สายตามิได้ละไปจากจวินหวงแม้เพียงครึ่งส่วน “หว่านเอ๋อร์คารวะคุณชาย คุณชายไม่จำเป็นต้องเป็นทางการกับข้ามากมายถึงเพียงนั้น เรียกข้าว่าหว่านเอ๋อร์เฉยๆ ก็ได้”

        “ผู้น้อยไม่กล้าอาจเอื้อม” น้ำเสียงของจวินหวงยังคงเรียบเฉย การแสดงออกของนางไม่เพียงแต่ไม่ทำให้หว่านเอ๋อร์รู้สึกขุ่นเคือง แต่ท่าทางที่ไม่ดูถ่อมตนหรือเย่อหยิ่งจนเกินไปยิ่งทำให้ดูน่าชื่นชม

        หว่านเอ๋อร์ขบริมฝีปากล่างเอาไว้ไม่เอ่ยวาจา นางหลุบสายตาลงดูชดช้อยงดงาม หนานสวินเคยเห็นสายตาแบบนี้ของผู้อื่นมาก่อน และเขาก็คุ้นเคยกับหว่านเอ๋อร์เป็นอย่างดี เมื่อเห็นหว่านเอ๋อร์มีท่าทางแบบนี้ก็แอบคิดในใจว่าไม่ดีแล้ว จึงเดินมาขวางระหว่างหว่านเอ๋อร์กับจวินหวง เพื่อบดบัดสายตาของนาง

        “องค์หญิง ทรงไปคารวะไท่จื่อกับไท่จื่อเฟยหรือยังพ่ะย่ะค่ะ” หนานสวินกล่าวถาม

        หว่านเอ๋อร์เพิ่งรู้สึกตัว อุทานด้วยความตกใจออกมาทีหนึ่งแล้ววิ่งหนีไป วิ่งมาได้สักพักก็หยุด หันกลับมามองจวินหวงอีกครั้งอย่างเขินอายแล้วกล่าวว่า “วันนี้คุณชายเฟิงสง่างามโดดเด่นยิ่งนัก หากมีโอกาส หว่านเอ๋อร์จะต้องเชิญคุณชายไปลิ้มลองสุราเลิศรสของเมืองหลวง หวังว่าถึงเวลานั้นคุณชายจะไม่ปฏิเสธ” กล่าวจบก็ไม่รอช้าวิ่งรี่ออกไป เพียงครู่เดียวก็วิ่งไปไกลแล้ว

        จวินหวงยังอึ้งงันอยู่ หนานสวินก็เลยฉุดข้อมือเดินไปห้องพักด้านหลัง เมื่อเข้าไปในห้องของหนานสวินแล้ว เขาไม่พูดไม่จาก็ปิดประตูลง จวินหวงถึงเพิ่งจะได้สติกลับมา

        นางไม่ค่อยได้อยู่ร่วมห้องกับบุรุษสองต่อสองแบบนี้ ชั่วระยะเวลาหนึ่งจึงระมัดระวังตัวมาก เกร็งไปหมดทั้งตัว นางไอเบาๆ ทีหนึ่งแล้วนั่งลงที่โต๊ะรินชาให้ตนเองแล้วดื่มเข้าไปสองสามคำ แต่ทว่ากลับยิ่งรู้สึกปากจืดไร้รสชาติ

        หนานสวินครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา นั่งลงตรงหน้าจวินหวง ท่าทางที่คล้ายจะพูดอะไรแต่ไม่พูดของเขาดึงดูดความสนใจของจวินหวง นางวางถ้วยชาในมือลง มองหน้าหนานสวินแต่ไม่พูด รอให้หนานสวินเอ่ยปากออกมาก่อน

        “ดูจากท่าทางองค์หญิงหว่านเอ๋อร์แล้ว นางอาจจะ…” หนานสวินพูดต่อไม่ได้จริงๆ เสียงของเขาค่อยๆ หายไป

        “อาจจะอะไร?” จวนหวงมุ่นคิ้วถามด้วยความสงสัย

        หนานสวินไอเบาๆ เสียงหนึ่ง หันไปมองที่อื่น “นางอาจจะพึงใจในตัวเจ้า”

        เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ใบหน้าของจวินหวงก็เห่อร้อนแดงก่ำ อย่างไรนางก็ไม่คิดว่าสตรีชุดกระโปรงสีชมพู เกล้าผมอย่างงดงามเมื่อครู่นี้จะพึงใจตนเอง เมื่อหนานสวินเตือนขึ้น นางจึงนึกถึงใบหน้าที่แสดงความเขินอายของหว่านเอ๋อร์ขึ้นมาได้ทันที เมื่อครู่นางนึกว่าหว่านเอ๋อร์คงจะปัดแก้มสีชมพูมามากเกินไป มาตอนนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้นางแก้มแดงเพราะเจอคนที่พึงใจนี่เอง

        เพียงแค่แวบเดียวที่สบตา หว่านเอ๋อร์ก็ตกหลุมรักนางเข้าจริงๆ หรือนี่?

        นางรู้สึกพรั่นพรึงจนเหงื่อเย็นไหลโซมกาย แผ่นหลังเปียกชุ่มไปหมด มือที่บีบถ้วยชาอยู่สั่นระริก จนน้ำเปล่าที่อยู่ในถ้วยบางส่วนหกออกมารดนิ้วมือ

        ตอนแรกหนานสวินก็รู้สึกกังวลนิดหน่อย แต่มาตอนนี้พอเห็นจวินหวงแก้มแดงไปหมดเช่นนี้ก็อดรู้สึกขบขันไม่ได้ จึงมองนางอย่างยั่วล้อแล้วกล่าวหยอกเย้า “แต่หว่านเอ๋อร์ก็เป็นสาวงามขึ้นชื่อของเป่ยฉีเรา เหล่าคุณชายลูกหลานคนสูงศักดิ์ไม่รู้เท่าไรต่างแย่งชิงกันเพื่อดึงความสนใจของนาง แต่นางก็ไม่เคยเหลียวแลใครสักคน ไยคุณชายจึงไม่คิดแต่งงานกับนางเล่า?”

        “อีกอย่าง คุณชายก็รูปลักษณ์ไม่ธรรมดา หน้าตายิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง มีสตรีมาชมชอบก็เป็นเรื่องปกติ ตอนนี้มีบุปผามีรัก วารีไหลรินเช่นคุณชายก็ควรจะมีใจให้มิใช่หรือ” พูดจบดวงตาทั้งคู่ของหนานสวินก็จ้องจับที่จวินหวง ยิ่งเห็นนางเขินหนักจนแก้มแดงก่ำ ก็ยิ่งหัวเราะร่าอย่างเริงใจ

        “ท่านพูดเหลวไหลอันใด? รู้ๆ อยู่… รู้ๆ อยู่ว่าข้ากับนาง…. เป็นไปได้เสียที่ไหนเล่า” พูดมาถึงประโยคหลังสุดก็เพียงแค่บ่นพึมพำ และไม่พูดอะไรต่ออีก นางแค่ถอนหายใจออกมาเพื่อสงบจิตใจ ดื่มน้ำเข้าไปคำหนึ่ง ยับยั้งคลื่นลมที่ซัดสาดอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเอาไว้

        เห็นจวินหวงมีท่าทางเป็นเช่นนี้ หนานสวินก็ไม่พูดอะไรมากอีก เขาเดินออกไปหาเณรน้อย เรียกให้นำอาหารเจเข้ามา แล้วเชิญให้จวินหวงรับประทานอาหารด้วยกัน กินไปได้ครึ่งหนึ่งก็กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้อีกแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะส่งเจ้ากลับ”

        จวินหวงพยักหน้า นางไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับหว่านเอ๋อร์มากเกินไปนัก หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ให้เว่ยเฉี่ยนไปแจ้งให้ฉีเฉินรับทราบ แล้วตนเองก็กลับเมืองหลวงไปพร้อมกับหนานสวิน

        หว่านเอ๋อร์วิ่งไปยังที่พักของฉีเฉินและหนานกู่เยว่ ยังไม่ทันเข้าไปก็เห็นฉีเฉินให้คนย้ายตั่งกุ้ยเฟยเข้าไปในสวน รอจนหนานกู่เยว่นั่งลงแล้วก็หยิบเสื้อคลุมมาคลุมให้หนานกู่เยว่ด้วยตนเอง ท่าทางของเขาอ่อนโยนมาก หว่านเอ๋อร์เห็นแล้วก็อดรู้สึกอิจฉาอยู่ในใจไม่ได้

        “อ้าว… หว่านเอ๋อร์เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” หนานกู่เยว่ที่นอนเอนอยู่บนตั่งกุ้ยเฟยเห็นหว่านเอ๋อร์ก่อน นางพยายามลุกขึ้นมานั่งแต่ถูกฉีเฉินห้ามไว้

        ฉีเฉินหันมามองหว่านเอ๋อร์ สายตายังคงไม่คืนกลับมาจากความอ่อนโยนที่มีให้หนานกู่เยว่ หว่านเอ๋อร์เห็นแล้วก็ตะลึงไปเล็กน้อย ย้อนกลับมาคิดหากจวินหวงมองนางด้วยสายตาเช่นนี้ ต่อให้ตายนางก็ไม่เสียดายแล้ว

        ฉีเฉินเห็นหว่านเอ๋อร์มีท่าทางใจลอย ก็ขมวดคิ้วสงสัย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”

        หว่านเอ๋อร์ได้สติกลับมาทันที หน้าร้อนแดงขึ้นแล้วส่ายหน้า หลังจากไอเบาๆ ทีหนึ่งแล้วก็วิ่งปึงปังมาหาหนานกู่เยว่ แล้วมองท้องที่นูนน้อยๆ ด้วยความตื่นเต้น อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปลูบดูแต่ถูกฉีเฉินห้ามไว้

        นางเบะปากอย่างขัดใจ “ข้าก็แค่จะลูบดูเท่านั้นเอง ไม่ทำอะไรหรอกน่า ทำไมต้องทำท่าตึงเครียดขนาดนั้นด้วย?”

        ฉีเฉินถลึงตาใส่หว่านเอ๋อร์ทีหนึ่ง แล้วช่วยหนานกู่เยว่สอดชุดคลุมให้เรียบร้อย ตั้งแต่หนานกู่เยว่ตั้งครรภ์ นางก็ลดความเอาแต่ใจลงมามาก ทั่วร่างกายของนางมีแต่กลิ่นอายของความอ่อนโยนเย็นรื่น รอยยิ้มที่ดวงตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนหวาน

        หว่านเอ๋อร์มองนางแล้วก็เกิดความรู้สึกบางอย่างในหัวใจ จำได้ว่าครั้งที่แล้วที่นางเจอหนานกู่เยว่ คือตอนที่ฉีเฉินพานางมาคารวะพระสนมกุ้ยเฟย ตอนนั้นหนานกู่เยว่ยังดื้อรั้นเอาแต่ใจอยู่มาก แม้ว่าพระสนมจะเป็นผู้อาวุโส แต่นางก็เป็นองค์หญิง จึงไม่ค่อยไว้หน้าพระสนมกุ้ยเฟยเสียเท่าไร พระสนมก็ไม่กล้าว่ากล่าวอะไรแม้ว่าจะโกรธมากก็ตาม ตอนนี้หนานกู่เยว่ตั้งครรภ์แล้ว ก็คงยิ่งเอาใจนางมากขึ้น

        หนานกู่เยว่เห็นหว่านเอ๋อร์ใจลอยอีกแล้ว จึงถามขึ้นแล้วยิ้มอย่างระอาใจเล็กน้อย

        “อา… ไม่มีอะไรข้าก็แค่กำลังคิดว่าทำไมพวกท่านถึงมาที่นี่ด้วย รู้สึกว่าบังเอิญไปหน่อย” พูดจบนางก็ทำท่าเกาศีรษะราวกับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ       

        หนานกู่เยว่ก้มหน้าลงมองที่หน้าท้องของตนเอง รอยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ “มาขอพรให้บุตรในครรภ์ หวังว่าเขาจะเติบโตอย่างแข็งแรง”

        “ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน” หว่านเอ๋อร์กล่าว

        ในเวลานั้นเว่ยเฉี่ยนเดินเข้ามา นางก้มลงกล่าวบางอย่างกับฉีเฉิน ฉีเฉินมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ชั่วพริบตาก็กลับมาเป็นปกติเช่นเดิม หนานกู่เยว่คิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญอะไรบางอยางจึงไม่ได้ถามถึง

        หลังจากรับประทานอาหารเจเสร็จแล้ว หว่านเอ๋อร์ก็หาข้ออ้างหลบออกมา นางวนหาภายในวัดอยู่สองสามรอบก็ไม่พบจวินหวงอีก รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ได้แต่ถอนหายใจแล้วนั่งอยู่ที่ที่นางพบกับจวินหวงเมื่อครู่ เอามือเท้าคางแล้วมองดอกไห่ถังอย่างใจลอย

        บังเอิญมีเณรน้อยเดินผ่านมาพบหว่านเอ๋อร์ เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว เขาเกิดความสงสัยเล็กน้อยจึงเดินเข้าไปพูดด้วย “ยิ่งดึกน้ำค้างยิ่งแรง สีการีบกลับห้องไปพักผ่อนเถิด”

        “ไต้ซือน้อย ท่านรู้ไหมว่าคุณชายหนานสวินพักอยู่ที่ไหน?” หว่านเอ๋อร์นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่จวินหวงอยู่กับหนานสวิน แสดงว่าพวกเขารู้จักกัน ไม่แน่ว่าตนเองอาจจะไปหลอกถามเอาความกับหนานสวินได้

        “คุณชายหนานสวินกลับไปนานแล้ว”

        หว่านเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมา เณรน้อยตกใจจนก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองหว่านเอ๋อร์ด้วยท่าทางตื่นตระหนก กลัวว่าองค์หญิงผู้เอาแต่ใจผู้นี้จะก่อเรื่องอะไรพิเรนทร์ขึ้นมา

        เห็นเณรน้อยมีท่าทีเช่นนั้น หว่านเอ๋อร์ก็รู้ว่าตนเองคงทำให้เขาตกใจ นางจึงกระแอมเบาๆ จัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อย แล้วกลับมาอยู่ในกิริยาที่องค์หญิงควรจะเป็น “เขากลับไปคนเดียวหรือ?”

        เณรน้อยส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรมากมายอีก เพียงแค่บอกให้หว่านเอ๋อร์กลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย แล้วเขาก็เดินจากไป หว่านเอ๋อร์ยืนอยู่ในสวนอีกสักพัก รู้สึกเพียงว่าลมราตรีที่โชยมาเย็นสบาย แต่หัวใจของนางกลับร้อนรุ่ม

        “หรือว่าข้าจะชอบเขาเข้าแล้วจริงๆ?” หว่านเอ๋อร์พึมพำกับตัวเอง

        หลังจากเกิดความคิดนี้ นางก็ยิ่งอิ่มเอมใจมากขึ้นเรื่อยๆ หลายปีมานี้มีคุณชายมากมายมาสยบแทบเท้านาง แต่นางก็ยังไม่พบคนที่เหมาะสม มาตอนนี้พอจวินหวงผู้ซึ่งดูราวกับเทพเซียนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้น นางก็รู้สึกว่านี่คือบุพเพสันนิวาสที่โชคชะตาได้กำหนดไว้แล้ว

        เช้าวันต่อมา หว่านเอ๋อร์ก็กลับมาถึงวังหลวง พระสนมกุ้ยเฟยได้ยินข่าวว่าหว่านเอ๋อร์กลับมาแล้ว ก็ให้คนไปตามหว่านเอ๋อร์มาคุยด้วยเล็กน้อย

        ในใจของหว่านเอ๋อร์มัวแต่คิดถึงจวินหวงจึงเหม่อลอยเล็กน้อย ท่าทางยิ่งดูเซื่องซึม ทำให้พระสนมกุ้ยเฟยรู้สึกแปลกใจ ปกติหว่านเอ๋อร์เป็นเด็กสาวที่ไม่เคยสนใจไยดีอะไรทั้งสิ้น นางเพิ่งจะเคยเห็นหว่านเอ๋อร์มีท่าทางแบบนี้เป็นครั้งแรก

        พระสนมหยิบขนมกุ้ยฮวาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาชิมหนึ่งคำ แล้วค่อยๆ เอ่ยปากถาม “หว่านเอ๋อร์ ท่าทางเจ้าใจลอยไม่อยู่กับเนื้อตัวแบบนี้ ไปก่อเรื่องอะไรที่ทำให้เสด็จพ่อไม่พอพระทัยอีกแล้วใช่หรือไม่?”

        “ข้าไปก่อเรื่องที่ไหนกัน ใครจะไปทำให้เสด็จพ่อขุ่นเคืองพระทัยได้ทุกครั้ง หรือว่าในพระทัยเสด็จแม่คิดว่าข้าเป็นคนแบบนั้น?” หว่านเอ๋อเริ่มรู้สึกไม่พอใจ มุ่ยหน้ายื่นปากจู๋ออกมา จนพระสนมอดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ แต่นี่ยิ่งทำให้พระสนมกุ้ยเฟยยิ่งอยากรู้ว่ามีอะไรที่ทำให้หว่านเอ๋อร์เป็นเช่นนี้ได้

        “เช่นนั้นเจ้าก็บอกแม่มาว่าเกิดอะไรขึ้น?”

        หว่านเอ๋อร์เกิดอาการกระบิดกระบวนขึ้นมาเล็กน้อย หลุบตาลงไม่กล้ามองพระสนมกุ้ยเฟย นางขยุ้มชายเสื้อไว้แน่น หัวใจเต้นโครมครามแทบจะกระโดดออกมา ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากขึ้น “เสด็จแม่ ข้ารู้สึกว่าข้าชอบคนผู้หนึ่งเข้าแล้ว” 

Author จันทราหน้าหอ