เมืองวันสิ้นโลก ข่าวองค์หญิงเชียนเชียนกำลังจะออกเรือนคล้ายดั่งระเบิดลูกหนึ่งถูกโยนลงกลางทะเลสาบ สำหรับชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ทั่วใต้หล้าที่ชื่นชมองค์หญิงเชียนเชียนแล้ว นี่คือเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างแน่นอน
คู่หมั้นขององค์หญิงเชียนเชียนคือโหยวจือเซวียน คุณชายสองของตระกูลโหยว ตระกูลใหญ่ที่เพียงรองจากตระกูลจู้แห่งเมืองวันสิ้นโลก การเชื่อมสัมพันธ์ทางการแต่งงานของสองตระกูลใหญ่เมืองวันสิ้นโลก ไม่เพียงเสริมสถานะตระกูลจู้แห่งเมืองวันสิ้นโลกให้มั่นคงเท่านั้น ขณะเดียวกันยังทำให้ชื่อเสียงตระกูลโหยวแข็งแกร่งมากขึ้นเช่นกัน
สำหรับโหยวจือเซวียน ผู้คนในเมืองวันสิ้นโลกล้วนทราบดี คนผู้นี้คุณสมบัติล้ำเลิศมากความสามารถ ถึงแม้มิอาจเทียบเท่าสิบราชันพั่วเหยียน แต่ก็นับว่าโดดเด่นไม่แพ้กัน เป็นผู้แข่งขันที่แข็งแกร่งสำหรับตำแหน่งผู้นำตระกูลโหยว องค์หญิงเชียนเชียนเชื่อมสัมพันธ์ตกแต่งกับเขา ก็นับว่าสมน้ำสมเนื้อตามสถานะตระกูลทั้งสอง
แต่ว่า…ล่าสุดเนื่องจากเรื่องราวของสถานพำนักของคุนเผิง จึงยังคงมีผู้คนชนชั้นสูงของสำนักนิกายมากมายรวมตัวกันในเมืองวันสิ้นโลก ท่ามกลางบรรดาคนเหล่านี้กอปรด้วยผู้คลั่งไคล้ภักดีต่อองค์หญิงเชียนเชียนจำนวนมาก และแล้วเมืองวันสิ้นโลกก็เกิดความวุ่นวายขึ้นแล้ว มักสามารถเห็นอัจฉริยะส่วนหนึ่งที่ดื่มสุราจนเมามายแล้วก่อปัญหาขึ้นด้วยความมึนเมา เห็นคนแซ่โหยวก็ลงมือทุบตีทำร้ายทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนแซ่โหยวจำนวนไม่น้อยเลยจริงๆ ที่ถูกทุบตี แน่นอน มีบางคนหลังจากลงมือแล้วก็ถูกตระกูลโหยวลงโทษสถานหนัก ทว่ามีคนส่วนหนึ่งที่ภูมิหลังแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ของแปดสำนักนิกาย มิใช่ผู้ที่ตระกูลโหยวหาญกล้าตอแยอย่างง่ายดายด้วย ดังนั้นเหล่าบรรดาผู้อาวุโสตระกูลโหยวก็รู้สึกขุ่นข้องหงุดหงิดยิ่งนัก
วันประกอบพิธีหมั้นหมายของโหยวจือเซวียนกับองค์หญิงเชียนเชียน ตระกูลโหยวใช้ความคิดไปไม่น้อยเลยทีเดียว ดำเนินการในสภาพการณ์ที่เตรียมพร้อมที่สุด ยังไม่ทราบว่าบรรดาอัจฉริยะผู้หลงใหลในรักเหล่านั้นจะก่อปัญหาสร้างเรื่องราวใดขึ้นมาบ้าง พวกเขาแทบจะไปยื่นคำร้องที่จวนเจ้าเมืองแล้ว
ถึงกับมีผู้คนมากมายหลังจากร่ำสุราจนเมามายแล้ว ก็ไปเรียกชื่อองค์หญิงเชียนเชียนที่ด้านนอกจวนเจ้าเมือง เพียงคิดต้องการพบหน้าองค์หญิงเชียนเชียนสักครั้ง ยังมีส่วนหนึ่งที่ไปหาถึงยอดเขาเยว่ซิ่วเฟิงโดยตรง แต่ว่ากล่าวถึงที่สุดแล้วเมืองวันสิ้นโลกเป็นของตระกูลจู้ สำหรับผู้คนเหล่านี้ จู้ชิงขวงย่อมมิอาจตัดใจกระทำความรุนแรงใดๆ ถึงอย่างไรผู้คนเหล่านี้ก็เป็นผู้ชื่นชมบุตรีของตน
ยอดเขาเยว่ซิ่วเฟิงได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ตระกูลจู้ไม่ต้องการให้วันหมั้นหมายขององค์หญิงเชียนเชียนมีเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายใดๆ เหล่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลจู้ลงมือจัดพิธีหมั้นขององค์หญิงเชียนเชียนด้วยตนเอง แต่ท่านเจ้าเมืองจู้ชิงขวงกลับมิได้กล่าววาจาใดๆ ตลอดมา
“องค์หญิง ฤกษ์งามยามดีใกล้ถึงแล้ว บรรพบุรุษผู้เฒ่าเร่งเร้าให้พวกเราถึงที่นั่นโดยเร็วที่สุดเจ้าค่ะ” เสียงของสาวใช้ทำให้อารมณ์ของจู้เชียนเชียนขุ่นข้องมากยิ่งขึ้น
โหยวจือเซวียนมิใช่คนที่เชียนเชียนชื่นชอบ นางไม่ชอบผู้ชายที่ซุกซ่อนอารมณ์ทั้งหมดไว้เบื้องหลังรอยยิ้มประเภทนั้น แต่ว่า…นางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของตระกูลเท่านั้น ถึงแม้ว่าเวลาของนางใกล้จะหมดลงแล้วก็ตาม ถึงอย่างไรก็ต้องสร้างผลงานหลงเหลือไว้เพื่อตระกูลด้วยเช่นกัน
จู้ชิงขวงเองก็ไร้พลังที่จะกู้สถานการณ์กลับคืนมา ในตระกูลจู้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นท่านเจ้าเมืองเช่นเดิม แต่มิใช่เรื่องราวทุกอย่างจะสามารถกระทำตามอำเภอใจ การลงมติที่ผ่านความเห็นชอบของเหล่าบรรดาผู้อาวุโส แม้แต่ผู้นำตระกูลก็ไม่สามารถคัดค้านได้เช่นกัน จู้ชิงขวงเป็นเพียงตัวแทนตระกูล มีอำนาจกล่าววาจากับคนภายนอกเท่านั้นเอง สิทธิ์อำนาจอันแท้จริงอยู่ในกำมือของเหล่าบรรดาผู้อาวุโสในที่ประชุม ภูมิหลังของตระกูลก็เกี่ยวเนื่องกับพลังอำนาจของเหล่าบรรดาผู้อาวุโสในที่ประชุมเช่นกัน
ดังนั้นจู้เชียนเชียนรู้สึกอับจนปัญญา ทั้งที่นางเคยพยายามที่จะคัดค้านแล้ว
“ถ้าภายในเวลาครึ่งก้านธูป[1] เจ้าไม่สามารถประทินโฉมแต่งหน้าองค์หญิงให้แล้วเสร็จและพานางออกไป เช่นนั้นเจ้าก็ไปใช้ชีวิตที่เหลือของเจ้าที่หอหลิวอิงโหลวเถิด!” เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังลอดเข้ามา
พลันสีหน้าเยือกเย็นดุจน้ำแข็งก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจู้เชียนเชียน นางตวาดอย่างโกรธเคืองว่า “จู้เหย่ เจ้าทำเกินเลยไปแล้ว!”
“น้องสาว ข้าก็แค่ทำตามคำสั่งบรรพบุรุษผู้เฒ่าเท่านั้น ถ้าสาวใช้ข้างกายเจ้าแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำไม่สำเร็จ ล่าช้าจนล่วงเลยฤกษ์งามยามดี ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย ข้าลงโทษให้นางไปหอหลิวอิงโหลวเป็นการลงโทษสถานเบาแล้ว หากเจ้าต้องการปกป้องสาวใช้ของเจ้า ให้ความร่วมมืออย่างดีในวันนี้สักครั้งจะเป็นการดีที่สุด อย่าทำให้คนระดับล่างต้องยุ่งยากลำบากใจ” ชายหนุ่มศีรษะมันแผล็บ ใบหน้าทาแป้งขาววอกผู้หนึ่ง โบกพัดขนนกพลางเดินเข้ามาอย่างช้าๆ จากนอกห้อง ไม่แยแสความโกรธเคืองของจู้เชียนเชียนแม้แต่น้อย
“องค์หญิง!” สาวน้อยที่ทำหน้าที่ประทินโฉมแต่งหน้าให้จู้เชียนเชียนสีหน้าซีดเผือดในทันใด นางทราบดีว่าหอหลิวอิงโหลวเป็นสถานที่เช่นไร ซ่องนางโลมที่โหดร้ายและสกปรกที่สุดในเมืองวันสิ้นโลก สตรีที่นั่นราคาถูกที่สุดในเมืองวันสิ้นโลก และก็เป็นสถานที่ที่ผู้ชายสกปรกชนชั้นระดับล่างสุดโปรดปราน หากนางถูกส่งไปยังสถานที่นั้นแล้วละก็…
“ไม่ต้องประทินโฉมแล้ว ไปกันแบบนี้แหละ!” จู้เชียนเชียนโบกมือให้สาวใช้ถอยไป ลุกขึ้นยืน ในสายตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
ภายในตระกูลชนชั้นสูง นางเป็นผู้ที่สามารถสังเกตอารมณ์และความรู้สึกของผู้คนได้ชำนาญที่สุด บิดามีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าเมืองและกลายเป็นหนามตำตาของท่านลุงท่านอาในตระกูลเช่นกัน ถึงแม้ยามปกติอีกฝ่ายมิกล้าทำสิ่งใด แต่วันใดที่ถูกจับถูกจุดอ่อนจับได้ พวกเขาก็จะเปิดเผยคมเขี้ยวน่ากลัวออกมาทันที จู้เหย่ก็คือคนประเภทนี้
……
ณ จวนเจ้าเมืองวันสิ้นโลก ประตูจวนเปิดกว้าง ปูพื้นด้วยทองคำและทองคำขาวระยิบระยับ ต้อนรับแขกในระยะทางสิบลี้ โคมไฟห้อยสูงทั้งภายในและภายนอกจวน บรรดาตัวประหลาดเฒ่าของตระกูลจู้และโหยวสองตระกูลแต่งตัวเต็มยศเข้าร่วมงานแทบทั้งหมด วันนี้กล่าวได้ว่าเป็นเหตุการณ์งานใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษของเมืองวันสิ้นโลกเลยทีเดียว
“บรรพบุรุษผู้เฒ่าเยว่หลิงซานของสำนักบริบาลเดรัจฉานมาถึง!”
“บรรพบุรุษผู้เฒ่าเทียนฉานของสำนักบริบาลเดรัจฉานมาถึง!”
“บรรพบุรุษผู้เฒ่าเสวียนเสวียนของสำนักวิญญาณเร้นลับมาถึง!”
“ผู้อาวุโสใหญ่หนานกงหลิวอวิ๋นแห่งตระกูลชนชั้นสูงหนานกงมาถึง!”
……
ณ จวนเจ้าเมืองวันสิ้นโลก ฝ่ายต้อนรับขานชื่อของแขกรับเชิญทีละคน สอดคล้องกันตัวประหลาดเฒ่าของตระกูลจู้และโหยวสองตระกูลที่แยกย้ายออกไปต้อนรับทักทายอย่างสุภาพ ผู้คนเหล่านี้มิใช่พวกผู้เยาว์เหล่านั้น มีคุณสมบัติเพียงพอให้ออกไปต้อนรับได้
เพื่อพิธีการหมั้นหมายในครั้งนี้ เหล่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลจู้ได้ทำงานหนักมากจริงๆ ประจวบกับบรรพบุรุษผู้เฒ่าของแต่ละสำนักนิกายจำนวนมิน้อยยังอยู่ในเมืองวันสิ้นโลก การจัดงานหมั้นหมายของธิดาเจ้าเมืองวันสิ้นโลกใหญ่โตเช่นนี้ จะไม่เชิญบรรดาพี่ใหญ่ของสำนักนิกายต่างๆ มาร่วมงานได้อย่างไร?
และแล้ว ตระกูลจู้และตระกูลโหยวออกหน้าพร้อมกัน บรรดาเหล่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าไปเชื้อเชิญด้วยตนเอง เหล่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าของแต่ละสำนักเหล่านี้ ส่วนใหญ่ยามปกติไม่ค่อยลงจากเขากลับให้เกียรติมางาน ทำให้ตระกูลจู้และตระกูลโหยวปีติยินดีจนออกนอกหน้า ควรทราบว่าในยามปกติ แม้แต่สามแคว้นมหาจักรพรรดิก็ไม่สามารถเชื้อเชิญบรรพบุรุษผู้เฒ่ามากมายมากันพร้อมหน้าเช่นนี้ได้ ครั้งนี้ตระกูลจู้และตระกูลโหยวแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ กลับเชื้อเชิญจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์มาได้ถึงสิบกว่าคน บรรพบุรุษผู้เฒ่าแห่งสำนักนิกายเหล่านี้แทบจะเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของสำนักเลยทีเดียว
“ตระกูลหวางแห่งเมืองวันสิ้นโลกส่งลูกแก้วจิตวิญญาณมหาสมุทรพิโรธสิบคู่ ผลหมิงซวีหนึ่งผล หินจิตวิญญาณชั้นสูงจำนวน…”
“ราชวงศ์ใต้แห่งเมืองวันสิ้นโลกส่งเสื้อคลุมขนนกวิเศษพันมายาหนึ่งตัว ผ้าคลุมไหล่หางฟีนิกซ์สีเมฆาอัสดงหนึ่งชิ้น ต้นปะการังมายามหาสมุทรสองต้น หินจิตวิญญาณชั้นสูงจำนวน…”
……
แต่ละกลุ่มอำนาจในเมืองวันสิ้นโลกล้วนส่งมอบของขวัญ บรรดาศิษย์ฝ่ายต้อนรับนำแขกเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ จัดที่นั่งให้แต่ละคนจนเสร็จสรรพ ตัวประหลาดเฒ่าของสำนักนิกายเหล่านั้นนั่งอยู่ที่ที่นั่งด้านบน จัดเตรียมที่นั่งแยกไว้ต่างหาก
แขกของตระกูลจู้และตระกูลโหยวทยอยกันมาถึง ตัวประหลาดเฒ่าของแต่ละสำนักนิกายก็ทยอยมาถึงเช่นกัน ในบรรยากาศยินดีปรีดาทั่วทั้งจวนเจ้าเมืองกลับเพิ่มพลังกดดันขึ้นมาบ้างเล็กน้อย จักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากรวมตัวกันอยู่ในห้องโถง พร้อมอำนาจบารมีและเปี่ยมพลัง รบกวนจนแทบทำให้อากาศภายในจวนเจ้าเมืองกลายเป็นความปั่นป่วน
“ท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่าและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ขอขอบคุณพวกท่านที่มาร่วมงานพิธีหมั้นหมายของผู้เยาว์ตระกูลจู้และตระกูลโหยวของเราในวันนี้ ณ ที่นี้ ข้าขอเป็นตัวแทนตระกูลจู้และโหยวแห่งเมืองวันสิ้นโลกแสดงความขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ในโอกาสนี้ สามารถให้บรรพบุรุษผู้เฒ่าทั้งหลายมากันพร้อมหน้าร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีแต่งงานของสองผู้เยาว์ ถือเป็นโชคดีในชีวิตของสองผู้เยาว์เช่นกัน ลำดับต่อไปขอเชิญโหยวจือเซวียน คุณชายสองของตระกูลโหยวแสดงความคารวะต่อบรรพบุรุษผู้เฒ่าทุกท่าน” จู้เชียนชิว ตัวประหลาดเฒ่าตระกูลจู้เดินช้าๆ ถึงใจกลางห้องโถงใหญ่ แสดงความคารวะอย่างลึกซึ้งต่อบรรพบุรุษผู้เฒ่าของแต่ละสำนักนิกายครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นด้วยความยินดี
เขารู้สึกว่า เวลานี้หยิบยกเรื่องที่ให้จู้เชียนเชียนหมั้นหมายกับโหยวจือเซวียนของตระกูลโหยวขึ้นมาพูด เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง ในเมื่อสามารถมีบรรพบุรุษผู้เฒ่าสำนักนิกายมากมายมาร่วมอวยพรในที่นี้ ย่อมทำให้ตระกูลจู้ได้รับเกียรติและเชิดหน้าชูตา
ถึงแม้สถานภาพของเมืองวันสิ้นโลกจะไม่ได้ด้อยกว่าแปดสำนักนิกายหลัก ทว่าแม้แต่พิธีการแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของเจ้าสำนักทั้งสองสำนักอย่างสำนักวิญญาณเร้นลับและสำนักวิญญาณสวรรค์ ล้วนมิได้เชื้อเชิญตัวประหลาดเฒ่ามางานได้จำนวนมากมายขนาดนี้ คนส่วนใหญ่ที่ไปเป็นผู้อาวุโสระดับขอบเขตมหาจักรพรรดิสงคราม บางครั้งบางคราวจะมีจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์สักคน นั่นก็คือการได้รับเกียรติยิ่งใหญ่เทียมฟ้าแล้ว
แต่ว่าวันนี้ ตระกูลจู้กลับต้อนรับจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์กว่าสิบคน ถึงแม้ว่าจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ล้วนมามือเปล่า แต่ว่ากลับได้รับเกียรติมากเพียงพอแล้ว เมืองวันสิ้นโลกสามารถเชิดหน้าชูตาอย่างภาคภูมิใจสักครา
จักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์มาในงานมากมายเพียงนี้ สำหรับตระกูลจู้เป็นการสนับสนุนอย่างเงียบๆ ชนิดหนึ่ง
กลุ่มอำนาจแทบทั้งหมดในเมืองวันสิ้นโลกมาร่วมแสดงความยินดีในงาน ได้เห็นจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์เปี่ยมอำนาจบารมีขนาดนี้ แต่ละคนล้วนเหมือนลูกไก่ที่อยู่ในถ้ำหมาป่า มิกล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ หลังจากวันนี้ พวกเขาจะต้องให้ความเคารพยำเกรงตระกูลเจ้าเมืองมากขึ้น
“ได้ยินมาว่าองค์หญิงเชียนเชียนมีพรสวรรค์มากความสามารถ เคยได้ยินศิษย์ในสำนักพูดถึงหลายครั้ง วันนี้องค์หญิงเชียนเชียนหมั้นหมาย เราผู้ชรามาครั้งนี้ก็ต้องการประจักษ์แก่สายตาสักครั้ง พร้อมกล่าวคำอวยพรเล็กๆ น้อยๆ ไฉนไม่เชิญให้องค์หญิงเชียนเชียนออกมาแต่เนิ่นๆ ให้เราผู้ชราได้ยลโฉมสักครา จะได้ชมดูว่าเป็นสตรีมหัศจรรย์เช่นไรกันแน่” ผู้กล่าววาจาคือบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดแห่งสำนักกระบี่วิญญาณ ข้างกายเขามีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่ สีหน้าท่าทางดูวิตกกังวล
พลันผู้คนเข้าใจได้ทันใด เหตุผลที่บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดมายังสถานที่นี้ มิใช่เพื่อให้เกียรติตระกูลจู้แต่อย่างใด อาจเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เขาเป็นผู้คลั่งไคล้หมายปององค์หญิงเชียนเชียน พลันได้ข่าวองค์หญิงเชียนเชียนหมั้นหมายอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มผู้นี้ผิดหวังอย่างยิ่ง จึงได้รบกวนให้บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดเดินทางมา
“นั่นคือเกาจื้อหย่วน หลานชายของบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุด ได้ยินมาว่าหลายวันก่อน เกาจื้อหย่วนดื่มสุราจนเมามายแล้วสังหารบุตรหลานตระกูลโหยวในเมืองวันสิ้นโลกด้วยความโกรธเคืองไปหลายคน เวลานี้เขากับบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดมาพร้อมกัน เกรงว่าจะไม่ใช่เสนอคำอวยพรอย่างที่ว่ากระมัง…” มีคนทราบเหตุการณ์ เริ่มกล่าววิพากษ์วิจารณ์ที่ด้านล่างขึ้นมา
“บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดยกย่องเกินไปแล้ว เชียนเชียนไม่สามารถฝึกฌานบ่มเพาะตั้งแต่เด็ก ไหนเลยสามารถได้รับคำชมว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์มากความสามารถได้ แต่ว่าในเมื่อท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่าต้องการเห็นเชียนเชียน เช่นนั้นข้าก็จะรวบรัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไป ให้นางมาคารวะบรรพบุรุษผู้เฒ่าแต่ละท่านแต่เนิ่นๆ ก็แล้วกัน” จู้เชียนชิวหัวเราะแห้งๆ คราหนึ่ง
สำหรับเรื่องที่เกาจื้อหย่วนก่อปัญหาขึ้นในเมืองวันสิ้นโลกเขาก็ได้ยินมาบ้างเช่นกัน แต่เพราะศักดิ์ฐานะพิเศษของเขา เบื้องหลังมีจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์สนับสนุน ถึงแม้จะสังหารศิษย์สายนอกตระกูลโหยวไปหลายคน กลับไม่มีผู้ใดถามหาความรับผิดชอบ ไปล่วงเกินท่านจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งเพื่อศิษย์สายนอกไม่กี่คน ตลอดจนไปล่วงเกินสำนักกระบี่วิญญาณ พวกเขายังไม่ได้ขวัญกล้ามากขนาดนั้น!
จะว่าไปแล้ว ในช่วงหลายวันนี้ศิษย์ตระกูลโหยวที่เดินทางทำธุระภายนอกบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ไม่ใช่เพียงเกาจื้อหย่วนคนเดียวที่เคยฆ่า ยังมีลูกศิษย์คนโปรดของบรรพบุรุษผู้เฒ่าอื่นอีกหลายคน ตลอดจนบุตรและหลานก็ยังเคยเข่นฆ่าเช่นกัน เรื่องนี้ทำให้ตระกูลโหยวขุ่นข้องหดหู่อย่างยิ่ง ได้แต่สั่งห้ามลูกศิษย์ของตระกูลออกไปข้างนอก เพื่อป้องกันปัญหา
ถ้ามีเรื่องราวเกิดขึ้นจริงๆ ถึงเวลานั้นต่อให้ตระกูลโหยวไปหาผู้อื่นเพื่อเอาเรื่อง ก็ไม่กล้าที่จะไปตอแยพวกเขา ทว่าหากไม่ไปหาผู้อื่นเพื่อเอาเรื่องก็รู้สึกคับแค้นเสียใจแทบคลั่ง และจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลโหยวอย่างยิ่ง เรื่องนี้ทำให้บรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลโหยวสับสนยิ่งนัก เดิมการสู่ขอองค์หญิงเชียนเชียนเป็นวิธีสร้างความสมดุลชนิดหนึ่ง กลับนึกไม่ถึงว่าจะนำมาซึ่งปัญหามากมายขนาดนี้
ในสายตาของตระกูลโหยว องค์หญิงเชียนเชียนอายุไม่ยืนยาว ไม่สามารถที่จะเป็นบุตรสะใภ้ของตระกูลโหยวอย่างแท้จริง แต่องค์หญิงเชียนเชียนเป็นธิดาคนเดียวของท่านเจ้าเมือง แม้ว่าเชียนเชียนจะเสียชีวิต โหยวจือเซวียนก็ยังเป็นบุตรเขยของท่านเจ้าเมือง เช่นนั้นก็อาจสามารถกลายเป็นหนึ่งในผู้แข่งขันแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมือง
การคำนวณของตระกูลโหยว เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลจู้จะไม่ทราบ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาชื่อเสียงของตระกูลจู้ตกต่ำลง พวกเขาต้องการการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากตระกูลโหยว ทั้งสองตระกูลนับได้ว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน ต่างได้รับในสิ่งที่ต้องการ สำหรับในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า หลังข่าวการหมั้นหมายขององค์หญิงเชียนเชียนกับโหยวจือเซวียนเผยแพร่ออกไป จะทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ในหมู่อัจฉริยะของสำนักนิกายต่างๆ ขึ้นมากมายขนาดนี้ เรื่องนี้ทำให้บรรพบุรุษผู้เฒ่าของตระกูลโหยวรู้สึกเหมือนตกเป็นเป้าหมายของฝูงชนโดยรวม เขาเริ่มเคลือบแคลงสงสัยว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลจู้เป็นความผิดพลาดหรือไม่ เขาประเมินอิทธิพลของหญิงสาวตัวเล็กๆ ผู้นี้ที่ไม่สามารถแม้แต่จะฝึกฌานบ่มเพาะได้ต่ำไปแล้ว
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีโอกาสที่จะหันหลังกลับแล้ว
ข้างกายเหล่าบรรดาบรรพบุรุษเฒ่าล้วนมีศิษย์รุ่นเยาว์วัยจำนวนหนึ่งทั้งมากและน้อย ภายในสายตาของคนเหล่านี้ พวกเขารู้สึกถึงรังสีความเป็นศัตรูที่เข้มข้นอย่างยิ่ง
[1] ราวสิบห้านาที