แสงตะวันโผล่พ้นจากทางทิศตะวันออกยามอรุณรุ่ง ท้องฟ้าที่มืดมิดปรากฏม่านสีฟ้าอ่อนโรยตัวลงมาอย่างอ้อยอิ่ง แสงสว่างสาดส่องไปทั่วหล้า
“ไม่รู้ว่ายาเพลิงผลาญสองเม็ดนี้ จะช่วยให้ข้าหลอมร่างกายได้ถึงระดับไหนกัน” เยี่ยเฉินเฟิงที่แช่ตัวอยู่ในสระน้ำเย็นเฉียบซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาไป๋อวิ๋น ล้วงหยิบเม็ดยาเพลิงผลาญออกมาหนึ่งเม็ด จัดการกลืนลงท้องไปอย่างไม่มีความลังเลใดใด
ทันทีที่เม็ดยาเพลิงผลาญลงไปอยู่ในท้องของเยี่ยเฉินเฟิงความร้อนแผดเผาก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว เผาผลาญร่างกายของเขาจนแทบมอดไหม้ ถึงแม้เขาจะมีประสบการณ์จากการกลืนเม็ดยาในครั้งก่อนแล้ว แต่ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ได้รับก็ยังทำให้สีหน้าของเขาซีดขาวลงอย่างฉับพลัน
เยี่ยเฉินเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่แล่นมาเป็นระลอก เริ่มต้นฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพดาราหกชีพจรโดยดึงเอาพลังงานความร้อนที่เม็ดยาปล่อยออกมา หลอมรวมเข้าไปในเซลล์ร่างกายเพื่อเปลี่ยนแปลงกายเนื้อ
แม้การใช้เม็ดยาเพลิงผลาญช่วยในการหลอมร่างกายจะเห็นผลได้ชัดเจน แต่ระหว่างขั้นตอนหลอมร่างก็ต้องทนรับความเจ็บปวดอย่างสุดแสนไปด้วย เส้นลมปราณของเยี่ยเฉินเฟิงถูกพลังงานความร้อนกัดกร่อนจนเป็นรูพรุนไม่เหลือชิ้นดี สร้างความเจ็บปวดทรมานจนคนทั่วไปแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
เส้นเลือดสีดำคล้ำบนขมับของเขาเต้นตุบๆ ไม่ยอมหยุด ใบหน้าซีดขาวแทบไม่เหลือสีเลือดฝาด
หากไม่มีน้ำเย็นจัดในสระช่วยลดทอนความร้อนจากฤทธิ์ยา เยี่ยเฉินเฟิงคงต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานหนักหนากว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
“ผลึกระดับต่ำ ดูดกลืน”
เยี่ยเฉินเฟิงกัดฟันกรอดๆ สองมือกำหมัดแน่น โคจรทักษะกลืนวิญญาณดูดซับพลังวิญญาณจากผลึกระดับต่ำในมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยเร่งความไวในการเปลี่ยนแปลงกายเนื้อ
ด้วยปริมาณยามหาศาลประกอบกับพลังวิญญาณที่ถูกดูดซับเข้าไปในร่างกาย เซลล์กล้ามเนื้อของเขาจึงแบ่งตัวเพิ่มจำนวนด้วยความเร็วสูง ของเสียจำนวนมากถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางรูขุมขน
เมื่อเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ร่างกายของเยี่ยเฉินเฟิงแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บปวดที่ได้รับเริ่มลดน้อยลง
เวลาผ่านไปราวห้าชั่วโมงกว่า ในที่สุดเยี่ยเฉินเฟิงก็ดูดซับพลังจากเม็ดยาเพลิงผลาญได้เสร็จสมบูรณ์ ผลึกวิญญาณระดับต่ำสองก้อนที่กุมอยู่ในมือก็แทบจะไม่หลงเหลือพลังวิญญาณแล้ว
“ฟู่ ๆ หลอมร่างกายสมบูรณ์ไปประมาณสองในสามส่วนแล้ว พละกำลังเพิ่มสูงขึ้นเกือบหนึ่งพันจิน ถ้าดูดซับเม็ดยาเพลิงผลาญอีกเม็ดที่เหลือก็น่าจะหลอมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์”
เยี่ยเฉินเฟิงที่อยู่ในสภาพใกล้จะเป็นลมปีนขึ้นจากในน้ำไปอยู่บนพื้นขอบสระ สำรวจร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปของตัวเองพร้อมบ่นพึมพำ
หลังจากหลอมร่างกายสำเร็จสองในสามส่วนแล้ว อัตราการฟื้นฟูร่างกายก็เพิ่มสูงขึ้นมาก เพียงสิบลมหายใจเท่านั้น ร่างกายที่อ่อนล้าโรยแรงของเยี่ยเฉินเฟิงก็กลับสู่สภาพปกติ
เซลล์กล้ามเนื้อทั่วร่างกายดูดซับปราณวิญญาณในธรรมชาติอย่างบ้าคลั่ง พลังกายที่สูญเสียไปทั้งหมดก็ได้รับการฟื้นฟู
“หวังว่ายาเพลิงผลาญที่เหลืออยู่อีกเม็ดจะช่วยให้ข้าหลอมร่างกายได้จนสำเร็จนะ” เยี่ยเฉินเฟิงสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ เริ่มต้นดูดซับพลังวิญญาณจากผลึกระดับต่ำที่ยังเหลืออยู่ จัดท่วงท่าร่างกายให้พร้อมสำหรับการดูดซับยาเพลิงผลาญเม็ดสุดท้าย
ในขณะที่เยี่ยเฉินเฟิงเร้นกายอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขา มุ่งมั่นสมาธิทั้งหมดไปที่การทะลวงผ่านขั้นสองของเคล็ดวิชาเทพดาราหกชีพจรอยู่นั้น นักฆ่าที่ได้รับการจ้างวานจากตระกูลเจียงก็แฝงตัวเข้าเมืองไป๋ตี้มาอย่างเงียบเชียบ เตรียมพร้อมที่จะปลิดชีพเยี่ยเฉินเฟิงและลักพาตัวจีชิงเสวี่ยกลับไป
“ชิงเสวี่ย วันนั้นต้องขอโทษจริงๆ นะ ข้าไม่คิดเลยว่าเหลียนซาน จวินจะกล้าวางแผนใส่ร้ายเฉินเฟิง เจ้ากับเฉินเฟิงอย่าถือสาเลยนะ”
เนื่องจากเยี่ยเฉินเฟิงไม่อยู่ที่บ้าน จีชิงเสวี่ยที่เบื่อๆ จึงออกมาเดินเล่นในเมืองกับไป๋ซีหย่า ในระหว่างที่ก้าวเดินไปตามพื้นหินสีขาวอย่างเชื่องช้า ไป๋ซีหย่าก็เอ่ยขอโทษขอโพยขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ข้ากับเฉินเฟิงไม่คิดมากหรอก” จีชิงเสวี่ยกล่าวอย่างนุ่มนวลพร้อมรอยยิ้มชวนให้เคลิบเคลิ้ม
“จริงสิชิงเสวี่ย เฉินเฟิงเขาเป็นคนแบบไหนกันหรือ?” ไป๋ซีหย่าถามเสียงแผ่ว เพราะอยากจะทราบตัวตนของเขาจากปากของจีชิงเสวี่ยที่รู้จักอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง
ไป๋ซีหย่าไม่มีทางรู้เลยว่าแท้จริงแล้วจีชิงเสวี่ยก็ไม่ได้เข้าใจเยี่ยเฉินเฟิงเลยสักนิด เรื่องที่พวกเขาตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน เดิมทีก็เป็นเพียงแค่การทำข้อตกลงร่วมกันเท่านั้น
“เฉินเฟิงหรือ…เขาเป็นคนที่ค่อนข้างขี้งก ยึดมั่นถือมั่นในศักดิ์ศรีของผู้ชายนิดหน่อย แต่…เขาเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกปลอดภัยและสบายใจคนหนึ่งเลยแหละ…”
จีชิงเสวี่ยครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะบรรยายออกมาอย่างไม่รีบร้อน โดยที่นางไม่รู้ตัวเลยว่ายามที่พูดถึงเยี่ยเฉินเฟิง มุมปากจะปรากฏรอยยิ้มขึ้นจางๆ
คุยกันไปคุยกันมา พวกจีชิงเสวี่ยก็เดินเพลินจนมาถึงเขตชานเมืองไป๋ตี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของทะเลสาบไป๋หูที่รายล้อมไปด้วยต้นกกมากมาย
สายลมเย็นพัดผ่าน ระลอกคลื่นเล็กๆ ก่อตัวขึ้นบนผิวน้ำในทะเลสาบ อากาศเย็นสบายทำให้จิตใจของเด็กสาวทั้งสองผ่อนคลายลงอย่างมาก
ในตอนที่พวกนางคิดจะหามุมสงบเพื่อนั่งพูดคุยกัน จู่ๆ จีชิงเสวี่ยก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน ความระแวงฉายชัดในดวงตาคู่สวยของนาง
“เป็นอะไรไปชิงเสวี่ย”
เพราะระดับพลังที่แตกต่างกันทำให้ไป๋ซีหย่าไม่รับรู้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา แต่นางก็พอจะคาดเดาได้จากสีหน้าของจีชิงเสวี่ยจึงเอ่ยถามอย่างกังวล
“ซีหย่า ไม่ต้องพูดอะไร เจ้าเดินตามข้ามาอย่าให้คลาดกันล่ะ”
จีชิงเสวี่ยเร่งฝีเท้าในการเดินให้เร็วขึ้น ในขณะเดียวกันก็หยิบผลึกสีดำซึ่งมีพลังวิญญาณมหาศาลบรรจุอยู่ภายในออกมากุมไว้ในมือ
“คนงามทั้งสองรีบร้อนขนาดนี้ คิดจะไปที่ใดกันหรือ”
ขณะที่พวกจีชิงเสวี่ยคิดจะเร่งความเร็วเพื่อเข้าไปปะปนกับฝูงชนในตัวเมืองไป๋ตี้ น้ำเสียงร้ายกาจดุจอสรพิษก็ดังกระทบโสตประสาทของพวกนาง
พริบตาถัดมา ชายสวมชุดดำสี่คนก็ปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าของพวกนาง ใบหน้าของคนเหล่านั้นคาดผ้าสีดำปกปิดตัวตน ในมือถือกระบี่ยาวสีเงินวาววับ
ทั้งสี่คนปลดปล่อยพลังอันร้ายกาจออกมาจนทำให้พวกจีชิงเสวี่ยสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันหนักอึ้ง
“พวกเจ้าเป็นใคร คิดจะทำอะไรกันแน่?”
ไป๋ซีหย่าที่สัมผัสจิตสังหารในแววตาของคนพวกนั้นได้ ใบหน้าก็เปลี่ยนสีเล็กน้อย แต่ยังทำใจแข็งตวาดถามอีกฝ่าย
“พวกเจ้าสบายใจได้เลย ขอแค่ยอมให้ความร่วมมือไปกับพวกเราแต่โดยดี พวกเราก็จะไม่ทำร้ายพวกเจ้าแม้แต่น้อย” หัวหน้าชายชุดดำเอ่ยขึ้นอย่างไร้อารมณ์
“พวกเจ้าเป็นคนของตระกูลเจียงสินะ” จีชิงเสวี่ยเอ่ยถามอย่างสุขุม ดูจากกลิ่นอายของทั้งสี่คนแล้ว พลังที่แท้จริงของพวกเขาอย่างน้อยๆ ก็อยู่ในเขตแดนผู้ใช้อสูรวิญญาณระดับหกกันแล้ว
กล้ากระทำเรื่องอุกอาจอย่างการลักพาตัวพวกนางทั้งสองคน ซ้ำยังส่งมาแต่ยอดฝีมือระดับสูงเช่นนี้ได้ ทั่วทั้งแคว้นจื่อจินมีเพียงตระกูลเจียงที่ทำได้
“เจ้าดูจะพล่ามมากไปหน่อยกระมัง ถ้าหากไม่ยอมเชื่อฟังกันดีๆ พวกข้าคงต้องใช้กำลังแทน ถึงตอนนั้นเจ็บตัวขึ้นมาอย่ามาโทษว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน”
หัวหน้าคนชุดดำเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา มือถือกระบี่ยาวคมกริบ ย่างสามขุมเข้ามาหาพวกนางอย่างเชื่องช้า
“ซีหย่า พวกเราต้องฝ่าออกไป” จีชิงเสวี่ยรู้ดีแก่ใจว่าถ้าหากพวกนางถูกจับตัวไปจะต้องเจอกับเรื่องอะไรบ้าง จึงปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาอย่างไม่ลังเล ก่อร่างจิตอสูรวิหคน้ำแข็งผสานรวมกับร่างกาย
จีชิงเสวี่ยเรียกจิตอสูรวิหคน้ำแข็งออกมา ไป๋ซีหย่าที่อยู่เขตแดนผู้ใช้อสูรวิญญาณระดับสี่ก็เรียกจิตอสูรอสรพิษขาวออกมาเช่นกัน นางผสานรวมกับร่างกายเพื่อเพิ่มพูนพลังที่แท้จริง
“บุก!”
จีชิงเสวี่ยระเบิดเสียงคำราม พวกนางทั้งสองก็พุ่งตัวออกไปราวกับเกาทัณฑ์ที่ถูกยิงออกจากคันศร คิดจะบุกฝ่าวงล้อมออกไป
“คิดจะหนีไปไหน”
“กระบี่แยกเงา”
หัวหน้าคนชุดดำเห็นว่าพวกจีชิงเสวี่ยคิดจะหลบหนีจึงทะยานร่างขึ้นไปบนอากาศ กระบี่ยาวในมือเปล่งแสงสีครามออกมา ปราณกระบี่แยกเงาสายหนึ่งตัดผ่านชั้นอากาศฟาดฟันไปทางพวกนาง บังคับให้ทั้งคู่ต้องกระโดดหลบกันอย่างทุลักทุเลเพื่อถ่วงเวลาการหนีของทั้งสองคน
“ปรมาจารย์อสูรมายา คนผู้นี้อยู่ในระดับปรมาจารย์อสูรมายาเชียวหรือ”
ได้รับรู้ถึงพลังที่แท้จริงของหัวหน้าชายชุดดำ จิตใจของจีชิงเสวี่ยก็เริ่มสับสนอลหม่าน ต่อให้นางจะมีพรสวรรค์ที่น่าตื่นตะลึงสักแค่ไหนก็ไม่มีทางต่อสู้ประมือกับระดับปรมาจารย์อสูรมายาได้หรอก
หลังจากใช้เคล็ดวิญญาณขัดขวางการหลบหนีของเด็กสาวทั้งสองแล้ว ชายชุดดำทั้งสี่คนก็ลงมือล้อมวงจู่โจมใส่พวกนาง ใช้กำลังบีบบังคับจับตัวกลับไป
จีชิงเสวี่ยเห็นว่าอย่างไรก็คงหนีไม่พ้นแล้ว จึงขว้างผลึกสีดำที่กุมเอาไว้ในมือตั้งแต่ก่อนหน้านี้ใส่หัวหน้าชายชุดดำในระยะประชิด
เกิดเสียงระเบิดดัง “ตู้ม” สนั่นหวั่นไหว ผลึกสีดำระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ พลังงานรุนแรงจำนวนมากทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก แรงระเบิดส่งร่างหัวหน้าชายชุดดำที่กระโดดหลบไม่ทันให้ลอยปลิวออกไป ส่วนผู้ใช้อสูรวิญญาณระดับหกอีกสามคนที่เหลือถูกระเบิดตายคาที่
ทางจีชิงเสวี่ยและไป๋ซีหย่าก็โดนแรงระเบิดที่ยังหลงเหลืออยู่เช่นกัน ร่างของพวกนางล้มกลิ้งลงกับพื้นบาดเจ็บไม่เบาเลยทีเดียว
แต่ในช่วงเวลาคับขันอันตราย พวกจีชิงเสวี่ยไม่มีเวลามาสนใจบาดแผลบนร่างกายมากนัก พยายามอดกลั้นความเจ็บปวดตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น
ด้วยกลัวว่าในเมืองไป๋ตี้จะยังมีพวกนักฆ่าของตระกูลเจียงดักรออยู่อีก ทั้งสองจึงตัดสินใจหลบหนีออกจากเมือง เดินลึกเข้าไปในเทือกเขาไป๋อวิ๋นที่มีแต่ป่ารกชัฏน่ากลัวและพื้นที่อันสลับซับซ้อน ท่ามกลางความมืดมิดที่โรยตัวลงมาปกคลุม