“แดนเร้นลับแห่งซวนโยวอาจใกล้เปิดขึ้นแล้ว ถึงยามนั้นเมืองหลินโจวจะเกิดจลาจลวุ่นวายคราใหญ่” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ดวงตางดงามของหญิงสาวพลันจ้องมองหลินโม่อย่างลึกซึ้ง “เจ้าควรรักษาระยะห่างกับหนานหมิงอู่สักหน่อยเป็นการดีที่สุด นี่จะเป็นเรื่องดีต่อตัวเจ้า”
“ทำไมกัน?” หลินโม่ถามกลับในพลัน
“นี่เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งไม่รู้กันแน่? เจ้ากับนางสนิทกันถึงเพียงนี้ หรือว่านางยังไม่ได้บอกเจ้าอีกหรือ?” ชื่อหงเหลียนมองชายหนุ่มอย่างสงสัย เมื่อเห็นท่าว่าหลินโม่ไม่เข้าใจความหมายจริงๆ จึงชี้แจงในที่สุด “เจ้าคงรู้จักมณฑลซางไห่สินะ?”
“แน่นอนว่ารู้จัก ก็เมืองหลินโจวอยู่ใต้การปกครองของมณฑลซางไห่อย่างไรล่ะ ว่ากันว่าพื้นที่ของมณฑลซางไห่เท่ากับห้าเท่าของเมืองหลินโจว ความเจริญรุ่งเรืองก็มากกว่าเมืองหลินโจวไปไกลมากแล้วด้วย” หลินโม่ตอบ
“หนานหมิงอู่มาจากมณฑลซางไห่ ความเป็นมาอย่างไรแน่แท้ของนางข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่สามารถรู้จักกับตระกูลขุนนางเชียนเย่ได้นั้น ฐานะของหนานหมิงอู่ย่อมไม่ธรรมดาเป็นแน่”
ชื่อหงเหลียนเอ่ยต่อ “ครานี้เชียนเย่ฮุยพาผู้คุ้มกันเกราะทองแดงหกคนติดตามมาด้วย ทั้งยังพาตัวท่านอาวุโสเฟิงไป หมายจะหาสมบัติของแดนเร้นลับแห่งซวนโยวที่เปิดขึ้นให้จนได้ ยามนี้ตระกูลเลี่ยวเป็นผู้นำของเหล่าตระกูลขุนนางบางส่วน อีกทั้งคนของสาขาลัวซาและสาขาซานเจว๋บางส่วนต่างเข้าร่วมกับขบวนทัพของเชียนเย่ฮุยแล้ว พูดได้อีกอย่างคือโอกาสที่เชียนเย่ฮุยจะชิงสมบัติไปได้นั้นสูงมาก”
“เชียนเย่ฮุยมากฝีมือถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? แม้แต่ตระกูลเลี่ยวยังถูกรวมมาเป็นพวก…” หลินโม่ถามด้วยความแปลกใจเกินคาด
“ไม่ใช่ความสามารถของเชียนเย่ฮุย แต่เพราะอิทธิพลของตระกูลขุนนางเชียนเย่แห่งมณฑลซางไห่นั้นมากเกินไป ตระกูลขุนนางเชียนเย่เป็นตระกูลหลวงเก่าแก่พันปี ทั้งยังดำเนินกิจการในมณฑลซางไห่มาหลายปี จึงมีพื้นเพที่คนทั่วไปยากจะจินตนาการถึง”
เมื่อชื่อหงเหลียนเอ่ยถึงตรงนี้ ดวงตาคู่งามจ้องชายหนุ่มอย่างสงสัย “คราก่อนข้าได้ยินหนานหมิงอู่พูดเองว่า เจ้าเข้าใจศาสตร์วิชาเวทย์โบราณแขนงหนึ่งอย่างนั้นหรือ?”
“ก็พอเข้าใจงูๆ ปลาๆ” หลินโม่พยักหน้าพร้อมคำตอบ
“ยากที่จะเห็นเจ้าถ่อมตัวสักคราเหลือเกิน” ดวงตางามของหญิงสาวมองค้อนหลินโม่
“หรือว่าก่อนหน้านี้ข้าไม่ถ่อมตัวมากๆ เลยอย่างนั้นหรือ?” หลินโม่จับจมูกด้วยความประหม่า
“เกินคำว่าไม่ถ่อมตัว กลายเป็นยโสโอหังบ้าระห่ำสุดๆ ไปแล้วล่ะ”
ชื่อหงเหลียนเอ่ยถึงตรงนี้อย่างราบเรียบ น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น“ หลินโม่ แม้เจ้าจะเข้าใจเรื่องศาสตร์วิชาเวทย์โบราณนิดหน่อย แต่ข้าก็ยังอยากจะแนะนำให้เจ้าอย่าเข้าหาอันตรายกับหนานหมิงอู่ แดนเร้นลับแห่งซวนโยวที่เปิดขึ้น เป็นไปได้สูงมากว่าที่เทือกเขาซวนโยวจะมีคลื่นขบวนอสูรปรากฏขึ้นอีกครา แล้วไหนจะมีเหล่าผู้แข็งแกร่งมากมายเข้าไป ที่นั่นไม่ใช่สำนักเทียนซิงเสียหน่อย หากประมาทแม้เพียงนิดก็สูญเสียชีวิตไปได้ทุกเมื่อเช่นกัน”
“ท่านเป็นห่วงข้า?” หลินโม่ยิ้มเอ่ย
“ใครเป็นห่วงเจ้ากัน”
ชื่อหงเหลียนมิอาจคุมสีหน้าให้กลับเป็นดังเดิมได้ ดวงหน้างามพลันขึ้นสีซับเลือด หลังจากถลึงตามองชายหนุ่มตรงหน้าจึงเอ่ยต่อ ”ยามนี้เจ้าเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสาขาเทียนซิง หากเกิดอะไรขึ้น ไม่แน่ว่าสาขาเทียนซิงอาจกลายเป็นสาขาขยะร้างหมดสิ้นไปได้จริงๆ”
“วางใจเถิด ข้าไม่เอาชีวิตของตัวเองมาเป็นเรื่องตลกหรอก ถ้าไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวไปก่อนล่ะ” หลินโม่โบกมือ ไม่คอยให้ชื่อหงเหลียนได้อ้าปากพูดต่อก็พาเหลิงอู่เหยียนนำหน้าไปแล้ว
“ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ…ไอ้เจ้าหมอนี่…” ชื่อหงเหลียนกระทืบเท้าอย่างโมโห
“ที่นางพูดนั้นไม่ผิดเลย การเปิดแดนเร้นลับแห่งซวนโยวย่อมดึงดูดเหล่าผู้แข็งแกร่งมากมาย เบื้องหลังของหนานหมิงอู่เองก็ยังไม่รู้แน่ชัด ชายที่ชื่อหลงโป๋เมื่อครู่นี้ก็มีพลังน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก หากเจ้าเดินทางเข้าส่วนลึกของเทือกเขาซวนโยกับพวกเขาล่ะก็ มิอาจรับประกันว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้นะ” สหายหนุ่มเอ่ยอย่างเป็นกังวล
“ยากที่จะเห็นเจ้ายอมเปิดปากนะเนี่ย”
หลินโม่หัวเราะแล้วหุบยิ้มลงพลันเอ่ยเสียงจริงจัง “ที่เจ้าพูดมาข้าเองก็รู้ หากข้ามีทรัพยากรในการฝึกอย่างเพียงพอล่ะก็ ข้าก็คงไม่วิ่งเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับความลับแห่งซวนโยวอะไรนั่นหรอก”
นิสัยแต่เดิมของหลินโม่นั้นไม่ชอบการแก่งแย่งแข่งขัน ก็เหมือนคราแรกที่ถูกส่งเข้าสาขาเทียนซิง เพราะนิสัยเป็นเหตุเขาจึงไม่ได้แก่งแย่งอันใดมา
ทว่าหลังจากประสบกับสาขาลัวซาและเรื่องการยึดครองสี่สาขาแล้ว หลินโม่จึงตระหนักได้ว่า แม้ตนไม่คิดจะไปแย่งชิง แต่ก็ตกอยู่ในความขัดแย้งโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่ดี
หลังจากพบกับเชียนเย่ฮุยและคนอื่นๆ หลินโม่จึงเข้าใจว่าพลังของตนนั้นยังห่างไกลกับคำว่าเพียงพอ เชียนเย่ฮุยอายุไม่เกินยี่สิบต้นๆ ก็บำเพ็ญไปถึงระดับสร้างฐานรากได้แล้ว อีกทั้งยังมีหนานหมิงอู่ผู้ลึกลับ ที่กระทั่งบัดนี้หลินโม่ก็ยังเห็นพลังที่แท้จริงของนางได้ไม่ชัดเจน ทั้งในร่างยังมีเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์พลังวิญญาณหายากถึงสองชิ้นอีกด้วย
ท่ามกลางเหล่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน กลับมีบุคคลดั่งเช่นสองคนนี้โผล่ออกมา อีกทั้งยังต่างมาจากมณฑลซางไห่อีกด้วย ทำให้เห็นได้ว่าคุณสมบัติของหนุ่มสาวรุ่นเยาว์ของมณฑลซางไห่นั้นก้าวล้ำเหนือกว่าเมืองหลินโจวไปมาก
ทรัพยากรการฝึกของสาขาเทียนซิงไม่มีทางเติมเต็มความต้องการของหลินโม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่เพียงเขาคนเดียว แม้แต่เหลิงอู่เหยียนที่หลังจากสายโลหิตพิเศษตื่นขึ้น การบำเพ็ญของเขาก็บรรลุไปถึงระดับหลอมปราณขั้นกลางแล้วเช่นกัน พลังแห่งฟ้าดินที่ต้องใช้ทั้งหมดก็มากขึ้นตามไปด้วย
สำคัญที่สุดคือ ตระกูลเลี่ยวได้เริ่มหาโอกาสในการแก้แค้นหลินโม่แล้ว
ตระกูลหลินก็มิอาจเข้าไปพึ่งพาอาศัยได้แล้ว หลินโม่เป็นเพียงบุตรบุญธรรมของตระกูลหลิน ไม่ได้เป็นสายเลือดโดยตรง และแม้จะเป็นสายเลือดโดยตรง อย่างไรตระกูลหลินก็ไม่มีทางปกป้องเขาเอาไว้ได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น ยามนี้หลินโม่ทำได้เพียงพึ่งพาตนเอง เขาจำต้องคว้าทรัพยากรที่ได้รับทุกอย่างไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นสมบัติหรือสิ่งอื่นใด เขาต้องนำสิ่งเหล่านี้มาแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังของตนให้ได้
มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งมากพอเท่านั้น จึงจะมั่นใจในความปลอดภัยของตนได้
เหลิงอู่เหยียนไม่เอ่ยอะไรต่อ เขาเข้าใจความคิดของหลินโม่ เพราะเขาเป็นเด็กกำพร้า ไร้ซึ่งที่พึ่งพิง ย่อมรู้ชัดถึงความรู้สึกไร้ที่พึ่งนั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าหลินโม่จะตัดสินใจเลือกอย่างไร เขาก็จะคอยสนับสนุนข้างหลังหลินโม่อยู่เสมอ
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลอะไร สมบัติปรากฏขึ้นบนโลกไม่ว่าใครก็ยากจะห้ามใจไหว ยิ่งกว่านั้นยังไปพร้อมกับพวกหนานหมิงอู่ ว่าตามตรงที่จริงข้าไม่ได้อยากเข้าส่วนลึกของเทือกเขาซวนโยวกับพวกเขาเช่นกัน แต่พลังของพวกเราอ่อนแอเกินไป หากไม่มีคนอย่างหลงโป๋ ก็ไม่แน่ว่าแม้แต่ชายขอบของเทือกเขาซวนโยวก็มิอาจเดินไปถึง” สิ้นเสียง มือแกร่งของหลินโม่ตบลงบนบ่าของเหลิงอู่เหยียนแล้วหันกายเข้าไปยังลานบ้าน
หลังจากกลับถึงที่พักแล้ว หลินโม่จึงหยิบเม็ดผลึกเวทย์ออกมาแล้วกระตุ้นพลังเจินหยวนขึ้น
แกร็ก…
มายาภาพขุนเขาและธาราในเม็ดผลึกเวทย์ค่อยๆ สั่นไหว ตัวภูเขาปรากฏรอยแตกเล็กๆ ลึกละเอียด พลังเวทย์ที่แฝงภายในปรากฏแก่สายตาทันที พลังเหล่านี้ประสานตัวกลายเป็นลายเวทย์โบราณอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมากมาย เป็นเพราะลายเวทย์โบราณที่สอดประสานซ้อนทับกันนี้ ทำให้เกิดมายาภาพของขุนเขา พลังเวทย์เข้มข้นพวยพุ่งออกจากตัวขุนเขา ซึ่งอาจหลุดออกจากเม็ดผลึกเวทย์ไปได้ทุกเมื่อ
สีหน้าของหลินโม่เคร่งขรึมขึ้น เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ทรงพลัง เจินหยวนที่หลั่งไหลเข้าไปจึงต้องใช้ความระวังสูง แม้เม็ดผลึกเวทย์จะขนาดเท่าแค่ฝ่ามือ ทว่าพลังเวทย์ที่กักเก็บด้านในนั้นกลับรุนแรงมหาศาล หากไม่ระวังเผลอกระตุ้นพลังเวทย์ในนั้นขึ้น ลานบ้านเกินครึ่งก็ถูกทำลายลงได้ในพริบตา
ชายหนุ่มกระตุ้นทีละน้อย ใช้เวลาไปราวๆ สามชั่วยามได้ ในที่สุดหลินโม่จึงดึงพลังเวทย์ในส่วนขุนเขาแสดงออกมาได้ทั้งหมด หลังจากมองทัศนีย์ภาพที่เหลือในนั้นคร่าวๆ หลินโม่จึงเก็บพลังเจินหยวนกลับ
“อย่างน้อยต้องใช้เวลาครึ่งเดือน ถึงจะนำพลังเวทย์ทั้งหมดในเม็ดผลึกเวทย์ให้ปรากฏได้…” หลินโม่คาดการณ์เอาไว้
พลังเวทย์ของเม็ดผลึกเวทย์ปรากฏขึ้น ทำให้หลินโม่นึกถึงความคิดก่อนหน้านี้ในทันใด พลังเวทย์ในเม็ดผลึกเวทย์นี้แข็งแกร่งเกินต้าน หากมันปรากฏออกมาทั้งหมดล่ะก็ อานุภาพของมันก็มากพอที่จะทำลายล้างทุกสิ่งในรัศมีสิบจั้งทันที
ทว่าการจะทำให้พลังเวทย์ปรากฏออกมาได้ จำต้องเชี่ยวชาญศาสตร์วิชาเวทย์โบราณในระดับสูงและลึกซึ้ง อีกทั้งต้องควบคุมเม็ดผลึกเวทย์ทั้งหมดให้ได้ และต้องมั่นใจเพียงพอจึงจะกล้าทำเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น ทุกอย่างจะถูกพลังเวทย์ทำลายสิ้นจนกลายเป็นเถ้าถ่าน