ท่านหมอจินมองดูเครื่องไม้เครื่องมือของตนรอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมดีแล้ว เขาก็หยิบเข็มเงินซึ่งฆ่าเชื้อแล้วเล่มหนึ่งขึ้นมา ก่อนออกแรงที่ข้อมือ ปักเข็มเงินลงบนตัวของหลิ่วจิ้งอย่างแม่นยำ
มือของท่านหมอจินฝังเข็มจมลงไป แม้หั่วอี้จะเคยเห็นมามากก็ยังอดขมวดคิ้วมิได้ สัญชาตญาณบอกเขาว่าเมื่อแทงเข็มเงินเข้าไปในร่างกายอย่างไรก็ย่อมไม่ดีต่อร่างกายกระมัง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยข้อสงสัยนี้ออกไป เขายกสิทธิ์ในการตัดสินใจให้แก่ท่านหมอจิน
เพียงแต่เมื่อมองคนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง หั่วอี้ก็ปวดใจนัก ยามนี้เองหั่วอี้จึงตัดสินใจว่าเขาจะให้ฐานะที่ชัดเจนแก่องค์หญิงที่เดินทางมาไกลจากแคว้นต้าเว่ยผู้นี้ เพื่อให้นางเป็นสตรีของเขาอย่างแท้จริงสักที
หั่วอี้นิ่งเงียบ มองท่านหมอจินหยิบเข็มเงินยาวๆ อีกสองเล่มออกมา เพียงพริบตาก็ปักลงบนหัวของหลิ่วจิ้งทั้งทางด้านซ้ายและขวา จนกระทั่งท่านหมอจินใช้วิธีเดียวกันนี้ปักเข็มที่ฆ่าเชื้อแล้วทั้งเจ็ดเล่มลงบนใบหน้าและหัวของหลิ่วจิ้ง เขาจึงหยุดมือลง
หั่วอี้มององค์หญิงที่มีเข็มปักอยู่เต็มหน้าเต็มหัว ในใจเต็มไปด้วยความสงสารและรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ครานี้กลายเป็นเขาไม่กล้าส่งเสียงบ้างแล้ว หั่วอี้ไม่เคยรู้สึกกลัวเช่นนี้มาก่อน กลัวว่าคนบนเตียงจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย
ท่านหมอจินรอประมาณชั่วหนึ่งก้านธูปก่อนเข้าไปดึงเข็มเงินออกทีละเล่ม เมื่อเขาดึงเข็มเงินเล่มสุดท้ายออกจากตัวหลิ่วจิ้ง ก็ได้ยินเสียง ‘อืม’คราหนึ่งจากหญิงสาวบนเตียงตามที่คาดหวังไว้
แม้หลิ่วจิ้งจะส่งเสียงออกมาสั้นๆ เพียงคำหนึ่ง แต่หั่วอี้ก็ยินดีจนเดินเข้ามาหาสองก้าว เขานั่งลงบนเตียงพลางคอยร้องเรียกองค์หญิงไม่หยุด
หลิ่วจิ้งรู้สึกว่าตนเองหลับไปนานยิ่งนัก ขณะนอนหลับฝัน นางเอาแต่ใช้สองมือเท้าแก้มมองมารดาปักผ้า ฝีมือของมารดายังคงงดงามเช่นเดิม ทั้งดอกไม้และนกนานาพันธุ์ในภาพปักของมารดาล้วนสมจริงราวกับมีชีวิต ส่วนบิดาก็นั่งอยู่อีกข้าง กำลังอ่านหนังสือเล่มโตที่สำหรับนางแล้วล้วนเป็นหนังสือที่น่าเบื่อตลอดกาล
จนกระทั่งได้ยินเสียงคนร้องเรียกนาง เพียงแต่เหตุใดคนคนนั้นจึงเอาแต่เรียกนางว่าองค์หญิง มิใช่จิ้งเอ๋อร์
นางพยายามตั้งสติคิดจะขยับเข้าไปใกล้อีกก้าวเพื่อให้ได้ยินชัดเจน ทว่าจู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจอย่างหนัก ทนไม่ไหวจนต้องขมวดคิ้วแน่น หลิ่วจิ้งอยากลืมตาขึ้น อยากดูว่าใครบังอาจเอาเข็มมาทิ่มแทงตน แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ล้วนไร้ผล นางกลับรู้สึกเพียงว่าเปลือกตาของตนหนักเป็นพันจิน [1] ไม่ว่าอยากลืมตาเท่าใดก็ไม่อาจทำได้
จวบจนความเจ็บปวดจากของคล้ายเข็มซึ่งกดชีพจรที่หัวใจหายไป นางจึงรู้สึกว่าหัวใจโล่งขึ้นทันใด รีบถลึงลืมตาขึ้นมาเต็มแรง และพบว่าสองตาของตนสามารถลืมขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อหลิ่วจิ้งลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ก็มองเห็นแววตาสดใสงดงามเกินเอ่ยรุกล้ำเข้ามาในดวงตาของตน ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้า พลันประสานเข้าหากันจนไม่อาจแบ่งแยกกันและกันได้
หลังจากท่านหมอจินดึงเข็มเงินออกแล้ว เสียงร้องเรียกองค์หญิงหนแล้วหนเล่าของหั่วอี้กลับเป็นดั่งก้อนหินที่จมลงในท้องทะเลกว้าง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดแม้แต่น้อย แต่ในขณะที่ยังมิทันได้เตรียมใจก็พบว่าองค์หญิงลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ชั่วอึดใจนั้นเขายังคงมองนางด้วยความมึนงง นึกว่าตนเองคาดหวังมากเกินไปจนบังเกิดภาพลวงตาเสียแล้ว
หลิ่วจิ้งยังตื่นจากฝันได้ไม่เต็มตา ยังคงไม่อาจผละจากความอบอุ่นอันหอมหวานยามอยู่ข้างกายบิดามารดา แล้วเปลี่ยนมาเป็นการอยู่ตัวคนเดียวในต่างบ้านต่างเมืองได้
ด้านหั่วอี้เองก็นึกไม่ถึง เขาแทบจะสิ้นหวังอยู่รอมร่อ แต่แล้วความหวังก็เข้ามาข้างกายโดยไม่แม้แต่จะทักทายมาก่อน
ทั้งสองจับจ้องกัน ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า ชั่วพริบตานั้นไม่มีใครอยู่ในสภาพตื่นเต็มตามีสติชัดเจนสักคน
กลับเป็นท่านหมอจินที่เห็นอาการเช่นนั้น จึงกระแอมเสียงเบาไปหนหนึ่ง ทำให้คนทั้งสองที่กำลังสบตากันกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง
คนที่ดึงสติกลับมาได้เป็นคนแรกคือหั่วอี้ เขามององค์หญิงอย่างตื่นเต้นยินดีก่อนรวบตัวนางมากอดไว้ในอก ราวกับกำลังกอดสมบัติล้ำค่าที่หายไปแล้วได้กลับคืนมา
เมื่อถูกหั่วอี้กอด หลิ่วจิ้งไม่คุ้นเคยกับความกระตือรือร้นเช่นนี้ของเขาเอาเสียเลย แม้ยามปกติหั่วอี้จะแทะโลมนางด้วยวาจาในบางครา เช่นเคยพูดเรื่องทำนองอยากหาความสำราญดั่งปลาแนบชิดน้ำกับนางมาก่อน แต่ก็เพียงพูดด้วยปากเท่านั้นมิเคยลงมือทำจริงๆ
ด้วยเหตุนี้แม้หลิ่วจิ้งจะสวมตำแหน่งฮูหยินแห่งจวนแม่ทัพมาหลายวัน แต่ทั้งคู่กลับได้ใกล้ชิดชนิดเนื้อแนบเนื้อเช่นนี้น้อยนัก
หลิ่วจิ้งอายจนหน้าแดง โดยเฉพาะเมื่อพบว่าในห้องยังมีคนนอกอยู่ด้วย ก็ยิ่งแทบอยากให้บนพื้นมีโพรงให้นางมุดลงไปก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน
“ท่านเกือบไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว วันหน้ามีเรื่องใดก็ให้บอกข้า ข้าจะช่วยท่านตัดสิน อย่าได้เก็บเรื่องต่างๆ ไว้ในใจเพียงลำพังคนเดียวจนกระทบกระเทือนใจและหมดสติไปเช่นวันนี้อีก ดีที่ได้รับการช่วยเหลือทันท่วงที มิเช่นนั้นหากไปพบช้ากว่านี้ ชีวิตท่านก็อาจหาไม่แล้ว”
หั่วอี้พูดจบก็รู้สึกหวาดกลัวจึงยิ่งกอดนางแน่นเข้าไปอีก
ได้ยินที่หั่วอี้พูด ที่สุดหลิ่วจิ้งก็กลับมาในโลกแห่งความจริงเต็มตาแล้ว นางคิดย้อนไปว่าเหตุใดตนเองถึงได้หมดสติไป ก่อนหน้านั้นเกิดเรื่องใดบ้าง นางล้วนจำได้ทั้งสิ้น
นางพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตนเอาไว้แล้วพยายามดันตัวออกจากอกของหั่วอี้ สบตาเขาและเอ่ยคำขอบคุณด้วยใจจริง
คำขอบคุณของหลิ่วจิ้งมาจากส่วนลึกในใจจริงๆ นางรู้ว่าหากผู้ที่มาพบก่อนไม่ใช่หั่วอี้แต่เป็นคนจากทั้งสองเรือน บางทีท้ายที่สุดแล้วคนในจวนแม่ทัพอาจพบศพนางอยู่ในสระก็เป็นได้
นางยังจำได้ว่าก่อนหมดสติไปนางเหม่อมองท้องฟ้าแสนไกล เอ่ยกับบิดามารดาที่กลายเป็นอากาศธาตุว่า “ให้ลูกเป็นเด็กสาวตัวเล็กที่ถูกคนประคบประหงมอยู่ในฝ่ามืออีกสักคราเถิด” แต่ยามนี้นางตื่นจากฝันแล้ว แม้รู้ว่าหนทางที่รออยู่เบื้องหน้าเป็นสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ได้แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น มีแต่ต้องกัดฟันเดินต่อจนกว่าจะสามารถล้างหนี้เลือดให้บิดามารดาและคนในครอบครัวที่ล้วนตายจากไปอย่างอนาถใต้คมดาบ
และยังมีคนผู้นั้น คนใจคดที่ทำให้นางหลงมอบความจริงใจให้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ดวงตาของหลิ่วจิ้งก็มีหยดน้ำตาออกมา นางรีบแสร้งทำเป็นเอียงอาย ซบหัวลงในอกของหั่วอี้เพื่อปกปิดความอ่อนแอในใจ
หั่วอี้หารู้ไม่ว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนเกิดความคิดมากมายหมุนวนเป็นพันเป็นหมื่นรอบแล้ว ทางหนึ่งเขายินดีปรีดาที่องค์หญิงเข้ามาอิงแอบเขา อีกทางหนึ่งก็ชี้นิ้วไปทางท่านหมอจินก่อนบอกว่า “ท่านหมอจิน วันนี้ที่ท่านช่วยรักษาฮูหยินของข้าเป็นความชอบนัก อีกสักเดี๋ยวให้ไปเบิกหนึ่งร้อยตำลึงเงินที่ห้องบัญชี นั่นคือค่าแรงของท่าน แล้วท่านค่อยไปไตร่ตรองดีๆ ว่าการรักษาฮูหยินในขั้นต่อไปต้องคอยระวังเรื่องใดบ้างและต้องกินยาหรือไม่ ให้ท่านเขียนออกมาให้ละเอียด”
ท่านหมอจินดีใจไม่เบา คิดไม่ถึงว่าแค่ฝังเข็มไม่กี่เล่มก็ได้รางวัลตั้งร้อยตำลึง เขารีบขอบคุณท่านแม่ทัพแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพขอรับ สิ่งสำคัญก็คือฮูหยินมีเรื่องเก็บเอาไว้ในใจไม่ระบายออกมา ดั่งไฟที่คอยสุมอยู่ในอก ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องป่วยทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้วันหน้าขอเพียงฮูหยินสบายใจก็จะไม่เป็นไรแล้วขอรับ ส่วนเรื่องยา ข้าจะจัดยาที่มีฤทธิ์ช่วยให้ผ่อนคลาย ฮูหยินดื่มสามวันร่างกายก็จะยิ่งกลับมาเป็นปกติเร็วขึ้นขอรับ”
ท่านหมอจินพูดจบก็ฉีกใบสั่งยาที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ทิ้ง หลังจากนั้นจึงเขียนใหม่แผ่นหนึ่งค่อยส่งให้หั่วอี้
หั่วอี้รับมาดูอย่างละเอียด แม้เขาจะไม่เข้าใจว่ายาที่จัดมาให้นั้นเลอเลิศเพียงใดแต่ก็ยังดูอย่างตั้งใจ และรู้สึกว่าใบสั่งยาในมือคือยาดีที่จะทำให้ร่างกายขององค์หญิงกลับมาเป็นปกติ
_____________________________
เชิงอรรภ
[1] จิน เป็นหน่วยวัดน้ำหนักของจีน มีน้ำหนักต่างกันไปตามยุคสมัย ในสมัยโบราณหนักประมาณ 600 กรัม แต่ในปัจจุบันหนัก 500 กรัม