มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 8 บทที่ 230 รอ

        เพียงเสียงร้องฮึ! อย่างเย็นชาของอัศวินลำดับที่เจ็ดดังขึ้นมาก็สามารถกลบเสียงคนนับหมื่นคนได้

        ทุกคนต่างเฝ้ารอการมาของราชาเมืองแซมบอร์ด

        ทว่าผ่านไปหนึ่งนาที สองนาที…จนสิบนาทีผ่านไป ในจินตนาการของทุกคนต่างคิดไปในทางเดียวกันว่า อาจจะมีเสียงตะโกนด่าหรือเสียงตอบกลับมาอย่างดูถูกดังออกมาจากค่ายทหารเมืองแซมบอร์ด แต่นี่ไม่มีเลย ที่ค่ายทหารเมืองแซมบอร์ดยังคงเงียบกริบ ดวงอาทิตย์ฉายแสงสาดส่องลงมาบนหิมะจนเกิดแสงสีเงินเป็นประกาย ในช่วงเวลานี้ ทั้งสนามประลองดาบหมายเลขหนึ่งพลันเงียบสงบ

        ฮึ!

        เมื่อไม่มีการโต้ตอบกลับมา อัศวินผู้ตัดสินลำดับที่เจ็ดก็แค่นเสียงออกมา อีกครั้งท่าทางของเขาไม่ได้โมโหจนเป็นฟืนเป็นไฟอย่างที่หลายๆ คนคิด หลังจากร้องหึ! ออกมาก็ไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงยืนนิ่งๆ อย่างองอาจและหลับตาลงไม่พูดกับใคร เปลวไฟสีแดงเลือดลุกโชนล้อมรอบกายของเขาไว้ แสงสีเลือดขมุกขมัวบนร่างของเขาทำให้ร่างและใบหน้าของเขาเริ่มเลือนราง ราวกับเป็นเพียงภาพมายาที่เดี๋ยวชัดเดี๋ยวหาย

        เขากำลังรอ

        เพราะยังเหลือเวลาอีกตั้งสิบนาที ก่อนจะถึงเวลานัดหมาย

        บรรยากาศตอนนี้กดดันมากเสียจนผู้คนเริ่มหายใจไม่ออก

        ถึงตอนนี้ทุกคนเพิ่งเข้าใจว่าอัศวินโลหิตคนนี้กำลังโมโหอยู่ในอก

        ทั้งลานประลองดาบหมายเลขหนึ่งไม่มีใครกล้าส่งเสียงพูดออกมาสักคนเดียว ร่างที่ยืนเด่นอยู่บนสนามประลองแผ่กลิ่นอายโลหิตออกมาจากร่างอย่างพลุ่งพล่าน ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรเลือดและกองภูเขาซากศพหลายๆ คนเริ่มหายใจไม่ออก หัวใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง บางคนหน้าซีด ส่วนบางคนก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาแรงๆ

        อัศวินโลหิต ชื่อนี้เป็นชื่อที่น่ากลัวที่สุดในค่ายทหารของอาณาจักรบริวาร

        แม้แต่เหล่าขุนนางชั้นสูงที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดก็ยังไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะหยอกล้อออกมาสักคำ แต่ละคนต่างนั่งนิ่งเงียบ วิหารอัศวินเรียกได้ว่าเป็นหน่วยงานที่เปื้อนเลือดมากที่สุดและดำมืดที่สุดในราชอาณาจักรเซนิท วิหารอัศวินจะปฏิบัติตามคำสั่งขององค์จักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียว อำนาจหน้าที่ของพวกเขาก็คือคอยตรวจตราเหล่าขุนนางน้อยใหญ่และอาณาจักรบริวารทั้งสองร้อยห้าสิบอาณาจักร กฎหมายทั่วไปของราชอาณาจักรเซนิทไม่สามารถใช้กับวิหารอัศวินได้ พวกเขาอยู่เหนือกฎหมายด้วยซ้ำ

        ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา พวกเขาต่างใช้อำนาจกล่าวโทษเหล่าขุนนางชั้นสูง ราชาของอาณาจักรบริวารที่มีชื่อเสียงและเหล่าราชาที่ยังไม่สวมมงกุฎว่าเป็นกบฏ และประหารชีวิตของพวกเขาไปเป็นจำนวนมาก แม้แต่คนของตระกูลเจ็ดขุนนางที่ทรงอำนาจในราชอาณาจักรเซนิทก็ยังถูกพวกเขากล่าวโทษ และจับคนในตระกูลพวกเขาไปประหารชีวิตมาแล้วไม่น้อย นอกจากนี้ บนเสาประหารทองคำในวิหารอัศวินของพวกเขายังเคยประหารชีวิตองค์ชายสามและองค์ชายสี่ในข้อหากบฏมาแล้ว

        เรือนจำอัศวินเปรียบได้กับนรกบนดิน เป็นสัญลักษณ์ของความตายและการทรมาน

        ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกจับเข้าไปในเรือนจำอัศวิน ต่อให้ก่อนหน้านี้จะมีสถานะที่โดดเด่นสูงส่งและมีอำนาจยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าเข้าไปในเรือนจำอัศวินแล้ว พวกเขาก็ไม่เคยได้กลับออกมาอีกเลย

        วิหารอัศวินเต็มไปด้วยความลับและความโหดร้ายมากมาย นอกจากองค์จักรพรรดิแล้ว ก็มีหัวหน้าอัศวินอคินเฟเยฟ บุรุษที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นสุดยอดอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานที่ล่วงรู้ความลับในวิหารอัศวิน

        อัศวินผู้ตัดสินลำดับที่เจ็ด ครู้ด ได้รับสมญานามว่าเป็นอัศวินโลหิต แสดงให้เห็นว่าเขานั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด จิตใจโหดร้ายแค่ไหน และมือของเขาเปื้อนเลือดไปมากเท่าไร ที่เขาสามารถเปลี่ยนคลื่นพลังโลหะทองคำของตัวเองให้กลายเป็นสีแดงเลือดได้ นั่นก็เพราะว่าเขาก้าวผ่านมหาสมุทรเลือดและกองภูเขาซากศพทีละก้าว และดูดซับกลิ่นอายของเลือดคนตายไปเป็นจำนวนมากจนหล่อหลอมให้สีของคลื่นพลังเปลี่ยนไป อัศวินผู้ตัดสินทั้งสิบคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง แต่ละคนมีพลังและทักษะที่สูงส่ง ทว่าผู้ที่มีนิสัยโหดเหี้ยมที่สุดและเลือดเย็นที่สุดก็คือครู้ด อัศวินผู้ตัดสินลำดับที่เจ็ด!

        เมื่ออัศวินผู้ตัดสินที่ทรงอำนาจและมากด้วยพลังมายืนอยู่ด้านหน้า ผู้คนนับล้านในราชอาณาจักรเซนิทต่างหวาดกลัวจับใจ ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมองแม้แต่คนเดียว ยกเว้นแค่องค์จักรพรรดิและเทพนักรบผู้พิทักษ์เท่านั้นที่สามารถสยบอัศวินผู้พิทักษ์เหล่านี้ได้

        ราชาเมืองแซมบอร์ดจะกล้าโผล่หัวมาหรือ?”

        ผ่านไปได้สองสามนาที บนเก้าอี้ด้านหน้าสุด บุรุษที่สวมชุดเกราะแปลกๆ ที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดอันแหลมคมก็เปิดปากพูดโพล่งออกมา เขาก็คืออัศวินผู้ตัดสินลำดับที่สอง ‘อัศวินแห่งการสังหาร’ เขานั่งไขว้ขาอยู่บนเก้าอี้ ทั้งร่างต่างปกคลุมไปด้วยพลังแปลกๆ ที่ทำให้ร่างของเขาดูพร่ามัว เขาสวมหมวกเกราะที่ปกป้องใบหน้า ดวงตาของเขาเผยร่องรอยความกระหายฆ่าฟันออกมา

        ประโยคนี้ทำให้อุณหภูมิรอบๆ ตัวติดลบขึ้นมาทันที

        ก็แค่สุนัขบ้านนอกที่ถือดีว่าตัวเองมีพลังนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น” น้ำเสียงของอัศวินผู้ตัดสินลำดับที่ห้า ‘อัศวินแห่งความโหดร้าย’ แฝงไปด้วยความดูถูกโดยมีอัศวินผู้ตัดสินลำดับที่สี่ ‘อัศวินศาสตราวุธ’ พยักหน้าเป็นเชิงว่าเห็นด้วย

        อัศวินผู้ตัดสินลำดับที่สาม ‘อัศวินแห่งการลงทัณฑ์’ อัศวินผู้ตัดสินลำดับหก ‘อัศวินแห่งแสง’ และอัศวินผู้ตัดสินลำดับเจ็ด ‘อัศวินโลหิต’ ที่นั่งถัดไปก็ยังคงนั่งเงียบๆ ไม่ออกความคิดเห็นแต่อย่างใด ทั้งร่างของพวกเขาเต็มไปด้วนคลื่นพลังที่กำลังพลุ่งพล่านประหนึ่งทะเลคลั่ง พวกเขาทั้งสามคนต่างสบตากันผ่านทางหมวกเกราะ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไร

        บางคนที่สายตาดีก็จะพบว่า ตรงบริเวณที่นั่งพิเศษ ตำแหน่งเก้าอี้ของอัศวินผู้ตัดสินทั้งหกคนต่างดูแปลกๆ ระยะห่างของเก้าอี้ทั้งหกตัวเหมือนจะอยู่ใกล้แต่ก็ไกล ราวกับว่าพวกเขาได้แบ่งเป็นสองกลุ่มเล็กๆ ดูเหมือนว่าเหล่าอัศวินผู้ตัดสินทั้งสิบคนก็ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนอย่างที่พวกเขาคิด!

        พระอาทิตย์เริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ เหลือเวลาอีกแค่สามนาทีเท่านั้นก็จะถึงเวลาเที่ยงตรง

        บางคนก็คาดเดาไปต่างๆ นานาว่า ราชาเมืองแซมบอร์ดจะไม่ปรากฏตัวออกมาเพราะว่าเขาไม่กล้า

        ตอนนี้เองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอีกครั้ง

        ประตูเมืองหลวงถูกเปิดออกมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงเกือกม้าที่พุ่งทะยานออกมาอย่างเร่งรีบประหนึ่งเขื่อนแตก อัศวินม้าสีดำต่างวิ่งตรงมาทางนี้ ด้านหลังของพวกเขามีรถม้าเวทมนตร์สีดำตามมาติดๆ เห็นได้ชัดว่าขบวนของพวกเขาแตกต่างจากขบวนของเหล่าขุนนางชั้นสูงก่อนหน้านี้มาก อัศวินม้าเหล่านี้ต่างขี่ม้าศึกธรรมดาๆ และควบมันเป็นจังหวะที่พร้อมเพียงกัน พวกเขาเผยกลิ่นอายที่สูงส่งและเคร่งขรึมออกมาในขณะที่มุ่งหน้าตรงมาที่นี่

        นั่นมันอัศวินของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์นี่

        อย่าบอกนะว่า การต่อสู้ในครั้งนี้ก็ดึงดูดความสนใจจากพวกโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน?”

        ไม่รู้ว่านักบวชที่มาเป็นใครกัน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นท่านบิชอปก็ได้?”

        สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างความตกใจให้แก่ขุนนางทุกคนที่นั่งอยู่บนพื้นที่พิเศษ แม้แต่อัศวินผู้ตัดสินทั้งหกคนเองก็ยังตกใจ ดวงตาภายใต้หมวกเกราะของพวกเขาฉายแววแปลกใจ เดิมทีการต่อสู้ในครั้งนี้ดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาก็เพราะว่ามีหนึ่งในสิบอัศวินผู้ตัดสินเข้าร่วมต่อสู้ ดังนั้นการปรากฏตัวของอัศวินผู้ตัดสินทั้งหกคนจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนพอจะเข้าใจ แต่การที่นักบวชระดับสูงจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์มาร่วมชมการต่อสู้ด้วยนั้น เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของทุกคน

        ทันทีที่อัศวินเกราะดำเดินผ่าน ฝูงชนโดยรอบก็เงียบกริบทันที

        รถม้าเวทมนตร์สีดำแล่นผ่านสายตาของทุกคนไปจอดตรงด้านหน้าสนามประลองดาบ จากนั้นทุกอย่างก็นิ่งสงบราวกับว่าจะรอดูอย่างเงียบๆ คนที่อยู่ในรถม้าเวทมนตร์ไม่มีทีท่าว่าจะออกมาแต่อย่างใด สร้างความแปลกใจและสงสัยให้กับทุกคนที่อยู่รอบๆ สนามประลอง

        ในที่สุดก็ใกล้จะถึงเวลาเที่ยงตรง

        เวลาในการต่อสู้กำลังจะใกล้เข้ามาแล้ว

        ลำแสงสีเงินสายหนึ่งส่องมาจากทางพระราชวังจักรพรรดิ

        ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคน ลำแสงสีเงินที่สาดส่องลงมาบนสนามประลองดาบหมายเลขหนึ่งก็กลายเป็นร่างคนที่สวมชุดคลุมสีขาวล่องลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะค่อยๆ หล่นลงมาที่สนามประลอง

        มือซ้ายของคนคนนี้ถือพัดขนนกสีทอง ส่วนมือขวาก็ถือแก้วไวน์หรูหราสีทอง ผมสีดำมัดรวบไว้ด้านหลังดูกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย เอวของเขาคาดด้วยเข็มขัดหนังสัตว์อสูรสีทอง ทั้งร่างเปล่งประกายแสงสีทองประหนึ่งเพิ่งเอาตัวไปชุบบ่อทองมาก็ไม่ปาน เขายืนตระหง่านอยู่บนสนามประลองด้วยท่าทางสบายๆ เหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากรังสีฆ่าฟันของอัศวินผู้ตัดสินลำดับที่เจ็ด ‘อัศวินโลหิต’ เขากระพือขนนกสีทองพลางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเล็กน้อย ท่าทางของเขาดูสง่าผ่าเผยไม่น้อย

        ใกล้จะถึงเวลานัดดวลแล้ว ข้าจะนับถอยหลัง หากราชาแซมบอร์ดยังไม่มาภายในสิบวินาทีนี้จะถือว่าแพ้!

        หลังจากจิบไวน์ไปอึกหนึ่ง ชายในชุดคลุมสีขาวก็เอ่ยออกมาเสียงดัง

        ในขณะที่เขาพูด เขาไม่ได้ใช้อุปกรณ์วิเศษหรือแม้แต่ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง ทว่าเสียงของเขากลับดังไปทั่วบริเวณ ทุกคนต่างได้ยินคำประกาศนี้อย่างชัดเจนประหนึ่งเขาเข้ามาพูดใกล้ๆ หูของตัวเอง น้ำเสียงของเขาทุ้มนุ่มดูมีเสน่ห์ ทำให้ผู้ที่อยู่รอบๆ ต่างอดไม่ได้ที่จะตั้งใจฟังคำพูดของเขา

        คนคนนี้คือนักพเนจรอันดับหนึ่งของราชอาณาจักรเซนิท มาเตรัซซี่

        บุรุษผู้นี้ถือได้ว่าเป็นบุคคลในตำนานที่แสนลึกลับ เขาเป็นนักพเนจรที่แข็งแกร่งมาก แม้เขาจะไม่เคยแสดงฝีมือของตัวเองออกมาให้ใครเห็น แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเขาอ่อนแอ มีข่าวลือกันว่านักพเนจรคนนี้ชอบท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ และใช้ชีวิตสนุกสนานไปเรื่อย ความเป็นมาของเขานั้นลึกลับและไม่ต่างอะไรกับเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง เขาไม่เพียงมีความสัมพันธ์อันดีกับจักรพรรดิยาซินผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังรู้จักมักจี่กับเทพนักรบผู้พิทักษ์อีกด้วย

        ตามธรรมเนียมประเพณีของแผ่นดินอาเซรอท การต่อสู้บนสนามประลองจะต้องเชิญนักพเนจรที่มีชื่อเสียงมาเป็นกรรมการก ารต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือระดับหกดาวในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ในรอบหลายปี ดังนั้น การที่นักพเนจรอันดับหนึ่งของราชอาณาจักรเซนิทอย่างมาเตรัซซี่จะมาเป็นพยานในการต่อสู้ครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่ปกติมาก เพราะฉะนั้นทุกคนจึงไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอะไรเมื่อเห็นเขาปรากฏตัวขึ้นมา

        “สิบ…เก้า…แปด…เจ็ด…”

        มาเตรัซซี่ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแล้วเริ่มนับถอยหลังต่อไปอย่างช้าๆ

        “ห้า…สี่…สาม…สอง…”

        ในขณะที่นักพเนจรอันดับหนึ่งกำลังจะพูดคำว่า ‘หนึ่ง’ ออกมา ฉับพลันบนท้องฟ้าก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ก่อนจะปรากฏแสงสว่างพุ่งออกมาจากค่ายทหารเมืองแซมบอร์ดมายังสนามประลอง

        มาแล้ว…ราชาเมืองแซมบอร์ดมาแล้ว!

        เขามาจริงๆ ด้วย…

        กล้าหาญมาก ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะกล้ามาท้าสู้กับอัศวินผู้ตัดสินลำดับที่เจ็ด!!!”

        ทันใดนั้นเอง เสียงตื่นเต้นก็ดังกระหึ่มออกมาทั้งในสนามและนอกสนาม หลายๆ คนยืดกายตรงเพื่อจะมองให้ชัด แต่พวกเขากลับมองไม่เห็นอะไรนอกจากเงาร่างหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามา แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนก็คือ พลังมหาศาลที่ไม่ธรรมดากำลังทะยานเข้ามา หลายๆ คนที่ทนรับแรงกดดันของพลังนั้นไม่ได้ก็พากันซวนเซจนเกิดภาพคล้ายคลื่นคนกำลังเคลื่อนไหว พลังมหาศาลนั้นพุ่งผ่านเหนือหัวของพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว

        แรงกดดันบนร่างของราชาเมืองแซมบอร์ดไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าครู้ด อัศวินผู้ตัดสินลำดับที่เจ็ดเลย ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเหนือล้ำกว่าที่หลายๆ คนจินตนาการเสียอีก!

        เฮอะ!

        เสียงหัวเราะขึ้นจมูกดังมา

        ครู้ดที่อยู่บนลานประลองดาบยักไหล่ตัวเองขึ้นมาน้อยๆ

        ฟุ่บๆๆๆ!

        ทันใดนั้นเองก็มีเสียงแสบแก้วหูดังขึ้นมา คลื่นดาบสีเลือดสี่สายออกมาจากร่างของ ‘อัศวินโลหิต’ ก่อนจะกลายเป็นสายรุ้งพุ่งทะยานพาดผ่านท้องฟ้า เสียงแหวกอากาศดังขึ้นอย่างชัดเจน สายรุ้งสีเลือดต่างพุ่งเข้าไปปะทะกับร่างเงาเลือนรางที่กำลังทะยานเข้ามาอย่างไร้ความปรานี!

        ในอากาศ เงาเลือนรางที่กำลังแล่นเข้ามาก็เกิดแสงสว่างวูบขึ้นมา

        ในขณะที่เผชิญหน้ากับคลื่นดาบสีแดงที่ทะยานเข้ามา เงาร่างนั้นก็กะพริบหลบคลื่นดาบสีแดงไม่หยุด เพียงเสี้ยววินาทีก็สามารถหลบคลื่นดาบสีแดงทั้งหมดได้ อีกทั้งยังเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวมากขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ

        เงาเลือนรางตัดผ่านอากาศ ก่อนจะตกลงมายังสนามประลองหมายเลขหนึ่ง

        “หนึ่ง…”

        ประจวบเหมาะกับที่นักพเนจรอันดับหนึ่งกำลังนับเลขถอยหลังตัวสุดท้ายพอดี ในที่สุดราชาอเล็กซานเดอร์แห่งเมืองแซมบอร์ดก็ปรากฏกายขึ้นบนสนามประลองได้ภายในสิบวินาทีสุดท้าย!

        ราชาเมืองแซมบอร์ดปรากฏตัวขึ้นมาก่อนเวลาจะหมดลงเพียงเสี้ยววินาที!

        นี่หมายความว่า…การต่อสู้ยังคงมีผล!

        —————-

Author MEMYARMY