มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่5 บทที่ 125 จักรพรรดิวายุคราม

        นครหลวงวายุคราม ใจกลางพระราชวังหลวง

        หลานเสวี่ยหลอ ก้าวเท้าอย่างรีบเร่งผ่านองครักษ์เกราะหนักที่ยืนเรียงรายอยู่ข้างทางมุ่งตรงสู่ตำหนักพระจักรพรรดิ ท่ามกลางการทำความเคารพของเหล่าองครักษ์

        “องค์หญิงชางเยว่ พระองค์กลับมาแล้ว พระจักรพรรดิทรงเรียกหาพระองค์มาตลอดหลายวันมานี้” ขันทีวัยกลางคนค้อมลงคารวะหญิงสาว ณ ประตูทางเข้าตำหนักพระจักรพรรดิขณะที่กล่าวทักทาย “พระองค์ต้องการให้ข้าขานนามของท่านหรือไม่?

        “ไม่จำเป็น” หลานเสวี่ยหลอสั่นศีรษะปฏิเสธก่อนเดินตรงเข้าไปภายในตำหนัก

        ชางว่านเหอคือพระจักรพรรดิองค์ที่เก้าสิบเก้าของจักรวรรดิวายุคราม อำนาจปกครองแผ่ครอบคลุมผืนแผ่นดินในใต้หล้า เกียรติภูมิไพศาลสะท้านทั่วสี่ทะเล พระองค์มีพระชนมายุห้าสิบหกชันษาในปีนี้ หากว่าพระองค์สุขสำราญอยู่ในพระราชวังหลวง ด้วยอายุเพียงเท่านี้ องค์จักรพรรดิไม่สมควรปรากฏริ้วรอยแห่งความสูงวัย ทว่าชางว่านเหอกลับนอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นบรรทมด้วยสีหน้าเหม่อลอย กระทั่งดวงตายังมืดหม่นไร้ประกาย ดูไปคล้ายผู้คนอายุเจ็ดสิบแปดสิบปีที่ร่วงโรยรา

        “ฝ่าบาท องค์หญิงชางเยว่กลับมาแล้ว!” ขันทีรับใช้ประจำพระองค์ที่ก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าแผ่วเบากล่าวรายงานด้วยสีหน้ายินดี

        เมื่อได้ยินคำกล่าว พระพักตร์ไร้ชีวิตชีวาของชางว่านเหอพลันแปรเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้น พระองค์ขยับร่างท่อนบนเพื่อพยุงพระวรกายขึ้นอย่างยากลำบาก “เร็ว ให้นางเข้ามาเร็วเข้า”

        ทันทีที่สิ้นเสียง หลานเสวี่ยหลอเข้ามาภายในห้อง เมื่อเห็นท่าทางเปี่ยมชีวิตชีวาบนใบหน้าและสายตาชราร่วงโรยของชางว่านเหอ หัวใจของหญิงสาวบีบรัดตัวด้วยความเจ็บปวด นางก้าวเท้าไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมคุกเข่าลงตรงหน้าชางว่านเหอ “พระบิดา ผู้บุตรีช่างอกกตัญญู มิได้มาเยี่ยมเยียนพระบิดาเป็นเวลานาน”

        “ดีจริงๆที่เจ้ากลับมาแล้ว อา ช่างน่ายินดีจริงๆ” ชางว่านเหอผงกศีรษะด้วยความปีติยินดี ช่วงเวลานี้ พระพักตร์ของพระองค์ไม่ได้เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีแห่งพระจักรพรรดิ หากแต่เต็มไปด้วยความรักเอ็นดูของบิดาผู้หนึ่งที่มีต่อบุตรี “ลุกขึ้นเร็ว ผ่านมาถึงสามเดือนแล้วตั้งแต่ได้ข่าวว่าเจ้ากลับมาจากเมืองจันทร์เสี้ยว ระหว่างนี้ เรากินไม่ได้นอนไม่หลับด้วยกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ฮ่าๆ นับเป็นเรื่องดียิ่งที่เจ้าไม่เป็นอะไร”

        “ครานี้ลูกหญิงได้เผชิญพบอุปสรรคเล็กน้อย เป็นต้นเหตุให้ต้องยืดเวลาเดินทาง สร้างความกังวลให้กับพระบิดาแล้ว” หลานเสวี่ยหลอยืนขึ้น หญิงสาวมองสังเกตอาการของบิดาตนเองก่อนจะเผยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวในทันที “พระบิดา อาการของท่าน…เหตุใดดูไปจึงหนักขึ้นกว่าเดิม? ด้วยฝีมือของท่านหมอกู่ดูแลอาการป่วยของท่านอย่างใกล้ชิดด้วยตนเอง กลับกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?

        “แค็ก แค็ก…..” ชางว่านเหอต้องการจะพูดแต่กลายเป็นการไออย่างรุนแรงในปัจจุบันทันด่วน พระองค์หอบหายใจสองสามครั้งและตอบด้วยสุรเสียงแหบพร่า “บางที เราชราแล้วจริง ๆ ต่อให้การเจ็บปวดนี้จะร้ายแรง เมื่อมีอาจารย์กู่ มันยังไม่พรากชีวิตเราไปในทันที แต่เราจะตายด้วยความโกรธไม่ช้าก็เร็วเนื่องเพราะบุตรชายอกตัญญูเหล่านี้….แค็ก แค็ก แค็ก แค็ก แค็กแค็ก…”

        หลังจากการพูดประโยคสองประโยคนี้ชางว่านเหอได้รับความเจ็บปวดจากการไออีกครั้ง หลานเสวี่ยหลอเดินไปข้างหน้าและใช้ฝ่ามือตบหลังเขาเบาๆ

        ในเวลานี้เสียงของขันทีดังมาจากนอกประตู “ขอรายงานฝ่าบาท องค์รัชทายาทขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”

        พระวรกายของชางว่านเหอทรงเกร็งและใบหน้าของหลานเสวี่ยหลอเปลี่ยนเป็นปั้นยาก ทันใดนั้นเอง สุดเสียงกึกก้องดังฟ้าผ่ามาจากโอษฐ์ของชางว่านเหอ “ให้มันกลับไป!! เราไม่ต้องการพบกับมัน!”

        “ไอย่าห์ เหตุใดพระบิดาทรงพิโรธเยี่ยงนี้ พระองค์ทรงประชวรอยู่ สมควรดูแลพระวรกายและหลีกเลี่ยงอาการโกรธกริ้ว”

        ชายหนุ่มอายุเกือบสามสิบปี ทรงชุดประดับตกแต่งเต็มไปด้วยลวดลายทองคำ สองมือไพล่หลังเดินเข้ามาในห้องพร้อมด้วยสุ้มเสียงเกียจคร้าน ชายหนุ่มมองเห็นหลานเสวี่ยหลอทันที มันชำเลืองมองขณะกล่าวกลั้วหัวเราะ “น้องหญิงที่รักของข้า ก่อนหน้านี้ไม่นานที่ข้าได้ยินจากข้ารับใช้ว่าเจ้ากลับมาแล้ว จะไม่ให้ข้ารีบร้อนกลับมาในทันทีได้อย่างไร ข้าไม่ได้พบเจ้าเพียงสองสามเดือน แต่ข้าคิดถึงเจ้าจริงๆ น้องหญิงที่รัก”

        “เจ้าลูกทรพี ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา ออกไปเดี๋ยวนี้!” ชางว่านเหอแผดเสียงดังอย่างโกรธเกรี้ยวขณะที่ชี้นิ้วที่สั่นระริก

        “พระบิดา โปรดอย่าทรงกริ้ว ทรงระมัดระวังพระวรกายอย่าให้บาดเจ็บ ลูกเพียงกังวลต่ออาการการประชวรของเสด็จพ่อดังนั้นลูกจึงได้มาเยี่ยมเป็นการเฉพาะ หากเสด็จพ่อไม่พอใจการปรากฏตัวของลูก ลูกก็จะออกไปทันที”องค์ชายชางหลินกล่าวกลั้วหัวเราะ สีหน้าเกียจคร้านเฉื่อยชานั้นไม่ได้หวาดกลัวความเดือดดาลของพระจักรพรรดิแม้แต่น้อย ทั้งยังปราศจากความเคารพหรือความเกรงกลัวต่อผลลัพธ์ที่อาจตามมา

        “เยี่ยมรึ?” ชางว่านเหอหัวเราะอย่างเย็นชา “มาดูว่าเราได้ตายไปแล้วหรือยัง? เราขอบอกต่อเจ้า ว่าตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ อย่าแม้แต่จะคิดครองครองตำแหน่งจักรพรรดิ! และอย่าแม้แต่หวังว่าเราจะมีโองการสละราชสมบัติให้กับเจ้า!ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!”

        “พระบิดา ทำไมพระองค์ทรงดื้อดึงเช่นนี้” องค์ชายชางหลินขมวดคิ้ว “พรรคตระกูลเซี่ยวเป็นชนชั้นใด? ในตอนนี้ข้าได้รับการสนับสนุนทั้งหมดจากตระกูลเซี่ยว ตราบใดที่ข้าครองบัลลังก์ พรรคตระกูลเซี่ยวจะถูกข้าใช้ประโยชน์ และราชวงค์วายุครามเราจะเจริญรุ่งเรืองด้วยอำนาจที่สามารถสั่นคลอนทั่วแดนดิน….”

        “หุบปาก…แค่ก แค่ก…แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก….” ชางว่านเหอทรงพิโรธกระทั่งพระพักตร์แปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ พระอุระสะท้อนขึ้นลงอย่างหนักหน่วง “พรรคตระกูลเซี่ยวปรารถนาครอบครองอำนาจของราชวงศ์วายุครามของเรามาช้านาน แต่เจ้าบุตรอกตัญญูเช่นเจ้ากลับหาญกล้าชักนำหมาป่าเข้าสู่บ้านช่อง…หากให้เจ้าขึ้นครองบัลลังก์ เกียรติภูมิกว่าพันปีของราชวงศ์วายุครามเราคงสูญสิ้นจนเหลือแต่ชื่อ ทั้งยังจะกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดของพวกมันเท่านั้น! เราจักรพรรดิต่อสู้อาจหาญจนเกียรติภูมิชื่อเสียงลือลั่นเป็นตำนาน แต่กลับเลี้ยงดูบุตรอกตัญญูออกมาฝูงหนึ่ง! ไปให้พ้น! ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”.

        หลานเสวี่ยหลอเองกลับกลายเป็นเครียดขึง หญิงสาวกำมือทั้งสองแนบแน่น นางไม่อาจสะกดอดกลั้นต่อความโกรธที่มีได้อีกต่อไป หญิงสาวกล่าวด้วยความขุ่นแค้นว่า “ท่านไม่ได้ยินพระบิดาบ่งบอกหรือไร! ออกไปเดี๋ยวนี้! พระบิดาและข้าไม่ต้องการพบหน้าท่านอีก!”

        “จุ๊จุ๊ เหตุใดพระองค์จึงเป็นเช่นนี้” ชางหลินสั่นศีรษะอย่างเชื่องช้า จากนั้นจึงแย้มยิ้มกล่าวว่า “พระบิดา ท่านเองขึ้นเป็นพระจักรพรรดิมายาวนาน สมควรพักผ่อนได้แล้ว ไม่ว่าท่านจะเต็มใจหรือไม่ ไม่ช้าก็เร็ว ตำแหน่งนี้ย่อมร่วงหล่นใส่มือข้าอย่างแน่นอน ท่านดูองค์ชายรองชางชว่อน้องชายที่รักของข้ายังแสวงหาพันธมิตรจากตระกูลอัคคีผลาญฟ้า? ในสายตาข้า มันยังไม่มีคุณสมบัติแก่งแย่งแข่งขัน…น้องหญิงที่รัก ข้าได้ยินมาว่าสองปีที่ผ่านมาเจ้ามิได้อาศัยอยู่ในพระราชวังหลวงวายุคราม หากกลับวิ่งเต้นวุ่นวายอยู่ที่ภายนอก เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพยายามเร่งหาสวามี? เราผู้พี่รู้จักบุรุษอายุเยาว์มากพรสวรรค์มากมาย น้องหญิงต้องการให้ข้านัดหมายให้แก่เจ้าหรือไม่?

        “ออกไป!” หลานเสวี่ยหลอกัดฟัน ความขุ่นแค้นแน่นอกภายในใจพุ่งทะยานทะลุจุดเดือด

        “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! เช่นนั้นผู้บุตรขอตัว” ชางหลินหลุดหัวเราะอย่างป่าเถื่อน ก่อนจะเดินทอดน่องจากไปอย่างปลอดโปร่ง สองมือยังคงไขว้ประสานอยู่ด้านหลัง

        “เจ้าพวกลูกอกตัญญู…ลูกอกตัญญู!!” พระพักตร์ของชางว่านเหอแดงก่ำด้วยทรงกริ้ว พระวรกายสั่นสะท้านตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

        “พระบิดา พวกมันต่างบ้าคลั่ง ท่านไม่สมควรใส่ใจนำมาเป็นอารมณ์ พระพลานามัยของพระองค์สำคัญกว่า” หลานเสวี่ยหลอลูบหลังพระบิดาของตนขณะพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะสะกดกลั้นความแค้นเคืองในจิตใจ

        หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง ชางว่านเหอดูคล้ายสงบพระทัยลงได้ในที่สุด พระองค์ทรงสรวลออกมาอย่างซีดเซียว “กระทั่งบัดนี้ เราเคยคิดมาตลอดว่าเราได้เพาะเลี้ยงลูกพยัคฆ์เจ็ดตัว เมื่อคิดว่าบุตรชายเราทั้งเจ็ดคน…กลับกลายเป็นสุนัขป่าเจ็ดตัวแทนที่ ยังดีที่สวรรค์เมตตาเราอยู่บ้าง ยังให้โอกาสเรามีบุตรีเช่นเจ้าหนึ่งคน แม้จะน่าเสียดายไปบ้างที่เจ้าเพียงเป็นสตรี มิเช่นนั้น เราคงส่งมอบตำแหน่งจักรพรรดินี้ให้แก่เจ้า…แต่หากเราทำเช่นนั้นจริงๆ คงสร้างความลำบากแก่เจ้า..ชางหลินและชางชว่อ เจ้าบุตรทรพีทั้งคู่นี้ คนหนึ่งสุมหัวรวมกับพรรคตระกูลเซี่ยว อีกคนสมคบคิดกับตระกูลอัคคีผลาญฟ้า เฮ้อ..ไม่ว่าผู้ใดกระทำการสำเร็จ ราชวงศ์วายุครามของเราล้วนต้องตกเป็นหุ่นเชิดของผู้อื่น…นับว่าสวรรค์ไร้ทิพยเนตร สวรรค์ช่างไร้ทิพยเนตรจริงๆ เฮ่ออออ”

        “พระบิดา พระองค์อย่าได้ทรงกังวลจนเกินไป ลูกจะใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดเพื่อหยุดยั้งพวกมัน” หลานเสวี่ยหลอขบกัดริมฝีปากตนเอง ดวงตาทั้งสองของหญิงสาวเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำ

        ชางว่านเหอหัวเราะพลางสั่นศีรษะ “เหล่าบุตรอกตัญญูทั้งเจ็ดต่างแยกเป็นสองฝั่ง ทั้งยังมีอำนาจอยู่ในมือ ทั้งพรรคตระกูลเซี่ยวและตระกูลอัคคีผลาญฟ้ายังให้การสนับสนุนพวกมันอย่างลับ ๆ เจ้าจะสามารถไปหยุดพวกมันได้อย่างไร ? เราแค่หวังว่า เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจงออกจากเมืองไป ยิ่งไกลยิ่งดี ข้าเกรงว่าพวกลูกอกตัญญูจะใช้เจ้าเป็นเครื่องมือเพื่อแลกกับความพึงพอใจของพรรคใหญ่พวกนั้น… หากเป็นเช่นนั้น เราคงไม่อาจตายตาหลับเป็นแน่”

        “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้น พระบิดา มีท่านอาจารย์กู่อยู่ที่นี่ พระบิดาย่อมสามารถหายจากพระอาการประชวร และมีชีวิตยั่งยืนถึงร้อยปี” หลานเสวี่ยหลอกล่าวพลางกลั้นน้ำตา หญิงสาวสั่นศีรษะปฏิเสธอย่างหนักแน่น..

        “ฮ่าๆ”ชางว่านเหอหัวเราะออกมาด้วยความสิ้นหวัง พระองค์ทรงทราบดีเกี่ยวกับสภาพร่างกายของตนเอง พระองค์ทรงตั้งข้อสงสัยมาตลอดว่าโรคประหลาดพิกลของพระองค์มาจากการวางแผนของชางหลินและชางชว่อหรือไม่? ชางว่านเหอปิดตาลงพร้อมเอ่ยออกมาด้วยความผิดหวัง “เรารับตำแหน่งจักรพรรดิมาสิบเก้าปี กระทั่งในท้ายที่สุดนี้เราจึงค้นพบว่าเราล้มเหลวในฐานะพระจักรพรรดิ เรื่องที่เราเสียใจที่สุดคือไม่อาจสอนสั่งเหล่าบุตรทรพีให้เป็นคนดีได้ เมื่อเราขึ้นครองบัลลังก์ ความหวังเพียงหนึ่งเดียว ณ ปีที่เราขึ้นครองราชย์ คือให้ราชวงศ์วายุครามได้มีโอกาสลบล้างความอัปยศในการประลองจัดอันดับวายุคราม แต่ในสิบเก้าปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์ที่ได้มา ครั้งแล้วครั้งเล่า คือความอัปยศอดสูอันไม่มีที่สิ้นสุด…ในฐานะราชวงค์วายุครามอันเกรียงไกร ทว่าไม่น่าเชื่อ ว่าเรายังไม่อาจติดอันดับหนึ่งในร้อยได้แม้แต่คนเดียว แม้จะพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่อาจโงหัวขึ้นมาประจันกับเหล่าพรรคต่างๆ ได้ เป็นได้เพียงตัวตลกที่ถูกถากถางเยาะเย้ย นี่นับเป็นความน่าอดสูใจถึงเพียงไหน!”

        หลานเสวี่ยหลอหลับตาลง ปรากฏภาพของหยุนเช่อลอยขึ้นมาในหัวของนาง หญิงสาวรู้สึกถึงความอบอุ่น ทั้งยังรู้สึกจิตใจผ่อนคลายอย่างมาก นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พระบิดา ความฝันของท่านจะเป็นจริงอย่างแน่นอน ในสองปีมานี้ลูกได้ออกค้นหาตามวังยุทธ์ทั้งหลาย ใช้วิชาลับหัวใจราชันเพื่อค้นหาบุคคลนั้น สุดท้ายความพยายามของลูกก็ไม่สูญเปล่า เพียงครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ผู้บุตรีได้ค้นพบบุคคลนั้นแล้ว ทั้งยังได้พาตัวมันมายังวังยุทธ์วายุครามเป็นที่เรียบร้อย ผู้บุตรีจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้มันเข้าร่วมการแข่งขันจัดอันดับวายุครามครั้งหน้าในฐานะตัวแทนราชวงศ์วายุคราม…ลูกมั่นใจว่ามันจะสามารถเข้าสู่ร้อยอันดับแรกได้อย่างแน่นอน เพื่อให้ความฝันของพระบิดาเป็นจริงและล้างความอัปยศของราชวงศ์วายุคราม”

        “เพียงเรื่องเดียวหลังจากนี้…เราเพียงกลัวว่าตนเองไม่อาจมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้น แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก…” ชางว่านเหอเริ่มต้นไออย่างรุนแรง ลมหายใจยิ่งมายิ่งกระชั้นเร่งร้อน

        หลานเสวี่ยหลอตระหนักดีว่าอาการของพระบิดาของนางในตอนนี้ พระองค์ไม่สามารถกล่าววาจามากจนเกินไป หญิงสาวดึงผ้าห่มให้แก่พระบิดาของนาง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “พระบิดา ทรงพักผ่อนก่อน พระองค์ต้องทรงดูแลพระวรกายให้ดี ลูกมีสิ่งจำเป็นต้องไปกระทำ และลูกจะมาเยี่ยมพระบิดาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้…ท่านลุงตงฟาง ข้าต้องรบกวนท่านปกป้องพระบิดาให้ดีด้วย”

        ทันทีที่สิ้นเสียงหลานเสี่ยวหลอ เสียงของชายสูงวัยก็ดังขึ้นมาจากในห้อง “อย่าได้กังวลองค์หญิง ตราบใดที่ข้ายังอยู่จะไม่มีผู้ใดได้สัมผัสแม้เส้นผมขององค์จักรพรรดิ”

        ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าสตรีนางนี้คือพระธิดาพระองค์เล็กขององค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรวายุคราม ทั้งยังไม่อาจหยั่งทราบถึงภาระความกดดันที่แผ่นหลังบอบบางของหญิงสาวต้องแบกรับไว้ หรือกระทั่งความอึดอัดทรมานใจมากมายเพียงไหนที่นางต้องฝังลึกไว้ในใจของตนเอง…

        ————————————————————

        ลานยุทธ์แห่งวังยุทธ์วายุครามนั้นกว้างขวางใหญ่โตและขณะนี้กลับล้นหลามไปด้วยผู้คน เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่รับสมัครศิษย์ประจำปี มากกว่าครึ่งของคนที่มาเป็นผู้มารอรับการทดสอบคัดเลือก และอีกครึ่งเป็นคนจากวังยุทธ์วายุครามที่มาเฝ้าสังเกตการณ์เรื่องสนุกสนานที่จะเกิดขึ้น

        แม้ว่าจะเป็นวันทดสอบวันสุดท้าย แต่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ยังคงเหลืออยู่อีกมากมาย ผู้เข้าทดสอบถูกแบ่งออกเป็นสามร้อยกลุ่ม และด้วยการแทรกแซงของฉินอู่โหย่ว หยุนเช่อถูกจับเข้ากลุ่มที่เก้าสิบเก้า

        การทดสอบถูกแบ่งเป็นสองส่วน เรียงลำดับจากการทดสอบระดับพลังยุทธ์ และการทดสอบความสามารถด้านการต่อสู้ แม้รูปแบบการทดสอบฟังดูไม่มีใดแตกต่าง ทว่าวิธีการทดสอบกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

         

Author aradeer