มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่ม 2 ตอนที่ 34 เยี่ยเฉินเฟิง เจ้ากล้ารับคำท้าหรือไม่

        วันเวลาล่วงเลยอย่างรวดเร็ว เพียงแค่พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน

        “พละกำลังแปดพันจิน ระเบิดออก”

        ร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของเยี่ยเฉินเฟิงกระทืบเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว เลือดเนื้อทั่วร่างพากันกู่ร้องลั่น มวลพลังกายและพลังวิญญาณที่ไข่โลหิตปลดปล่อยออกมารวมกันเป็นหนึ่ง ไหลทะลักเข้าสู่แขนทั้งสองข้างราวกับกระแสน้ำหลาก กระหน่ำโจมตีหน้าอกของหมีคลั่งขนดำเบื้องหน้าอย่างหนักหน่วง มันมีร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยแพขนสีดำเข้ม ตัวสูงใหญ่ราวหกเมตรและมีดวงตาแดงก่ำดุจโลหิต

        “โครม” เสียงดังสนั่นปรากฏขึ้นพร้อมกับร่างหมีคลั่งขนดำที่ขึ้นชื่อเรื่องพละกำลังถูกหมัดคู่ของเยี่ยเฉินเฟิงต่อยจนกระเด็นลอยออกไป ใบหน้าที่ปกคลุมด้วยแพขนหนายุบลงไปเป็นหลุมลึก เลือดและชิ้นส่วนอวัยวะที่แหลกเหลวจำนวนมากพ่นออกมาจากปากของมัน

        หนึ่งในเจ้าถิ่นของเทือกเขาไป๋อวิ๋นอย่างหมีคลั่งขนดำถูกเยี่ยเฉินเฟิงชกหมัดเดียวตาย นอนแน่นิ่งอยู่กลางแอ่งเลือดเจิ่งนอง

        หลังจากสังหารหมีคลั่งขนดำแล้ว จิตอสูรไข่โลหิตของเยี่ยเฉินเฟิงก็ปรากฏรอยแตกร้าวที่ห้าขึ้น พลังวิญญาณระลอกใหญ่ดุจน้ำจากประตูเขื่อนไหลทะลักเข้าสู่เส้นลมปราณทั่วร่างของเขา

        ยามนี้ต่อให้เยี่ยเฉินเฟิงจะอยากฝืนกดระดับเขตแดนไว้เพียงไรก็ไม่อาจทำได้อีกต่อไปแล้ว หลังจากจิตอสูรไข่โลหิตได้ซึมซับพลังวิญญาณจนเต็มเปี่ยม มันก็ทะลวงเข้าสู่เขตแดนผู้ใช้อสูรวิญญาณระดับหกโดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังเป็นเขตแดนที่มั่นคงเองโดยไม่ต้องสร้างเสถียรภาพใดใด

        “ฟู่ ถึงเวลาต้องกลับไปยังเมืองไป๋ตี้เพื่อเข้าร่วมการทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้แล้วสินะ ไม่รู้ว่าเรื่องที่เจียงซานสุ่ยตายไปจะถูกบิดเบือนจนเละเทะขนาดไหนแล้ว ตระกูลไป๋คงไม่ขายข้าเอาตัวรอดหรอกกระมัง”

        เยี่ยเฉินเฟิงพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เขาชำระล้างร่างกายในสระน้ำลึก ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ เดินทางออกจากเทือกเขาไป๋อวิ๋น กลับไปที่เมืองไป๋ตี้

        เพราะแอบกังวลว่าตระกูลไป๋จะทนรับแรงกดดันไม่ไหวจนเปิดโปงตัวตนของเขา เยี่ยเฉินเฟิงจึงได้ปลอมตัวและสวมหน้ากากหนังมนุษย์ ลอบสืบข่าวคราวที่เกิดขึ้นในเมืองไป๋ตี้ก่อนสักเล็กน้อย

        จนกระทั่งได้รู้ว่ายอดฝีมือของตระกูลเจียงที่มาก่อกวนอาละวาดจนเมืองไป๋ตี้สับสนอลหม่านเดินทางกลับไปหมดแล้ว และเมืองไป๋ตี้ก็กลับเข้าสู่สภาวะสงบสุขดั่งเดิมแล้ว เขาจึงได้ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก

        หลังยืนยันจนมั่นใจว่าตระกูลไป๋ไม่ได้ขายตนเอง เยี่ยเฉินเฟิงก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง เขาเช่าห้องพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อรอให้การทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ในเช้าวันพรุ่งนี้มาถึง

        แสงตะวันยามเช้าย้อมท้องฟ้าจนเป็นสีแดงเข้ม ราวกับภาพวาดทิวทัศน์อันงดงาม ชวนให้คนรู้สึกเบิกบานใจ

        หลังจากทานมื้อเช้าที่โรงเตี๊ยมเสร็จแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็หันหน้าเผชิญกับแสงยามรุ่งอรุณ เดินเท้าไปยังสำนักฝึกยุทธ์ในเมือง

        เนื่องจากวันนี้เป็นวันจัดการทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ เมืองไป๋ตี้จึงมีบรรยากาศคึกคักเป็นอย่างมาก บรรดาศิษย์ที่ออกไปแสวงหาประสบการณ์ด้านนอกสำนักต่างก็กลับมากันเกือบครบ

        “เอ๊ะ ข้าไม่ได้มองผิดใช่ไหมเนี่ย นั่นเยี่ยเฉินเฟิงมิใช่หรือ ไม่คิดว่าวันนี้เจ้าจะกล้าโผล่หน้าออกมาเสียด้วย ข้าคิดว่าเจ้าที่ไปล่วงเกินคุณชายใหญ่เหลียนเอาไว้จะกลัวจนหางจุกตูดไม่กล้าสู้หน้าใครเสียอีก”

        เยี่ยเฉินเฟิงเพิ่งจะเดินมาถึงประตูทางเข้าสำนัก น้ำเสียงยียวนกวนเบื้องล่างก็ดังกระทบหูเสียก่อน

        ตี๋วั่นเสียนปรากฏกายขึ้นพร้อมกับลูกผู้ดีมีสกุลอีกสามคนเบื้องหลัง เขาสวมชุดคลุมยาวงดงามหรูหรา ใบหน้าประดับรอยยิ้มชั่วร้าย ยืนกั้นขวางเส้นทางของเยี่ยเฉินเฟิง

        “ตี๋วั่นเสียน ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าช่างเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของเหลียนอวี้หลงโดยแท้ เป็นสุนัขได้ถึงแก่นแท้เช่นเจ้านับว่าเป็นขอบเขตอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ” ได้ยินคำพูดถากถางของตี๋วั่นเสียน นอกจากเยี่ยเฉินเฟิงจะไม่รู้สึกโกรธแล้ว ยังเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงตัวตลกที่ชอบเต้นแร้งเต้นกาขวางหูขวางตาอีกด้วย

        “เจ้าบัดซบเยี่ยเฉินเฟิง เจ้ากล้าด่าข้าเป็นสุนัขเชียวเรอะ?” ได้ยินคำด่าทอของอีกฝ่าย ตี๋วั่นเสียนก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คาดคั้นอีกฝ่ายด้วยความเดือดดาล

        “เออ ข้าด่าเจ้าเป็นสุนัข แล้วเจ้ามีปัญญาทำอะไรข้ารึไงล่ะ?” เยี่ยเฉินเฟิงเหลือบมองตี๋วั่นเสียนที่โกรธจนควันออกหู ตอบกลับอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้า

        “เจ้า…”

        ตี๋วั่นเสียนเดือดดาลจนเกือบจะอกแตกตาย เขาไม่คิดเลยว่าความตายอยู่ตรงหน้าแท้ๆ เยี่ยเฉินเฟิงจะยังวางท่าทีอวดดีได้

        แต่พอนึกถึงพลังกายสุดแข็งแกร่งของอีกฝ่ายที่ตัวเองไม่อาจต่อกรได้แม้แต่น้อย เขาก็ได้แต่กัดฟันข่มกลืนความโกรธลงท้องไป ไม่กล้าลงไม้ลงมือ

        “หลบไปให้พ้นซะ อย่ามาขวางหูขวางตาของข้าอีก” เยี่ยเฉินเฟิงจ้องมองตี๋วั่นเสียน ออกคำสั่งกับเขาอย่างเยือกเย็น

        “หากข้าไม่ยอมหลบล่ะ?” ตี๋วั่นเสียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฝืนพูดอย่างอวดเก่ง

        “ถ้างั้นข้าก็จะทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจเอง” เยี่ยเฉินเฟิงเอ่ยอย่างเย็นชา ปลดปล่อยจิตสังหารที่สั่งสมจากการรบราฆ่าฟันอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่คิดจะออมมือ ส่งกระแสจู่โจมก้นบึ้งจิตใจของตี๋วั่นเสียน ทลายแนวป้องกันทางจิตใจของเขาจนราบเรียบ

        ให้เขาได้สัมผัสความรู้สึกเหมือนร่วงสู่ขุมนรก สองขาอ่อนยวบจนต้องทรุดตัวลงไปกองกับพื้น

        “ตี๋วั่นเสียน เจ้ามันอ่อนหัดเกินไป” เมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวและลมหายใจหอบกระชั้นของตี๋วั่นเสียน เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่คิดจะสนใจเขาอีก เขาเลือกที่จะเดินผ่านอีกฝ่ายเข้าไปในสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้แทน

        ‘เยี่ยเฉินเฟิง เจ้าอย่าโอหังให้มันมากนัก คุณชายใหญ่เหลียนจะต้องล้างแค้นแทนข้าแน่’ ตี๋วั่นเสียนที่ถูกทำให้อับอายขายหน้ามองตามแผ่นหลังของเยี่ยเฉินเฟิง ลอบสาบานในใจเงียบๆ

        หลังจากเข้ามาในสำนักฝึกยุทธ์ เยี่ยเฉินเฟิงก็ตรงไปที่ลานประลองยุทธ์สำหรับจัดสอบทันที เฝ้ารอให้ถึงเวลาเริ่มต้นการทดสอบปลายปี

        การทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไม่มีอะไรยุ่งยาก เพียงแค่จัดการประลองฝีมือขึ้นระหว่างศิษย์ในสำนัก เปรียบเทียบผลงานและจัดลำดับตามคะแนนที่แต่ละคนได้

        เยี่ยเฉินเฟิงรออยู่ภายในสนามประลองประมาณสิบนาที ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ว่ามีสายตามุ่งร้ายของบางคนกำลังจับจ้องมาทางเขา เมื่อเบนศีรษะกลับไปมองจึงได้ประสานสายตากับเหลียนอวี้หลงผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักเข้าพอดี

        “เยี่ยเฉินเฟิง วันนี้ข้าจะอัดเจ้าจนเละท่ามกลางสายตาของคนทั้งหมดที่นี่ เอาให้เจ้าไม่กล้าเสนอหน้าอยู่ในเมืองไป๋ตี้อีกต่อไปเลย” เหลียนอวี้หลงขยับปากเป็นคำพูด ดวงตาทอประกายดุร้าย

        ”แล้วข้าจะรอ” เยี่ยเฉินเฟิงขยับปากโต้ตอบอีกฝ่าย ก่อนจะหันหน้ากลับมาและเมินเฉยต่อเขา

        นอกจากเหลียนอวี้หลง ในหมู่ผู้คนยังมีอีกหนึ่งสายตาที่จับจ้องมาทางเยี่ยเฉินเฟิง คนผู้นั้นก็คือเฉียวจิ้งยวนที่เขาเคยช่วยเอาไว้นั่นเอง

        นางคิดจะใช้การทดสอบในครั้งนี้ยืนยันให้แน่ใจว่าเยี่ยเฉินเฟิงใช่คนที่ช่วยเหลือนางในคืนนั้นหรือไม่

        เมื่อใกล้จะถึงเวลาเริ่มการทดสอบแล้ว ที่นั่งคนดูบนอัฒจันทร์ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คน ไป๋ซีซานผู้เป็นดั่งเสาหลักของตระกูลไป๋ ไป๋เจียงสุ่ยที่ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองไป๋ตี้และไป๋ซีหย่าที่แต่งกายมาอย่างพิถีพิถันจนงดงามสะดุดตาต่างก็นั่งอยู่บนอัฒจันทร์กันครบถ้วน และมุ่งความสนใจมาที่การทดสอบของเยี่ยเฉินเฟิง

        ตอนที่ไป๋ซีหย่ามองเห็นเยี่ยเฉินเฟิงผู้มีบุคลิกท่วงท่าสง่างามและดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมาย ใบหน้างดงามก็ปรากฏร่องรอยของความคาดหวังขึ้น นางคาดหวังให้เขาได้แสดงพลังอำนาจอันดุดันองอาจให้ทุกคนได้เห็น

        “เอาล่ะ ทุกคนเงียบก่อน วันนี้เป็นวันจัดการทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ เนื่องจากจำนวนของผู้มีสิทธิ์สอบประเมินเข้าสำนักฝึกยุทธ์อัคคีสวรรค์มีอยู่น้อยมาก สำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ของเราจึงแย่งชิงมาได้เพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น ดังนั้นในปีนี้จึงมีเพียงคนที่ได้อันดับหนึ่งเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบรอบสุดท้ายของสำนักฝึกยุทธ์อัคคีสวรรค์”

        เจ้าสำนักของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ ชายชราผู้มีเส้นผมสีดอกเลายืนขึ้นตรงที่นั่งอัฒจันทร์หลัก เอ่ยประกาศขึ้นเสียงดังก้อง

        “มีเพียงแค่ตำแหน่งเดียวเช่นนี้ คงหนีไม่พ้นต้องเป็นท่านแล้วล่ะนายน้อยเหลียน” ตี๋วั่นเสียนเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนกัน เอ่ยวาจายกยอด้วยสีหน้าประจบประแจง

        “ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่ ด้วยพลังที่แท้จริงของนายน้อยเหลียน อย่าว่าแต่สำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้แห่งนี้เลย คิดว่าต่อให้อยู่ในสำนักฝึกยุทธ์อัคคีสวรรค์ยังถือได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ไม่เป็นสองรองใคร”

        กลุ่มศิษย์มีชาติตระกูลในสำนักฝึกยุทธ์ที่รุมล้อมอยู่ผลัดกันประจบประแจงเขาเสียยกใหญ่

        “อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย คนที่จะเป็นศิษย์ในสำนักอัคคีสวรรค์ได้ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ เพียงแต่ขอเวลาให้ข้าได้ฝึกฝนสักหน่อย ข้ามั่นใจว่าจะสามารถรุ่งโรจน์อยู่ในสำนักฝึกยุทธ์อัคคีสวรรค์ได้แน่”

        ทำราวกับว่าตำแหน่งเข้าร่วมการทดสอบของสำนักฝึกยุทธ์อัคคีสวรรค์ถูกเขาจับจองเอาไว้แล้ว

        “เอาล่ะ การทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้จะเริ่มต้น ณ บัดนี้ ทุกคนสามารถขึ้นเวทีมาขอท้าประลองได้เลย” เจ้าสำนักประกาศเสียงดัง

        สิ้นเสียงของเจ้าสำนัก เหลียนอวี้หลงพลันเหลือบมองไปทางเยี่ยเฉินเฟิงที่อยู่ไกลออกไป เขาเหยียบย่างขึ้นไปบนเวทีประลองเป็นคนแรกซึ่งถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคน มือข้างหนึ่งถือหอกยาวปลายแหลมคมสีดำฉลุลายก้นหอย ยกปลายหอกชี้ใส่เยี่ยเฉินเฟิงที่อยู่ด้านล่างเวทีพร้อมกล่าวท้าทาย “เยี่ยเฉินเฟิง ข้าขอท้าประลองกับเจ้า เจ้ากล้ารับคำท้าหรือไม่?”

         

 

Author Glory Forever