“ไม่คิดเลยว่าสมบัติสุดลึกลับของลัทธิมารสวรรค์จะแอบซ่อนอยู่บนเกาะไร้นามแห่งหนึ่งทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลอุดร แต่ที่ยังไม่รู้ก็คือสมบัติที่ว่ามันเป็นของล้ำค่าอะไร”
เยี่ยเฉินเฟิงใช้ความจำที่เหนือล้ำกว่าคนทั่วไป จดจำรายละเอียดแผนที่สมบัติของลัทธิมารสวรรค์เอาไว้ก่อนจะยืมพลังของสมองกลืนเทวะ ทำการลบล้างแผนที่สมบัติออกจากกะโหลกศีรษะชิ้นดังกล่าวแล้วเก็บลงไปในถุงเอกภพดังเดิม
เพื่อความไม่ประมาท เยี่ยเฉินเฟิงจึงไม่กล้าเก็บสมบัติของกุ่ยเซียนคร่าสวรรค์ไว้กับตัว เขาย้ายผลึกวิญญาณระดับต่ำ เม็ดยาหวนวิญญาณ สมุนไพรฟ้าดินอีกสิบกว่าต้น รวมทั้งวัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมสร้างอักขระอาคมอีกกว่าร้อยชนิดลงในถุงเอกภพของตนเอง จากนั้นก็ขุดหลุมภายในเรือนที่พักลึกราวสิบกว่าเมตร โยนถุงเอกภพทั้งสองลงไปแล้วทำการกลบฝังหลุมลึกจนมิด
ราตรีกาลดุจสายน้ำสงบนิ่ง สายลมยามค่ำคืนพัดโชยเบาๆ บรรยากาศรอบข้างล้วนเงียบสงัด
ได้เห็นพลังที่แท้จริงของกุ่ยเซียนคร่าสวรรค์แล้ว เยี่ยเฉินเฟิงรู้ดีว่าเส้นทางหลังจากนี้ยังอีกยาวไกล ตนเองต้องยกระดับพลังที่แท้จริงให้สูงขึ้นโดยเร็วที่สุดถึงจะสามารถรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ตลอดเวลา
พักผ่อนอยู่เพียงชั่วครู่ เยี่ยเฉินเฟิงก็ได้นั่งขัดสมาธิที่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ภายในเรือนและเข้าสู่สภาวะอนัตตาได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่เขากำลังจะฝึกฝนในตอนนี้ก็คืออำนาจดาบที่มีพลังโจมตีรุนแรงจนน่าตื่นตระหนก
หลังจากประสบการณ์สู้รบที่สุสานมรณะ เยี่ยเฉินเฟิงก็มีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับครึ่งก้าวอำนาจกระบี่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้น ภายในห้วงสมองเกิดการรู้แจ้งเกี่ยวกับอำนาจกระบี่ขึ้นมากมาย
หากว่าเขาสามารถนำการรู้แจ้งเหล่านั้นผสมผสานลงไปในครึ่งก้าวอำนาจกระบี่ได้ เขาก็มั่นใจว่าตนเองจะสามารถฝึกฝนอำนาจกระบี่ที่แท้จริงได้และเพิ่มพลังโจมตีของตัวเองให้สูงขึ้นไปอีกขั้น
แต่ละวันล่วงเลยผ่านไป เยี่ยเฉินเฟิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนราวกับภิกษุที่กำลังเข้าฌาน พลังวิญญาณภายในร่างกายก็สงบนิ่งไร้ปฏิกิริยาใดใด
เมื่ออยู่ในสภาวะอนัตตาการเผาผลาญของร่างกายจะเชื่องช้าลง แม้ว่าเขาจะฝึกฝนอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ไม่มีความรู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ทันใดนั้น ต้นไม้เก่าแก่ที่ด้านหลังของเยี่ยเฉินเฟิงก็เกิดการสั่นไหว เสียงตวัดดาบแสบแก้วหูดังขึ้นมาจากภายในร่างของเยี่ยเฉินเฟิง
ครู่ต่อมา ลำแสงกระบี่ก็พุ่งออกมาจากร่างของเยี่ยเฉินเฟิงด้วยความเร็วสูงและแทงตรงดิ่งไปบนอากาศ
ค่ายกลป้องกันภายในเรือนที่ถูกลำแสงกระบี่อันดุดันพุ่งโจมตีเกิดการบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที ทั่วทั้งค่ายกลสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“อำนาจกระบี่ ในที่สุดข้าก็รู้แจ้งในอำนาจกระบี่ที่แท้จริงเสียที”
เยี่ยเฉินเฟิงลืมตาขึ้นมาอย่างฉับพลัน คมแสงสองสายสะท้อนออกมาราวกับกระบี่คมกริบ แสดงอานุภาพที่มีให้ได้ประจักษ์
แม้ว่าเขาจะรู้แจ้งในอำนาจกระบี่แล้ว แต่อำนาจกระบี่เป็นสิ่งที่ลี้ลับมหัศจรรย์มาก โดยจะแบ่งออกเป็นเก้าระดับขั้น หรือจะเรียกว่าอำนาจกระบี่เก้าชั้นฟ้าก็ย่อมได้ อานุภาพการโจมตีจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในทุกๆ ชั้นฟ้า และที่เขาสามารถรู้แจ้งได้ในยามนี้ เป็นเพียงแค่อำนาจกระบี่หนึ่งชั้นฟ้าเท่านั้น
ทว่าอำนาจกระบี่แค่หนึ่งชั้นฟ้านี้กลับทำให้พลังโจมตีของเขาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวได้ หากระเบิดอานุภาพออกมาอย่างเต็มที่คงเพียงพอจะสังหารจอมพลอสูรโลการะดับหนึ่งลงได้เลย
เมื่อพลังโจมตีเพิ่มขึ้นแล้ว ความอยากอาหารก็เริ่มปะทุขึ้นมาเล็กน้อย เยี่ยเฉินเฟิงจึงหยุดการฝึกฝนชั่วคราวและเดินออกจากเรือนที่พักไปยังโรงอาหารวิญญาณเพื่อทานอาหาร
หลังจากทานอาหารรสเลิศที่ปรุงขึ้นมาจากเนื้อสัตว์วิเศษแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงที่กำลังสดชื่นกระปรี้กระเปร่าก็ไม่ได้คิดจะไปที่หอวิญญาณเพื่อเลือกเคล็ดวิญญาณประเภทกระบี่แต่อย่างใด
ตั้งแต่ที่เขารู้แจ้งในอำนาจกระบี่ก็แทบจะไม่เหลือความสนใจต่อเคล็ดวิญญาณประเภทกระบี่ในหอเคล็ดวิญญาณอีกเลย เพราะพลังโจมตีที่สร้างขึ้นมาจากอำนาจกระบี่มันมีอานุภาพอยู่เหนือกว่าเคล็ดวิญญาณระดับหลิงอย่างสิ้นเชิง
“ไปค่ายกลวิญญาณฟ้าก็แล้วกัน”
เยี่ยเฉินเฟิงใช้ความคิดอยู่สักพัก ก่อนจะมาที่ค่ายกลวิญญาณฟ้าเพื่อเตรียมจะท้าทายเป็นครั้งที่สอง บุกทะลวงให้ถึงสิบอันดับแรกบนป้ายพลังยุทธ์อัคคีสวรรค์
ขณะที่เยี่ยเฉินเฟิงกำลังเดินเข้าไปภายในโถงวิหารด้านนอกค่ายกลอยู่นั้น ก็พบว่าเซินถูเหิงเองก็อยู่ในโถงวิหารเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีเซินถูปิงสตรีนิสัยร้ายกาจเอาแต่ใจยืนอยู่ข้างๆ อีกคน
“ปรมาจารย์อสูรมายาระดับห้า เยี่ยเฉินเฟิง เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ เสียด้วย ข้อเสนอที่ข้ายื่นให้เจ้าในตอนนั้นยังคงมีผลอยู่นะ ประตูใหญ่ของตระกูลเซินถูพร้อมเปิดกว้างต้อนรับเจ้าเสมอ” เซินถูเหิงที่เห็นเยี่ยเฉินเฟิงเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ดวงตาก็ทอประกายวาววับพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างหยิ่งยโส
“ขอโทษที แต่ข้าไม่สนใจน้องสาวของเจ้าแม้แต่น้อย อย่าหวังว่าข้าจะยอมแต่งนางเป็นภรรยาเลย แล้วข้าก็ไม่อยากจะเข้าร่วมวงศ์ตระกูลของพวกเจ้าด้วยเช่นกัน”
เมื่อบรรลุเขตแดนปรมาจารย์อสูรมายาระดับห้าและฝึกฝนอำนาจกระบี่ขั้นแรกได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่รู้สึกกลัวเซินถูเหิงอีกต่อไป ถ้าหากเขากล้าท้าทายตนขึ้นมา เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่รังเกียจที่จะมอบความทรงจำที่เขาจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิตให้
“เจ้า…”
ด้วยฐานะของคุณหนูใหญ่ตระกูลเซินถู เซินถูปิงไม่เคยต้องเจ็บช้ำน้ำใจขนาดนี้มาก่อนเลย ถ้าหากไม่ใช่เพราะหวั่นเกรงพลังของเยี่ยเฉินเฟิง นางคงลงมือจัดการเขาไปนานแล้ว
“เยี่ยเฉินเฟิง ตระกูลเซินถูของพวกเราไม่อยากจะกำจัดเจ้าทิ้งจริงๆ เจ้าจะหัวรั้นขนาดนั้นไปทำไมกัน?” เซินถูเสวี่ยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ามืดครึ้ม” แต่งกับน้องสาวข้า เจ้าก็จะได้ทั้งคนและทรัพย์สินเงินทอง ข้าคิดว่าทั่วทั้งสำนักฝึกยุทธ์อัคคีสวรรค์จะมีสักกี่คนกันที่ทนต่อความเย้ายวนเช่นนี้ได้”
“พี่สาม ท่านบ้าไปแล้วหรือ ทำไมจะต้องให้ข้าไปแต่งกับคนน่ารังเกียจพรรค์นั้นด้วยล่ะ ต่อให้ต้องตายข้าก็ไม่มีวันแต่งกับเขาเด็ดขาด” เมื่อความภาคภูมิใจของคนหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นเซินถูปิงถูกทำลายจนย่อยยับ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเยี่ยเฉินเฟิงขวางหูขวางตาไปหมด จึงตวาดขึ้นเสียงดังลั่นด้วยความโกรธแค้นจนลนลาน
“เจ้าสบายใจได้ ข้าก็ไม่มีวันแต่งกับเจ้าเช่นกัน” เยี่ยเฉินเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา
“เจ้านี่มัน…” เซินถูปิงรู้สึกโกรธจนปอดแทบจะระเบิดออกมา นางออกแรงเขย่าแขนของเซินถูเหิงพลางกล่าวฟ้อง “พี่สาม ท่านต้องสั่งสอนเจ้าคางคกขี้เรื้อนตัวนี้ให้ข้านะ ให้มันได้รู้เสียบ้างว่าตระกูลเซินถูของพวกเราร้ายกาจเพียงใด”
“เยี่ยเฉินเฟิง ข้าผิดหวังกับทางเลือกของเจ้าโดยแท้” ม่านตาของเซินถูเหิงหดเล็กลงอย่างฉับพลัน จิตสังหารอันแรงกล้าแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาและห่อหุ้มร่างกายของเยี่ยเฉินเฟิงเอาไว้ “เจ้าจะต้องได้ชดใช้เรื่องในวันนี้แน่”
“เฉินเฟิง ต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า?”
ในขณะที่เซินถูเหิงปล่อยพลังมหาศาลออกมากดทับเยี่ยเฉินเฟิงอยู่นั้น น้ำเสียงคุ้นหูของใครบางคนก็พลันดังขึ้น ลบล้างบรรยากาศตึงเครียดให้เลือนหาย
หลินเข่อจู๋ผู้มีบุคลิกงดงามเย็นชากำลังขยับขาเรียวยาว ก้าวเดินเข้ามาอย่างนวยนาด นางอยู่ในชุดกระโปรงรัดรูปสีดำที่ช่วยขับเน้นทรวดทรงเย้ายวนให้ร้อนแรง เส้นผมสีเขียวมรกตถูกปล่อยสยายไว้กลางแผ่นหลัง
“ไม่เป็นไร ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” เยี่ยเฉินเฟิงยกยิ้มบางๆ เมินเฉยต่อพลังอำนาจกดดันของเซินถูเหิง เอ่ยตอบอีกฝ่ายไปอย่างเรียบเฉย
“หลินเข่อจู๋ นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับเยี่ยเฉินเฟิง หวังว่าเจ้าจะเห็นแก่หน้าของตระกูลเซินถูของข้า และไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งวุ่นวาย” เซินถูเหิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดำทะมึน เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่พอใจที่ถูกเยี่ยเฉินเฟิงดูถูกดูแคลน
“ถ้าหากข้าไม่อยากจะไว้หน้าตระกูลเซินถูของเจ้าล่ะ?” หลินเข่อจู๋เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ ส่งผลให้ใบหน้าของเซินถูเหิงเขียวคล้ำทันที
“เยี่ยเฉินเฟิง เจ้าคิดแต่จะหลบหลังกระโปรงผู้หญิงหรือ?”
แม้ว่าเซินถูเหิงจะเดือดดาลมาก แต่เขายังแอบหวั่นเกรงพลังที่แท้จริงของหลินเข่อจู๋อยู่ดี สายตาเดือดดาลจึงหันไปทางเยี่ยเฉินเฟิงและเอ่ยยั่วยุอีกฝ่าย
“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไรล่ะ? จะประลองกับข้าที่สนามประลองยุทธ์หรือว่าแข่งอันดับคะแนนของค่ายกลวิญญาณฟ้าดีล่ะ?” เยี่ยเฉินเฟิงแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น
“ประลองทั้งคู่เลยไหมล่ะ?”
เยี่ยเฉินเฟิงเป็นอัจฉริยะ แล้วตัวเขาไม่ใช่อัจฉริยะที่ไหนกัน อีกอย่างนี่ก็เป็นโอกาสที่เขารอคอยมานาน ดังนั้นเมื่อได้ยินคำกล่าวท้าที่อวดดีของอีกฝ่าย เซินถูเหิงก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมาทันที
“ได้ ข้าตกลงตามนั้น” เยี่ยเฉินเฟิงพยักหน้าและเอ่ยปากตอบรับ
ครั้งนี้เขาไม่ได้ท้าพนันกับเซินถูเหิงต่อหน้าคนจำนวนมาก เพราะว่าเขาต้องการให้เจตจำนงในเส้นทางการฝึกฝนของอีกฝ่ายพังทลายลงอย่างสมบูรณ์แบบ ให้เขาตกต่ำกลายเป็นเพียงขยะไร้ค่าอย่างสิ้นเชิงและเป็นการส่งคำเตือนถึงตระกูลเซินถูด้วย
“พวกเรามาพนันอันดับป้ายพลังยุทธ์อัคคีสวรรค์ก่อนเลยไหมล่ะ?” เยี่ยเฉินเฟิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ได้อยู่แล้ว!”
“หวังว่าอีกเดี๋ยวเจ้าจะยังยิ้มออกอยู่นะ” เซินถูเหิงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าดำทะมึนและก้าวเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณสวรรค์ไปอย่างไม่รีบร้อน
“เฉินเฟิง คนที่เป็นศัตรูกับเจ้าช่างน่าเศร้าโดยแท้” หลินเข่อจู๋มองใบหน้าด้านข้างที่หล่อเหลาคมคายของเยี่ยเฉินเฟิงแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะเดินตามเยี่ยเฉินเฟิงเข้าไปในค่ายกลวิญญาณฟ้าเช่นกัน
การท้ารบระหว่างเยี่ยเฉินเฟิงและเซินถูเหิงที่ด้านนอกค่ายกล กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนมากมายได้ภายในชั่วพริบตา เพียงไม่นานโถงวิหารของค่ายกลวิญญาณฟ้าก็มีผู้คนไปรวมตัวกันจนแออัด
บรรดาศิษย์ของสำนักต่างอยากจะรู้กันว่า เซินถูเหิงจะเก่งกล้าสามารถหรือเยี่ยเฉินเฟิงจะเป็นปีศาจได้มากกว่ากัน