เมื่อเซียวยู่เหยียนกลับถึงบ้านตระกูลเซียวก็เร่งสาวเท้าไปยังเรือนหลักของเซียวเยว่ทันที แล้วแจงสี่เบื้ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียดไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย
“เจ้าบอกว่าหลินโม่ซุ่มโจมตีเฟิงหยวนและพรรคพวกในงานล่าสมบัติในหอเศษดาราหรือ…” รอยยิ้มงามของเซียวเยว่มลายหายไปทันที ท่าทีแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม สายตาแข็งกร้าวจดจ้องเซียวยู่เหยียน “เจ้าแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริง?”
“ท่านอา ข้าเห็นทั้งหมดเองกับตา” เซียวยู่เหยียนพยักหน้ามั่นใจ
“หลินโม่ล่ะ? ข้ามิได้ให้เจ้านำทางเขาหรือ?” เซียวเยว่ขมวดคิ้วสงสัย
“ข้าไม่รู้ หลังจากเขาลงจากชั้นสองของหอคอยแล้วก็หนีไปเลย ข้าตามไป แต่เขารวดเร็วมาก อีกทั้งผู้คนในซางไห่ก็มากเหลือคณา เพียงเวลาชั่วพริบตาเขาก็หายไปไม่เห็นเงาแล้ว ท่านอา เราจะทำเช่นไรกันดี เป็นความผิดของข้าเอง หากรู้ว่าหลินโม่จะทำเรื่องแบบนี้ตั้งแต่แรก ข้าคงไม่พาเขาไปหอเศษดารา”
ครั้นเอ่ยถึงด้านหลัง เซียวยู่เหยียนพลันคุกเข่าลง กระบอกตาแดงก่ำ ท่าทางเตรียมรับการลงโทษจากเซียวเยว่
“เรื่องนี้เจ้าได้บอกใครอื่นอีกไหม?” เซียวเยว่ถอนหายใจ เรื่องราวเกิดขึ้นไปแล้ว ถึงทำโทษเซียวยู่เหยียนไปจะมีประโยชน์อันใดล่ะ มิสู้จะคิดหาทางว่าจะชดเชยผลกระทบของเรื่องนี้เช่นไรเสียดีกว่า
ครั้นได้ยินคำนี้ เซียวยู่เหยียนกลับรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก มาถึงยามนี้เซียวเยว่ยังจะปกป้องหลินโม่อยู่อีก
“ไม่มีเจ้าค่ะ” เซียวยู่เหยียนส่ายหน้า
“เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้าไปเถอะ” เซียวเยว่โบกมือเป็นสัญญาณ
ณ เวลานี้ ด้านนอกเรือนหลักมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเข้ามา ในกลุ่มนั้นมีหญิงชราเป็นส่วนมาก ทั้งเหล่าผู้เฒ่าและคนชราผมหงอกอีกหลายคน ท่าทีของพวกเขาเคร่งขรึม จังหวะย่างก้าวคล่องแคล่วมีพลังเหลือล้ำ คนเหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในผู้คุมอำนาจของตระกูลเซียว ตำแหน่งอาวุโสของตระกูลเซียวที่หาได้มีอำนาจอ่อนแอ พวกเขาคือบุคคลสำคัญของตระกูล เมื่อเซียวยู่เหยียนเห็นพวกเขาก็รีบหยัดกายถอยหลบไปมุมเรือนอย่างรวดเร็ว แม้นางจะเป็นคนตระกูลเซียว ทว่าก็ยังเป็นผู้น้อยเท่านั้น
“ท่านอาวุโสสอง ท่านอาวุโสสาม…” เซียวยู่เหยียนคำนับอย่างพึงนอบน้อม
แต่ก่อนเหล่าอาวุโสผู้อ่อนโยนมักพยักหน้ารับให้เห็นเป็นการเคารพตอบ ทว่าครานี้กลับไม่มองเซียวยู่เหยียนแม้แต่น้อย กลับสาวเท้าไปยังเรือนหลักแล้วทยอยนั่งลงตามลำดับตำแหน่งเดิม
สีหน้าของเซียวเยว่เปลี่ยนไป ทว่าไม่นานก็กลับเป็นดังเดิม หย่อนกายนั่งลงตามลำดับ
ไม่มีใครปริปากพูด สีหน้าของเหล่าอาวุโสเคร่งขรึมแข็งกร้าว บ้างสีหน้าย่ำแย่ ยิ่งสร้างบรรยากาศหนักอึ้งขึ้นภายในเรือนหลัก เซียวยู่เหยียนที่หลบมุมอย่างเงียบเชียบล้วนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลไร้ที่เปรียบ
“เซียวเยว่ เจ้าให้เฟิงเทียนสิงกับเจ้าเด็กแซ่หลินจากหลินโจวแอบพำนักที่ตระกูลเซียวโดยพลการ ข้าคงไม่พูดอันใดให้มากความแล้ว อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นผู้แทนประมุข และนี่ก็มิได้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โต แต่เจ้าให้พวกเขาเข้ามาอาศัยแล้วกลับสร้างเรื่องเดือดร้อนมากมายให้แก่ตระกูลเซียว” อาวุโสสองปราดตามองเซียวเยว่แล้วเอ่ยต่อ “เจ้าคงรู้ ว่าเจ้าเด็กแซ่หลินนั่นเป็นบ่อเกิดหายนะมากมายแค่ไหน?”
“ที่ท่านอาวุโสสองจะบอกคือเรื่องที่หลินโม่ไปประมือกับสหายร่วมรุ่นที่หอเศษดาราหรือ?” เซียวเยว่ถามต่อด้วยน้ำเสียงไม่เปลี่ยนจากเดิม
“ประมือ?”
อาวุโสสามยิ้มเย็น “หากไปประมือก็แล้วไป แต่ข้ากลับได้ยินว่าเขาอาศัยค่ายกลของคลังสมบัติซ่อนตัวแล้วซุ่มโจมตีคนถึงสิบหกคน หากนั่นเป็นคนธรรมดาก็แล้วไป แต่นี่แม้กระทั่งเฟิงหยวนบุตรรองแห่งตระกูลเฟิงก็พลอยถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส คนที่เหลือก็ล้วนเป็นเหล่าทายาทของตระกูลใหญ่ต่างๆ ของซางไห่ทั้งนั้น ในนั้นมีหลายตระกูลที่มีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเซียวไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือหนักขนาดนี้”
“คนอื่นยังพอจัดการให้เรียบร้อยได้ แต่สำคัญคือบุตรรองของตระกูลเฟิงอย่างเฟิงหยวนน่ะสิที่จัดการยาก ยามนี้เฟิงหลินกำลังเป็นดาวรุ่งในตำหนักชิงเจียว ข้าได้ข่าวมาว่า เพราะเฟิงหลินสร้างมังกรทะยานขั้น ทั้งเป็นอันดับแรกของมังกรยุทธ์ขั้นที่หนึ่ง ทางตำหนักชิงเจียวจึงได้เปิดใช้สถานที่บรรจบเส้นโลหิตชีพจรวิญญาณสามเส้น มอบให้เฟิงหลินฝึกโดยเฉพาะ และข้ายังได้ยินอีกว่า เซียนจินตันยังถ่ายทอดวรยุทธให้ศิษย์เฟิงหลินด้วยตัวเองอีกด้วย”
หญิงชราคนหนึ่งเปิดปากพูด “ยามนี้ชื่อเสียงอำนาจตระกูลเฟิงกระฉ่อนถึงจุดสูงสุด แม้แต่ตระกูลขุนนางเชียนเย่ที่เคยมีสัมพันธ์ธรรมดากับตระกูลเฟิง ต่างก็ส่งคนไปตีสนิทกับตระกูลเฟิงแล้ว แถมยังคิดจะเกี่ยวดองแต่งงานกัน เวลานี้แม้แต่ตระกูลขุนนางเชียนเย่ยังมิกล้าแตะต้องความเลวร้ายของตระกูลเฟิง แต่คนที่เจ้าเก็บไว้กลับทำเสีย ไม่ต้องพูดถึงที่วิ่งไปสร้างเรื่องในหอเศษดารา แต่ถึงขั้นซุ่มโจมตีบุตรรองของตระกูลเฟิงจนบาดเจ็บสาหัสนี่ล่ะ”
“อาวุโสทุกท่านคิดว่าเรื่องนี้เราควรจัดการเช่นไร?” เซียวเยว่ถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“เราได้ปรึกษากันแล้วก่อนจะมาที่นี่ ส่งตัวเด็กแซ่หลินนั่นให้ตระกูลเฟิงซะ แล้วให้ตระกูลเฟิงจัดการเองตามสมควร เช่นนี้ไม่เพียงเลี่ยงการเป็นศัตรูต่อตระกูลเฟิง แต่ยังถือโอกาสได้สร้างสัมพันธ์กับตระกูลเฟิงอีกด้วย” อาวุโสสามปริปากเอ่ย
“ทุกท่านก็คิดเช่นนี้หรือ?”
เซียวเยว่ทอดมองเหล่าอาวุโส นอกเหนือจากอาวุโสสองกับอีกไม่กี่คนที่มิได้พยักหน้า ที่เหลือก็ส่งเสียงตอบรับแล้ว แม้อาวุโสสองกับพรรคพวกจะมิได้ปริปาก แต่ก็แสดงให้เห็นว่ายอมรับโดยดุษณีไป
“ตระกูลเซียวมีประวัติในซางไห่ยาวนานกว่าหนึ่งพันเจ็ดร้อยปี เป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางเฉกเช่นตระกูลเชียนเย่ ตระกูลเฟิงที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมิถึงเก้าร้อยปี หากเราส่งคนไป เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าเราอ่อนแอกว่าตระกูลเฟิงหรือ? ยิ่งกว่านั้นข้าเชื่อในศักยภาพของหลินโม่ เด็กผู้นี้อายุเพียงสิบหกปีก็บรรลุการบำเพ็ญถึงระดับสร้างฐานรากขั้นกลางแล้ว” เซียวเยว่กล่าวเสียงกังวาน
“อายุแค่สิบหกก็บำเพ็ญถึงระดับสร้างฐานรากขั้นกลาง?”
อาวุโสสามแค่นหัวเราะเยาะ “ผู้แทนประมุข การบำเพ็ญระดับนี้ในหมู่รุ่นเยาว์ของซางไห่ก็ถือว่ายังพอถูไถไปได้ หรือเจ้าคิดว่า เด็กหนุ่มจากหลินโจวจะสามารถทะลวงขั้นมังกรยุทธ์ได้กัน?”
“ถ้าเขาทะลวงได้ล่ะ?” เซียวเยว่หันมองอาวุโสสาม
“หากทะลวงขั้นมังกรยุทธ์ได้ ต่อให้เป็นอันดับท้ายสุด เรื่องนี้ตระกูลเซียวจะยินดีช่วยเขารับผิดชอบแน่นอน” อาวุโสสามเผยรอยเหยียดหยาม “สามขั้นมังกรยุทธ์มีมากว่าสี่ร้อยปีแล้ว ผู้ที่ทะลวงขั้นได้ล้วนเป็นอัจฉริยะทั้งสิ้น ที่ผ่านมามีเพียงไม่กี่คนที่ทะลวงขั้นไปได้ หากมันทะลวงกันได้ง่ายๆ สามขั้นมังกรยุทธ์จะกลายเป็นมาตรฐานในการทดสอบพรสวรรค์ได้อย่างไรกัน”
อาวุโสที่เหลือพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย
แม้แต่เหล่ารุ่นเยาว์ในซางไห่ยังมีเพียงหยิบมือเดียวที่ติดอันดับสามขั้นมังกรยุทธ์ ยิ่งกว่านั้น นี่เป็นแค่เด็กหนุ่มจากเมืองชายขอบอย่างหลินโจวด้วยซ้ำ
“ผู้นำตระกูล ข้ารู้ว่าเป็นเพราะเฟิงเทียนสิงเจ้าถึงได้ปกป้องเด็กนั่น ยามนี้เขาได้ทำเรื่องผิดพลาดมหันต์ หากเจ้าไม่ยอมส่งเขาให้ตระกูลเฟิงละก็ เช่นนั้นเจ้าจำต้องเลือกอีกวิธี คือขับไล่พวกเขาออกจากตระกูลเซียวไป และไม่ให้ข้องเกี่ยวกับตระกูลเซียวอีก” อาวุโสอีกคนกล่าว
“ทุกท่านไม่เชื่อสายตาข้าอย่างนั้นหรือ? แม้การบำเพ็ญของหลินโม่จะไม่ถือว่าสูงสุดในกลุ่มรุ่นเดียวกัน แต่พลังกายของเขากลับแข็งแกร่งไร้เทียมทาน อีกทั้งข้าเชื่อว่าเฟิงเทียนสิงมิได้ตาถั่ว ข้าหวังว่าทุกท่านจะให้โอกาสเขาอีกสักครา” เซียวเยว่กล่าว นางพยายามที่สุดแล้ว แต่จะทำอย่างไรเมื่อหัวเดียวกระเทียมลีบ อำนาจตระกูลเซียวมิใช่นางเป็นคนกำแต่เพียงผู้เดียว แม้นอยากปกป้องหลินโม่สุดใจก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
“ในเมื่อผู้แทนประมุขกล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าเห็นสมควรด้วย…” อาวุโสสองเอ่ย
ทันใดนั้นคนรับใช้คนหนึ่งพลันวิ่งเข้าประตูมา
“ท่านประมุข อาวุโสทุกท่าน ตระกูลลู่ร่วมกับตระกูลหยาง ตระกูลโม่ และคนอื่นๆ อยากเข้าพบขอรับ” สิ้นเสียงบ่าวรับใช้ บ่าวอีกคนก็วิ่งเข้ามา
“ประมุขตระกูลอ้าวต้องการเข้าพบเจ้าค่ะ”
“อาวุโสตระกูลกู่ขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
“ตระกูลเซว…”
สีหน้าของอาวุโสทุกคนเปลี่ยนไป แม้แต่ท่าทางของเซียวเยว่ยังเปลี่ยนตาม พวกเขารู้ดีว่าตระกูลพวกนี้ขอเข้าพบเพื่ออะไร แต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาด้วยตนเอง เป็นที่ชัดแจ้งว่าเรื่องนี้เริ่มบานปลายขึ้นแล้ว
“อาวุโสใหญ่ตระกูลเฟิงข้างนอกขอเข้าพบเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้คนสุดท้ายวิ่งเข้ามาพร้อมรายงานอย่างเร่งรีบ
ตระกูลเฟิง…
เซียวเยว่และคนอื่นเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม ตระกูลใหญ่อื่นๆ เข้ามายังพอรับไหว แต่ตระกูลเฟิงส่งคนมาแล้ว อีกทั้งยังส่งอาวุโสใหญ่ออกหน้า ดูท่าเรื่องราวคงไม่แค่บานปลาย แต่ยังไปไกลเกินความคาดหมายของพวกเขาเสียแล้ว