มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 2 บทที่ 46 ยังคงบ้าระห่ำ

 

        การยึดครองสี่สาขาคืออะไรกัน?” หลินโม่เอ่ยถาม

        การยึดครองสี่สาขาคือข้อเสนอของสาขาลัวซา ที่แย่งชิงอันดับหนึ่งจากสี่สาขาใหญ่เมื่อร้อยปีก่อนมาได้เสนอขึ้น ยามนั้นสาขาเทียนซิงยังดำรงอยู่ในอันดับหนึ่ง เป็นเพราะเจ้าสาขารุ่นแรกหายสาบสูญไปหลายปี อีกทั้งการสืบทอดมากมายถูกปล้นไป ทำให้อำนาจของสาขาเทียนซิงอ่อนแอลง

        ในช่วงเวลานั้น สาขาลัวซาร่วมมือกับอีกสองสาขาใหญ่เสนอเรื่องการยึดครองสี่สาขาขึ้น บอกว่าสาขาเทียนซิงอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของสี่สาขาใหญ่มานานกว่าสี่ร้อยปีแล้ว นอกจากจะสิ้นเปลืองทรัพยากรการฝึกมหาศาล ก็ยังไม่มีผลงานความดีความชอบแม้แต่น้อย ดังนั้น สาขาลัวซาจึงเป็นผู้นำแทนสามสาขาใหญ่ในการเอ่ยข้อเสนอการหมุนเวียนผลัดกันครองอำนาจกับสาขาเทียนซิง นี่ก็คือที่มาของการยึดครองสี่สาขาอย่างไรล่ะ” ชื่อหงเหลียนอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง

        นับตั้งแต่สาขาลัวซาขึ้นครองอันดับหนึ่งเมื่อร้อยปีก่อน ก็ไม่มีการยึดครองสี่สาขาปรากฏขึ้นอีก เมื่อผ่านการพัฒนาไปนับร้อยปี สาขาลัวซาก็แข็งแกร่งจนยากที่จะสั่นคลอนเสียแล้ว ข้าแปลกใจมาก เหตุใดสาขาลัวซาและสาขาอื่นทั้งสามถึงได้เกิดการยึดครองสี่สาขาขั้นพร้อมกันในเวลานี้หรือว่าสาขาซานเจว๋และสาขาเสวียนหลิงคิดจะแย่งชิงตำแหน่งสาขาอันดับหนึ่งไปกัน?” จินเฉียนหยินขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

        ไปกัน พวกเราเข้าไปดูกันเถอะ” ชื่อหงเหลียนแยกนำไปคนแรก ตามด้วยคนที่เหลือต่อกันไป

        ขณะที่หลินโม่กำลังเตรียมออกตัวนั้น จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่ค่อยๆ แผ่ซ่านเข้ามายังแผ่นหลัง ฝีเท้าหยุดลงทันควัน ฉับพลันมุมปากได้รูปค่อยๆ หยักยิ้มขึ้น พลางเอ่ยโดยไม่หันหน้ากลับมา “เจ้าฟื้นแล้วหรือ?”

        อืม!” น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังชายหนุ่ม

        หลินโม่หันหน้ากลับมา ครั้นสบเข้ากับใบหน้าของเหลิงอู่เหยียนก็ตกตะลึงไปในทันที เหลิงอู่เหยียนในยามนี้ผิวขาวราวกับหิมะแรกฤดู ขอบตาเปลี่ยนเป็นเรียวยาวคมยิ่งขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดอวัยวะทั้งห้าบนดวงหน้าละเมียดละไมยิ่งขึ้นมาก ระดับความรูปงามนั้นเหนือเกินกว่าก่อนหน้าไปอย่างสิ้นเชิง แทบยกคำว่า ‘มีเสน่ห์’ สองคำนี้มาอธิบายได้เลยเชียวล่ะ หากแต่สีหน้าของเหลิงอู่เหยียนกลับยังคงเย็นชาราวกับน้ำแข็งเหมันต์หมื่นปีที่ไม่เคยละลายไปเช่นเดิม 

        นอกเหนือจากนี้ หลินโม่ที่ยืนข้างกายของเหลิงอู่เหยียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ผู้ที่บรรลุระดับหลอมปราณขั้นกลางอย่างเขา ย่อมสัมผัสได้ถึงการบำเพ็ญที่ทะลวงไปถึงระดับหลอมปราณของเหลิงอู่เหยียนได้อยู่แล้ว อีกทั้งยังอยู่ในขั้นกลางที่เสถียรมั่นคงอีกด้วย

        เป็นที่ประจักษ์ว่าสาเหตุที่เหลิงอู่เหยียนทะลวงขั้นได้ติดต่อกันนั้น เป็นเพราะสายโลหิตพิเศษนั่นเอง

        หากแต่หลินโม่ไม่ได้อิจฉาเลยสักนิด ทว่ากลับรู้สึกดีใจไปแทนเหลิงอู่เหยียนเสียด้วยซ้ำ

        หลังจากสองสายตาประสานมองกัน ไร้ซึ่งคำเอื้อนเอ่ย  เพราะไม่จำเป็นต้องเอ่ยอันใดไปมากว่านี้ เพียงแค่ส่งสายตาเหลิงอู่เหยียนก็เข้าใจความคิดของหลินโม่ได้ในทันที เฉกเช่นเดียวกันหลินโม่

        ไปกันเถอะ

        หลินโม่เอ่ยจบ เหลิงอู่เหยียนก็คล้อยตามไป

        หน้าประตูใหญ่ของสาขาเทียนซิงมีคนไม่น้อยมารวมตัวกัน ครั้นเห็นคนเหล่านี้ สีหน้าของชื่อหงเหลียนและคนอื่นก็แปรเปลี่ยนไปโดยพลัน เหล่าศิษย์พี่ทั้งหลายล้วนเป็นคนระดับสูงจากทั้งสามสาขาใหญ่ ซึ่งนำโดยเจ้าสาขาทั้งสามท่าน นอกจากนี้ ชื่อหงเหลียนยังเห็นหน้าตาอันคุ้นเคยมากมาย นั่นก็คือสิบมหาอำนาจผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แห่งสำนักเทียนซิงที่มียศเบื้องหลังอยู่ระดับสูงทั้งนั้น

        การปรากฏตัวพร้อมกันของคนเหล่านี้ ทำให้ชื่อหงเหลียนและคนอื่นรู้สึกถึงความไม่สงบอันแปลกประหลาดบางอย่าง

        ท่านอาวุโสเฟิง ไม่นานมานี้พวกเราสามสาขาใหญ่ได้ปรึกษากัน ผู้มีพรสวรรค์ของสาขาเทียนซิงในยามนี้ต่างก็โรยรากันไป ทั้งใกล้สูญเสียการสืบทอด แต่กลับยังครอบครองทรัพยากรส่วนหนึ่งของสำนักเทียนซิงเอาไว้ นี่จะทำให้การพัฒนาของสำนักเทียนซิงในวันหน้าไม่ราบรื่น ดังนั้น พวกเราจำต้องเปิดการยึดครองสี่สาขาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ หากสาขาเทียนซิงมิอาจผ่านการยึดครองสี่สาขาได้ พวกเราทำได้เพียงต้องตัดใจขับสาขาเทียนซิงออกจากสำนักเท่านั้น” เจ้าสาขาลัวซาผู้สวมชุดอาภรณ์สีดำฝังทองเผยสีหน้าเจ็บปวดพลางเอ่ยขึ้น

        ครั้นได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของชื่อหงเหลียนและพรรคพวกพลันแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้น

        จากเดิมที่คิดว่าสาขาซานเจว๋ไม่ก็สาขาเสวียนหลินเป็นผู้จุดชนวนการยึดครองสี่สาขาขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาถึงได้อยากมาดูความบันเทิงสักหน่อย แต่คาดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วสาขาลัวซากลับร่วมมือกับอีกสองสาขาใหญ่ แล้วพุ่งเป้าการยึดครองสี่สาขามายังสาขาเทียนซิง

        ตั้งแต่มีการยึดครองสี่สาขาเมื่อร้อยปีก่อน  สาขาเทียนซิงก็ถูกอีกสามสาขาใหญ่คอยจ้องกำจัดมาเสมอ ในที่สุดก็ตกอยู่ในจุดที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยทรัพยากรอันย่ำแย่ที่มีอยู่ของสาขาเทียนซิงให้ได้ ยามนี้อย่างไรเสียสาขาลัวซาและสาขาใหญ่ที่เหลือต่างก็ต้องการกำจัดสาขาเทียนซิงอยู่แล้ว หากทิ้งสำนักเทียนซิงไป เมื่ออยู่ในกรณีที่ไม่มีการจัดสรรทรัพยากรใดๆ มาให้ ในเวลาเพียงไม่นานสาขาเทียนซิงก็จะล่มสลายลงไปเอง

        รังแกกันเกินไปแล้ว

        ดวงตาของชื่อหงเหลียนยามนี้แดงก่ำถึงขีดสุด นางโกรธแค้นจนบีบสองมือแน่น

        แม้แต่เหลิงอู่เหยียนที่ได้ยินยังขมวดคิ้วแน่น สีหน้าดูไม่พอใจขึ้นมาในพลัน สาขาลัวซาและสาขาที่เหลือเล่นแรงเกินไปแล้ว แรกเริ่มสำนักเทียนซิงก็สร้างขึ้นจากนิกายเทียนซิงทั้งนั้น อีกทั้งตอนที่สาขาลัวซาและอีกสามนิกายอยู่ท่ามกลางกองทัพอสูรคลั่ง ต่างก็ถูกทำลายจนนิกายแทบสิ้นไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะเจ้าสาขารุ่นที่หนึ่งแห่งสาขาเทียนซิงเมตตาช่วยไว้ล่ะก็ สาขาลัวซาและนิกายที่เหลือก็คงไม่มีวันคงอยู่กลับคืนมา

        เรื่องที่จะแย่งชิงอันดับแรกของสาขาเทียนซิงไปนั้นยังพอละเว้นได้ แต่ยามนี้คิดจะบีบบังคับสาขาเทียนซิงให้ออกจากสำนักไปเนี่ยน่ะหรือ

        เฟิงเทียนสิงขบกรามจนหน้าขึงตึง สายตาแหลมคมกวาดมองเหล่าเจ้าสาขาใหญ่ทั้งสามพลางเอ่ยเสียงขรึม “ยามนี้สาขาเทียนซิงเหลือเพียงพลังของเส้นโลหิตชีพจรวิญญาณที่ยังไม่หมด อีกทั้งไม่ได้ครอบครองทรัพยากรไว้มากพอที่จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อสามขาใหญ่ของพวกท่านนี่

        ท่านอาวุโสเฟิง ข้าจำได้ว่าท่านเคยกล่าวไว้ ว่าจากนี้จะไม่ยุ่งเรื่องภายในของสาขาเทียนซิงอีกนี่นา” เจ้าสาขาซานเจว๋ค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ย

        เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าแดงก่ำของเฟิงเทียนสิงพลันซีดเผือดลงในพริบตา แรกเริ่มที่เขาหนีออกจากสาขาเทียนซิงนั้นก็เคยกล่าวคำนี้ไว้จริงๆ  ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องภายในของสำนักเทียนซิงเลยสักครั้ง หากไม่ใช่เพราะเจอกับหลินโม่ล่ะก็ เขายิ่งไม่มีทางเข้ามาร่วมยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เป็นแน่

        ข้า…

        เฟิงเทียนสิงกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเทียนซิงจื่อยั้งไว้

        ท่านเฟิง ไม่จำเป็นต้องเอ่ยแล้ว ห้าร้อยปีที่ผ่านมาของสาขาเทียนซิงประสบกับเรื่องเลวร้ายมามาก เมื่อสืบต่อมายังรุ่นข้า สาขาเทียนซิงก็เหลือเพียงชื่อไปแล้ว การยึดครองสี่สาขาครานี้ก็ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายของสาขาเทียนซิงแล้วเช่นกัน

        เฟิงเทียนสิงตกตะลึง พลางจ้องเทียนซิงจื่อที่ยังคงสีหน้าอ่อนโยน ชั่วพริบตาชายชราก็เข้าใจ เทียนซิงจื่อหมายถึงสาขาเทียนซิง ไม่ได้หมายถึงนิกายเทียนซิง แม้นการสืบทอดมากมายของนิกายเทียนซิงจะขาดหาย แต่การสืบทอดหลักที่สำคัญที่สุดนั้นยังคงอยู่ ขอเพียงการสืบทอดเหล่านี้ไม่ขาดไป จะต้องมีสักวันที่นิกายเทียนซิงจะโผล่พ้นขึ้นมาได้แน่

        อีกทั้ง ‘ศาสตร์วิชาโหรดารานิจนิรันด์’ ที่เทียนซิงจื่อฝนนั้นมีความสามารถในการพยากรณ์  ไม่แน่ว่าตอนที่เทียนซิงจื่อมาเขาก็ได้ทำนายไปแล้ว

        เจ้าสาขาลัวซาแสยะยิ้มมุมปาก แม้เทียนซิงจื่อจะเป็นเจ้าสาขาเฉกเช่นพวกเขา ทว่ากลับใหญ่กว่าแค่ระดับเดียว ผ่านมาเนิ่นนานหลายปี เทียนซิงจื่อก็ยังอ่อนแอรังแกได้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

        ท่านเจ้าสาขาเทียนซิงล้วนอนุญาตแล้ว ท่านอาวุโสเฟิงก็คงไม่มีความเห็นที่ไม่เห็นด้วยแล้วสินะ?” เจ้าสาขาซานเจว๋หรี่ตาเอ่ยถาม

        นี่คือเรื่องภายในของสำนักเทียนซิงของพวกท่าน ข้ามิอาจแทรกแซงได้” เฟิงเทียนสิงเอ่ยเสียงต่ำ สองมือไขว้หลังพลางมุ่งไปอีกด้าน

        เมื่อการยึดครองสี่สาขาเริ่มขึ้น สาขาใหญ่ทั้งสามของพวกเราจะแบ่งศิษย์สองคนส่งไปประลองทั้งหมดหกรอบ หากพวกเจ้าสามารถเอาชนะไปได้สี่รอบ สาขาเทียนซิงถึงจะสามารถคงอยู่ในสำนักเทียนซิงสายในต่อไปได้ ทว่าหากทำไม่ได้ก็จะถูกขับไล่ออกจาสำนักเทียนซิงนั่นเอง” เจ้าสาขาลัวซาเอ่ยเสียงดังกังวาน

        ชื่อหงเหลียนใกล้ระเบิดโทสะอยู่เต็มทีแล้ว

        ประลองหกรอบ สาขาเทียนซิงต้องชนะสี่รอบ หากเป็นการประลองระหว่างศิษย์ธรรมดาก็ว่าไปอย่าง ทว่าครั้งนี้สามสาขาใหญ่กลับนำสิบมหาอำนาจผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แห่งสำนักเทียนซิงมาด้วย เข้าใจได้เลยว่าไม่ได้จัดที่นี่ขึ้นเพื่อให้ใครดู และเห็นได้ชัดเจนว่าต้องการให้สิบมหาอำนาจผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์เป็นผู้ลงมือ

        ชื่อหงเหลียนพิโรธสุดขีด นางคำนวณไว้ในใจแล้ว ถ้านางผู้เดียวรับมือกับสิบมหาอำนาจผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ถึงสองคนล่ะก็ อัตราในการพ่ายแพ้มีถึงแปดส่วนทีเดียว และอัตราการชนะได้มีเพียงสองส่วนเท่านั้น แม้นว่าหลินโม่ฝีมือไม่ได้แย่เช่นกัน ทว่าก็แค่ศักยภาพไม่เลวเท่านั้น อย่างไรเสียหลินโม่เพิ่งเลื่อนขั้นจากสายนอก เวลาฝึกฝนในสาขาเทียนซิงมีเพียงน้อยนิด ต่อให้ทะลวงถึงระดับหลอมปราณ อย่างไรรากฐานก็มิอาจเทียบกับสิบมหาอำนาจรุ่นเยาว์ที่อยู่ในแต่ละสาขามามากกว่าสองปีได้อยู่แล้ว

        แน่นอนหลินโม่ก็พอต่อกรกับผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์สักคนได้เช่นกัน ทว่าโอกาสชนะนั้นน้อยยิ่งกว่า เป็นไปได้ว่าไม่ถึงหนึ่งส่วนเสียด้วยซ้ำ

        เมื่อนึกถึงจุดนี้ ใบหน้างดงามของชื่อหงเหลียนกลับซีดเผือด เหงื่อเย็นพลันไหลลงข้างขมับ ไม่ว่านางจะคิดอย่างไร จะจัดการอย่างไร ผลลัพธ์ก็ล้วนเหมือนกัน อย่างมากสุดก็สามารถเอาชนะได้เพียงรอบเดียวเท่านั้น

        เจ้าสาขาเทียนซิงได้ตกอยู่ในสถานะที่ยากจะเลี่ยงถูกขับไล่ไปได้แล้ว

        ใครจะเป็นคนแรก…

        ชื่อหงเหลียนกำลังจะก้าวขึ้นด้านหน้า หากแต่กลับถูกร่างของใครบางคนขวางเอาไว้ ครั้นนางเห็นร่างที่ยืนขวางหน้าเป็นหลินโม่ก็นิ่งงันไปในทันที และพลันรีบเอ่ยขึ้น “หลินโม่ หลีกไปซะ รอบต่อไปเจ้าค่อยมา

        ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านคืออาวุธหลักแห่งสาขาเทียนซิงของพวกเรา หากออกมือจัดการกับเศษเดนเหล่านี้ด้วยตัวเองล่ะก็ รังแต่จะเปรอะเปื้อนสกปรกมือท่านไปเสียเปล่า เช่นนั้นให้ศิษย์น้องเป็นผู้จัดการเองเถิด” หลินโม่เอ่ยอย่างเสียงราบเรียบไม่ทุกข์ร้อน

        ครั้นได้ยินคำพูดเช่นนี้ ชื่อหงเหลียนก็ชะงักตะลึงไปในทันตา เจ้าหนุ่มผู้นี้ยังคงบ้าระห่ำอยู่ดังเดิมเลยสินะ

        เหล่าศิษย์แห่งสาขาซานเจว๋ที่ได้ยินประโยคนี้ก็ถูกกระตุ้นโทสะขึ้นในทันที สายตาแหลมคมนับไม่ถ้วนพุ่งเป้าจ้องมายังหลินโม่อย่างไม่วางตา แม้แต่สีหน้าของเจ้าสาขาซานเจว๋เองก็ขรึมลงอย่างไม่ได้นัดหมายเช่นเดียวกัน

 

 

Author Glory Forever