มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 5 บทที่ 127 บีบคั้นทุกฝีก้าว

        เมืองวันสิ้นโลก  ข่าวองค์หญิงเชียนเชียนกำลังจะออกเรือนคล้ายดั่งระเบิดลูกหนึ่งถูกโยนลงกลางทะเลสาบ  สำหรับชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ทั่วใต้หล้าที่ชื่นชมองค์หญิงเชียนเชียนแล้ว  นี่คือเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างแน่นอน

        คู่หมั้นขององค์หญิงเชียนเชียนคือโหยวจือเซวียน คุณชายสองของตระกูลโหยว ตระกูลใหญ่ที่เพียงรองจากตระกูลจู้แห่งเมืองวันสิ้นโลก  การเชื่อมสัมพันธ์ทางการแต่งงานของสองตระกูลใหญ่เมืองวันสิ้นโลก  ไม่เพียงเสริมสถานะตระกูลจู้แห่งเมืองวันสิ้นโลกให้มั่นคงเท่านั้น  ขณะเดียวกันยังทำให้ชื่อเสียงตระกูลโหยวแข็งแกร่งมากขึ้นเช่นกัน

        สำหรับโหยวจือเซวียน  ผู้คนในเมืองวันสิ้นโลกล้วนทราบดี  คนผู้นี้คุณสมบัติล้ำเลิศมากความสามารถ  ถึงแม้มิอาจเทียบเท่าสิบราชันพั่วเหยียน  แต่ก็นับว่าโดดเด่นไม่แพ้กัน  เป็นผู้แข่งขันที่แข็งแกร่งสำหรับตำแหน่งผู้นำตระกูลโหยว  องค์หญิงเชียนเชียนเชื่อมสัมพันธ์ตกแต่งกับเขา  ก็นับว่าสมน้ำสมเนื้อตามสถานะตระกูลทั้งสอง

        แต่ว่า…ล่าสุดเนื่องจากเรื่องราวของสถานพำนักของคุนเผิง  จึงยังคงมีผู้คนชนชั้นสูงของสำนักนิกายมากมายรวมตัวกันในเมืองวันสิ้นโลก  ท่ามกลางบรรดาคนเหล่านี้กอปรด้วยผู้คลั่งไคล้ภักดีต่อองค์หญิงเชียนเชียนจำนวนมาก  และแล้วเมืองวันสิ้นโลกก็เกิดความวุ่นวายขึ้นแล้ว  มักสามารถเห็นอัจฉริยะส่วนหนึ่งที่ดื่มสุราจนเมามายแล้วก่อปัญหาขึ้นด้วยความมึนเมา  เห็นคนแซ่โหยวก็ลงมือทุบตีทำร้ายทันที

        เมื่อเป็นเช่นนี้  คนแซ่โหยวจำนวนไม่น้อยเลยจริงๆ ที่ถูกทุบตี  แน่นอน  มีบางคนหลังจากลงมือแล้วก็ถูกตระกูลโหยวลงโทษสถานหนัก  ทว่ามีคนส่วนหนึ่งที่ภูมิหลังแข็งแกร่งมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ของแปดสำนักนิกาย มิใช่ผู้ที่ตระกูลโหยวหาญกล้าตอแยอย่างง่ายดายด้วย  ดังนั้นเหล่าบรรดาผู้อาวุโสตระกูลโหยวก็รู้สึกขุ่นข้องหงุดหงิดยิ่งนัก

        วันประกอบพิธีหมั้นหมายของโหยวจือเซวียนกับองค์หญิงเชียนเชียน  ตระกูลโหยวใช้ความคิดไปไม่น้อยเลยทีเดียว  ดำเนินการในสภาพการณ์ที่เตรียมพร้อมที่สุด  ยังไม่ทราบว่าบรรดาอัจฉริยะผู้หลงใหลในรักเหล่านั้นจะก่อปัญหาสร้างเรื่องราวใดขึ้นมาบ้าง  พวกเขาแทบจะไปยื่นคำร้องที่จวนเจ้าเมืองแล้ว

        ถึงกับมีผู้คนมากมายหลังจากร่ำสุราจนเมามายแล้ว  ก็ไปเรียกชื่อองค์หญิงเชียนเชียนที่ด้านนอกจวนเจ้าเมือง  เพียงคิดต้องการพบหน้าองค์หญิงเชียนเชียนสักครั้ง  ยังมีส่วนหนึ่งที่ไปหาถึงยอดเขาเยว่ซิ่วเฟิงโดยตรง  แต่ว่ากล่าวถึงที่สุดแล้วเมืองวันสิ้นโลกเป็นของตระกูลจู้  สำหรับผู้คนเหล่านี้  จู้ชิงขวงย่อมมิอาจตัดใจกระทำความรุนแรงใดๆ  ถึงอย่างไรผู้คนเหล่านี้ก็เป็นผู้ชื่นชมบุตรีของตน

        ยอดเขาเยว่ซิ่วเฟิงได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา  ตระกูลจู้ไม่ต้องการให้วันหมั้นหมายขององค์หญิงเชียนเชียนมีเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายใดๆ  เหล่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลจู้ลงมือจัดพิธีหมั้นขององค์หญิงเชียนเชียนด้วยตนเอง  แต่ท่านเจ้าเมืองจู้ชิงขวงกลับมิได้กล่าววาจาใดๆ ตลอดมา

        “องค์หญิง  ฤกษ์งามยามดีใกล้ถึงแล้ว  บรรพบุรุษผู้เฒ่าเร่งเร้าให้พวกเราถึงที่นั่นโดยเร็วที่สุดเจ้าค่ะ”  เสียงของสาวใช้ทำให้อารมณ์ของจู้เชียนเชียนขุ่นข้องมากยิ่งขึ้น

        โหยวจือเซวียนมิใช่คนที่เชียนเชียนชื่นชอบ  นางไม่ชอบผู้ชายที่ซุกซ่อนอารมณ์ทั้งหมดไว้เบื้องหลังรอยยิ้มประเภทนั้น  แต่ว่า…นางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของตระกูลเท่านั้น  ถึงแม้ว่าเวลาของนางใกล้จะหมดลงแล้วก็ตาม ถึงอย่างไรก็ต้องสร้างผลงานหลงเหลือไว้เพื่อตระกูลด้วยเช่นกัน

        จู้ชิงขวงเองก็ไร้พลังที่จะกู้สถานการณ์กลับคืนมา  ในตระกูลจู้  ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นท่านเจ้าเมืองเช่นเดิม  แต่มิใช่เรื่องราวทุกอย่างจะสามารถกระทำตามอำเภอใจ  การลงมติที่ผ่านความเห็นชอบของเหล่าบรรดาผู้อาวุโส แม้แต่ผู้นำตระกูลก็ไม่สามารถคัดค้านได้เช่นกัน  จู้ชิงขวงเป็นเพียงตัวแทนตระกูล มีอำนาจกล่าววาจากับคนภายนอกเท่านั้นเอง  สิทธิ์อำนาจอันแท้จริงอยู่ในกำมือของเหล่าบรรดาผู้อาวุโสในที่ประชุม  ภูมิหลังของตระกูลก็เกี่ยวเนื่องกับพลังอำนาจของเหล่าบรรดาผู้อาวุโสในที่ประชุมเช่นกัน

        ดังนั้นจู้เชียนเชียนรู้สึกอับจนปัญญา  ทั้งที่นางเคยพยายามที่จะคัดค้านแล้ว

        “ถ้าภายในเวลาครึ่งก้านธูป[1]  เจ้าไม่สามารถประทินโฉมแต่งหน้าองค์หญิงให้แล้วเสร็จและพานางออกไป เช่นนั้นเจ้าก็ไปใช้ชีวิตที่เหลือของเจ้าที่หอหลิวอิงโหลวเถิด!”  เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังลอดเข้ามา

        พลันสีหน้าเยือกเย็นดุจน้ำแข็งก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจู้เชียนเชียน  นางตวาดอย่างโกรธเคืองว่า จู้เหย่  เจ้าทำเกินเลยไปแล้ว!”

        “น้องสาว ข้าก็แค่ทำตามคำสั่งบรรพบุรุษผู้เฒ่าเท่านั้น  ถ้าสาวใช้ข้างกายเจ้าแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำไม่สำเร็จ  ล่าช้าจนล่วงเลยฤกษ์งามยามดี  ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย  ข้าลงโทษให้นางไปหอหลิวอิงโหลวเป็นการลงโทษสถานเบาแล้ว  หากเจ้าต้องการปกป้องสาวใช้ของเจ้า  ให้ความร่วมมืออย่างดีในวันนี้สักครั้งจะเป็นการดีที่สุด  อย่าทำให้คนระดับล่างต้องยุ่งยากลำบากใจ”  ชายหนุ่มศีรษะมันแผล็บ ใบหน้าทาแป้งขาววอกผู้หนึ่ง  โบกพัดขนนกพลางเดินเข้ามาอย่างช้าๆ จากนอกห้อง  ไม่แยแสความโกรธเคืองของจู้เชียนเชียนแม้แต่น้อย

        “องค์หญิง!”  สาวน้อยที่ทำหน้าที่ประทินโฉมแต่งหน้าให้จู้เชียนเชียนสีหน้าซีดเผือดในทันใด  นางทราบดีว่าหอหลิวอิงโหลวเป็นสถานที่เช่นไร  ซ่องนางโลมที่โหดร้ายและสกปรกที่สุดในเมืองวันสิ้นโลก สตรีที่นั่นราคาถูกที่สุดในเมืองวันสิ้นโลก  และก็เป็นสถานที่ที่ผู้ชายสกปรกชนชั้นระดับล่างสุดโปรดปราน หากนางถูกส่งไปยังสถานที่นั้นแล้วละก็

        “ไม่ต้องประทินโฉมแล้ว  ไปกันแบบนี้แหละ!”  จู้เชียนเชียนโบกมือให้สาวใช้ถอยไป  ลุกขึ้นยืน  ในสายตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

        ภายในตระกูลชนชั้นสูง  นางเป็นผู้ที่สามารถสังเกตอารมณ์และความรู้สึกของผู้คนได้ชำนาญที่สุด  บิดามีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าเมืองและกลายเป็นหนามตำตาของท่านลุงท่านอาในตระกูลเช่นกัน  ถึงแม้ยามปกติอีกฝ่ายมิกล้าทำสิ่งใด  แต่วันใดที่ถูกจับถูกจุดอ่อนจับได้  พวกเขาก็จะเปิดเผยคมเขี้ยวน่ากลัวออกมาทันที  จู้เหย่ก็คือคนประเภทนี้

        ……

        ณ จวนเจ้าเมืองวันสิ้นโลก  ประตูจวนเปิดกว้าง  ปูพื้นด้วยทองคำและทองคำขาวระยิบระยับ  ต้อนรับแขกในระยะทางสิบลี้  โคมไฟห้อยสูงทั้งภายในและภายนอกจวน  บรรดาตัวประหลาดเฒ่าของตระกูลจู้และโหยวสองตระกูลแต่งตัวเต็มยศเข้าร่วมงานแทบทั้งหมด  วันนี้กล่าวได้ว่าเป็นเหตุการณ์งานใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษของเมืองวันสิ้นโลกเลยทีเดียว

        “บรรพบุรุษผู้เฒ่าเยว่หลิงซานของสำนักบริบาลเดรัจฉานมาถึง!”

        “บรรพบุรุษผู้เฒ่าเทียนฉานของสำนักบริบาลเดรัจฉานมาถึง!”

        “บรรพบุรุษผู้เฒ่าเสวียนเสวียนของสำนักวิญญาณเร้นลับมาถึง!”

        “ผู้อาวุโสใหญ่หนานกงหลิวอวิ๋นแห่งตระกูลชนชั้นสูงหนานกงมาถึง!”

        ……

        ณ จวนเจ้าเมืองวันสิ้นโลก  ฝ่ายต้อนรับขานชื่อของแขกรับเชิญทีละคน  สอดคล้องกันตัวประหลาดเฒ่าของตระกูลจู้และโหยวสองตระกูลที่แยกย้ายออกไปต้อนรับทักทายอย่างสุภาพ  ผู้คนเหล่านี้มิใช่พวกผู้เยาว์เหล่านั้น มีคุณสมบัติเพียงพอให้ออกไปต้อนรับได้

        เพื่อพิธีการหมั้นหมายในครั้งนี้  เหล่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลจู้ได้ทำงานหนักมากจริงๆ  ประจวบกับบรรพบุรุษผู้เฒ่าของแต่ละสำนักนิกายจำนวนมิน้อยยังอยู่ในเมืองวันสิ้นโลก  การจัดงานหมั้นหมายของธิดาเจ้าเมืองวันสิ้นโลกใหญ่โตเช่นนี้  จะไม่เชิญบรรดาพี่ใหญ่ของสำนักนิกายต่างๆ มาร่วมงานได้อย่างไร?

        และแล้ว  ตระกูลจู้และตระกูลโหยวออกหน้าพร้อมกัน  บรรดาเหล่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าไปเชื้อเชิญด้วยตนเอง  เหล่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าของแต่ละสำนักเหล่านี้ ส่วนใหญ่ยามปกติไม่ค่อยลงจากเขากลับให้เกียรติมางาน  ทำให้ตระกูลจู้และตระกูลโหยวปีติยินดีจนออกนอกหน้า  ควรทราบว่าในยามปกติ  แม้แต่สามแคว้นมหาจักรพรรดิก็ไม่สามารถเชื้อเชิญบรรพบุรุษผู้เฒ่ามากมายมากันพร้อมหน้าเช่นนี้ได้  ครั้งนี้ตระกูลจู้และตระกูลโหยวแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์  กลับเชื้อเชิญจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์มาได้ถึงสิบกว่าคน  บรรพบุรุษผู้เฒ่าแห่งสำนักนิกายเหล่านี้แทบจะเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของสำนักเลยทีเดียว

        “ตระกูลหวางแห่งเมืองวันสิ้นโลกส่งลูกแก้วจิตวิญญาณมหาสมุทรพิโรธสิบคู่  ผลหมิงซวีหนึ่งผล  หินจิตวิญญาณชั้นสูงจำนวน…”

        “ราชวงศ์ใต้แห่งเมืองวันสิ้นโลกส่งเสื้อคลุมขนนกวิเศษพันมายาหนึ่งตัว ผ้าคลุมไหล่หางฟีนิกซ์สีเมฆาอัสดงหนึ่งชิ้น ต้นปะการังมายามหาสมุทรสองต้น หินจิตวิญญาณชั้นสูงจำนวน…”

        ……

        แต่ละกลุ่มอำนาจในเมืองวันสิ้นโลกล้วนส่งมอบของขวัญ บรรดาศิษย์ฝ่ายต้อนรับนำแขกเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ จัดที่นั่งให้แต่ละคนจนเสร็จสรรพ ตัวประหลาดเฒ่าของสำนักนิกายเหล่านั้นนั่งอยู่ที่ที่นั่งด้านบน จัดเตรียมที่นั่งแยกไว้ต่างหาก

        แขกของตระกูลจู้และตระกูลโหยวทยอยกันมาถึง  ตัวประหลาดเฒ่าของแต่ละสำนักนิกายก็ทยอยมาถึงเช่นกัน  ในบรรยากาศยินดีปรีดาทั่วทั้งจวนเจ้าเมืองกลับเพิ่มพลังกดดันขึ้นมาบ้างเล็กน้อย  จักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากรวมตัวกันอยู่ในห้องโถง  พร้อมอำนาจบารมีและเปี่ยมพลัง  รบกวนจนแทบทำให้อากาศภายในจวนเจ้าเมืองกลายเป็นความปั่นป่วน

        “ท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่าและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน  ขอขอบคุณพวกท่านที่มาร่วมงานพิธีหมั้นหมายของผู้เยาว์ตระกูลจู้และตระกูลโหยวของเราในวันนี้  ณ ที่นี้ ข้าขอเป็นตัวแทนตระกูลจู้และโหยวแห่งเมืองวันสิ้นโลกแสดงความขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ในโอกาสนี้  สามารถให้บรรพบุรุษผู้เฒ่าทั้งหลายมากันพร้อมหน้าร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีแต่งงานของสองผู้เยาว์ ถือเป็นโชคดีในชีวิตของสองผู้เยาว์เช่นกัน  ลำดับต่อไปขอเชิญโหยวจือเซวียน คุณชายสองของตระกูลโหยวแสดงความคารวะต่อบรรพบุรุษผู้เฒ่าทุกท่าน”  จู้เชียนชิว ตัวประหลาดเฒ่าตระกูลจู้เดินช้าๆ ถึงใจกลางห้องโถงใหญ่  แสดงความคารวะอย่างลึกซึ้งต่อบรรพบุรุษผู้เฒ่าของแต่ละสำนักนิกายครั้งหนึ่ง  กล่าวขึ้นด้วยความยินดี

        เขารู้สึกว่า  เวลานี้หยิบยกเรื่องที่ให้จู้เชียนเชียนหมั้นหมายกับโหยวจือเซวียนของตระกูลโหยวขึ้นมาพูด  เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง  ในเมื่อสามารถมีบรรพบุรุษผู้เฒ่าสำนักนิกายมากมายมาร่วมอวยพรในที่นี้  ย่อมทำให้ตระกูลจู้ได้รับเกียรติและเชิดหน้าชูตา

        ถึงแม้สถานภาพของเมืองวันสิ้นโลกจะไม่ได้ด้อยกว่าแปดสำนักนิกายหลัก  ทว่าแม้แต่พิธีการแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของเจ้าสำนักทั้งสองสำนักอย่างสำนักวิญญาณเร้นลับและสำนักวิญญาณสวรรค์  ล้วนมิได้เชื้อเชิญตัวประหลาดเฒ่ามางานได้จำนวนมากมายขนาดนี้  คนส่วนใหญ่ที่ไปเป็นผู้อาวุโสระดับขอบเขตมหาจักรพรรดิสงคราม  บางครั้งบางคราวจะมีจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์สักคน  นั่นก็คือการได้รับเกียรติยิ่งใหญ่เทียมฟ้าแล้ว

        แต่ว่าวันนี้  ตระกูลจู้กลับต้อนรับจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์กว่าสิบคน  ถึงแม้ว่าจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ล้วนมามือเปล่า  แต่ว่ากลับได้รับเกียรติมากเพียงพอแล้ว  เมืองวันสิ้นโลกสามารถเชิดหน้าชูตาอย่างภาคภูมิใจสักครา

        จักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์มาในงานมากมายเพียงนี้  สำหรับตระกูลจู้เป็นการสนับสนุนอย่างเงียบๆ ชนิดหนึ่ง

        กลุ่มอำนาจแทบทั้งหมดในเมืองวันสิ้นโลกมาร่วมแสดงความยินดีในงาน  ได้เห็นจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์เปี่ยมอำนาจบารมีขนาดนี้  แต่ละคนล้วนเหมือนลูกไก่ที่อยู่ในถ้ำหมาป่า  มิกล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ  หลังจากวันนี้  พวกเขาจะต้องให้ความเคารพยำเกรงตระกูลเจ้าเมืองมากขึ้น

        “ได้ยินมาว่าองค์หญิงเชียนเชียนมีพรสวรรค์มากความสามารถ  เคยได้ยินศิษย์ในสำนักพูดถึงหลายครั้ง  วันนี้องค์หญิงเชียนเชียนหมั้นหมาย  เราผู้ชรามาครั้งนี้ก็ต้องการประจักษ์แก่สายตาสักครั้ง  พร้อมกล่าวคำอวยพรเล็กๆ น้อยๆ  ไฉนไม่เชิญให้องค์หญิงเชียนเชียนออกมาแต่เนิ่นๆ ให้เราผู้ชราได้ยลโฉมสักครา  จะได้ชมดูว่าเป็นสตรีมหัศจรรย์เช่นไรกันแน่”  ผู้กล่าววาจาคือบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดแห่งสำนักกระบี่วิญญาณ  ข้างกายเขามีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่  สีหน้าท่าทางดูวิตกกังวล

        พลันผู้คนเข้าใจได้ทันใด  เหตุผลที่บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดมายังสถานที่นี้  มิใช่เพื่อให้เกียรติตระกูลจู้แต่อย่างใด  อาจเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เขาเป็นผู้คลั่งไคล้หมายปององค์หญิงเชียนเชียน  พลันได้ข่าวองค์หญิงเชียนเชียนหมั้นหมายอย่างกะทันหัน  ชายหนุ่มผู้นี้ผิดหวังอย่างยิ่ง  จึงได้รบกวนให้บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดเดินทางมา

        “นั่นคือเกาจื้อหย่วน หลานชายของบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุด  ได้ยินมาว่าหลายวันก่อน  เกาจื้อหย่วนดื่มสุราจนเมามายแล้วสังหารบุตรหลานตระกูลโหยวในเมืองวันสิ้นโลกด้วยความโกรธเคืองไปหลายคน  เวลานี้เขากับบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดมาพร้อมกัน  เกรงว่าจะไม่ใช่เสนอคำอวยพรอย่างที่ว่ากระมัง…”  มีคนทราบเหตุการณ์ เริ่มกล่าววิพากษ์วิจารณ์ที่ด้านล่างขึ้นมา

        “บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดยกย่องเกินไปแล้ว  เชียนเชียนไม่สามารถฝึกฌานบ่มเพาะตั้งแต่เด็ก  ไหนเลยสามารถได้รับคำชมว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์มากความสามารถได้  แต่ว่าในเมื่อท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่าต้องการเห็นเชียนเชียน  เช่นนั้นข้าก็จะรวบรัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไป  ให้นางมาคารวะบรรพบุรุษผู้เฒ่าแต่ละท่านแต่เนิ่นๆ ก็แล้วกัน”  จู้เชียนชิวหัวเราะแห้งๆ คราหนึ่ง

        สำหรับเรื่องที่เกาจื้อหย่วนก่อปัญหาขึ้นในเมืองวันสิ้นโลกเขาก็ได้ยินมาบ้างเช่นกัน  แต่เพราะศักดิ์ฐานะพิเศษของเขา  เบื้องหลังมีจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์สนับสนุน  ถึงแม้จะสังหารศิษย์สายนอกตระกูลโหยวไปหลายคน  กลับไม่มีผู้ใดถามหาความรับผิดชอบ  ไปล่วงเกินท่านจักรพรรดิสงครามศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งเพื่อศิษย์สายนอกไม่กี่คน  ตลอดจนไปล่วงเกินสำนักกระบี่วิญญาณ  พวกเขายังไม่ได้ขวัญกล้ามากขนาดนั้น!

        จะว่าไปแล้ว  ในช่วงหลายวันนี้ศิษย์ตระกูลโหยวที่เดินทางทำธุระภายนอกบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ไม่ใช่เพียงเกาจื้อหย่วนคนเดียวที่เคยฆ่า  ยังมีลูกศิษย์คนโปรดของบรรพบุรุษผู้เฒ่าอื่นอีกหลายคน  ตลอดจนบุตรและหลานก็ยังเคยเข่นฆ่าเช่นกัน  เรื่องนี้ทำให้ตระกูลโหยวขุ่นข้องหดหู่อย่างยิ่ง  ได้แต่สั่งห้ามลูกศิษย์ของตระกูลออกไปข้างนอก  เพื่อป้องกันปัญหา

        ถ้ามีเรื่องราวเกิดขึ้นจริงๆ  ถึงเวลานั้นต่อให้ตระกูลโหยวไปหาผู้อื่นเพื่อเอาเรื่อง  ก็ไม่กล้าที่จะไปตอแยพวกเขา ทว่าหากไม่ไปหาผู้อื่นเพื่อเอาเรื่องก็รู้สึกคับแค้นเสียใจแทบคลั่ง  และจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลโหยวอย่างยิ่ง  เรื่องนี้ทำให้บรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลโหยวสับสนยิ่งนัก  เดิมการสู่ขอองค์หญิงเชียนเชียนเป็นวิธีสร้างความสมดุลชนิดหนึ่ง  กลับนึกไม่ถึงว่าจะนำมาซึ่งปัญหามากมายขนาดนี้

        ในสายตาของตระกูลโหยว  องค์หญิงเชียนเชียนอายุไม่ยืนยาว  ไม่สามารถที่จะเป็นบุตรสะใภ้ของตระกูลโหยวอย่างแท้จริง  แต่องค์หญิงเชียนเชียนเป็นธิดาคนเดียวของท่านเจ้าเมือง  แม้ว่าเชียนเชียนจะเสียชีวิต  โหยวจือเซวียนก็ยังเป็นบุตรเขยของท่านเจ้าเมือง  เช่นนั้นก็อาจสามารถกลายเป็นหนึ่งในผู้แข่งขันแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมือง

        การคำนวณของตระกูลโหยว  เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลจู้จะไม่ทราบ  แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาชื่อเสียงของตระกูลจู้ตกต่ำลง  พวกเขาต้องการการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากตระกูลโหยว  ทั้งสองตระกูลนับได้ว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน  ต่างได้รับในสิ่งที่ต้องการ  สำหรับในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น  ไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้

        เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า  หลังข่าวการหมั้นหมายขององค์หญิงเชียนเชียนกับโหยวจือเซวียนเผยแพร่ออกไป  จะทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ในหมู่อัจฉริยะของสำนักนิกายต่างๆ ขึ้นมากมายขนาดนี้  เรื่องนี้ทำให้บรรพบุรุษผู้เฒ่าของตระกูลโหยวรู้สึกเหมือนตกเป็นเป้าหมายของฝูงชนโดยรวม  เขาเริ่มเคลือบแคลงสงสัยว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลจู้เป็นความผิดพลาดหรือไม่  เขาประเมินอิทธิพลของหญิงสาวตัวเล็กๆ ผู้นี้ที่ไม่สามารถแม้แต่จะฝึกฌานบ่มเพาะได้ต่ำไปแล้ว

        เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว  เขาไม่มีโอกาสที่จะหันหลังกลับแล้ว

        ข้างกายเหล่าบรรดาบรรพบุรุษเฒ่าล้วนมีศิษย์รุ่นเยาว์วัยจำนวนหนึ่งทั้งมากและน้อย  ภายในสายตาของคนเหล่านี้  พวกเขารู้สึกถึงรังสีความเป็นศัตรูที่เข้มข้นอย่างยิ่ง

[1] ราวสิบห้านาที

Author Glory Forever