มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 7 บทที่ 202 ครอบครัวเจ้ามีใครอีกหรือไม่?

        บุรุษสูงศักดิ์คนนี้เป็นชนชั้นสูงของอาณาจักรจริงหรือนี่?

        สีหน้าของคนรอบด้านแปรเปลี่ยนเป็นความกลัวและตกตะลึง

        กฎหมายของอาณาจักรเสวี่ยเข้มงวดนัก ชนชั้นสูงกับไพร่ฟ้าธรรมดา ไพร่ฟ้าธรรมดากับชนชั้นล่าง ชนชั้นล่างและทาส มีเส้นแบ่งแยกดั่งคลองหงโกวที่ไม่อาจมองข้าม คนธรรมดากระทบกระเทียบกับชนชั้นสูง เท่ากับตายสถานเดียว หากเกิดการปะทะกันขึ้น ชนชั้นสูงฆ่าคนธรรมดา อย่างมากก็ถูกลงโทษจำพวกปรับเงินทอง ไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต โดยเฉพาะชนชั้นสูงจากตระกูลทรงอำนาจซึ่งข้องเกี่ยวกับอาณาจักรโดยตรง ยิ่งเป็นตำแหน่งที่เลิศเลอไม่เป็นสอง

        “เป็นไงเล่า? ศิษย์น้องลิ่นมีคุณสมบัติพอจะสั่งสอนพวกทหารเถื่อนไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเยี่ยงพวกแกหรือเปล่า” จมูกอินทรียิ้มสาแก่ใจ จากนั้นจึงชี้หน้าทหารนายนั้นแล้วตวาด “เจ้าไม่ยอมแพ้ใช่ไหม? อยากเสนอหน้าดีนัก ดี เจ้าไปกับพลทหารชั้นต่ำนี่ ดูซิว่าจะปากกล้าได้สักกี่น้ำ”

        ทหารนายนั้นหน้าเปลี่ยนสีทันที

        คนจากพรรคเจ็ดดาวอินทนิลเหิมเกริมเพียงนี้ ใครจะรู้เล่าว่าหากถูกพาตัวไป จะเป็นเรื่องเลวร้ายถึงขั้นไหน

        พลทหารชั้นผู้น้อยก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่งแล้วแย้ง “มิใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าไปคนเดียวก็พอ” สีหน้าของเขาสงบนิ่งมาโดยตลอด ประหนึ่งว่าไม่มีเรื่องอะไรที่สามารถโหมกระพือไฟโกรธของเขาได้เลย

        ศิษย์น้องลิ่นกลับหัวเราะเย็นๆ ใส่ “เจ้าเป็นใคร มีสิทธิ์พูดด้วยหรือ สองคนพามันไป!

        สาวกพรรคเจ็ดดาวอินทนิลสองสามคนหัวเราะแล้วปรี่เข้ามาทีละก้าวๆ กำลังจะลงมือ

        “รังแกกันเกินจะรับแล้ว” นักรบเกราะรอบด้านโกรธเกรี้ยว พวกเขาชักอาวุธออกจากฝักดังชิ้งๆๆ แล้วรายล้อมเข้ามาปกป้องทั้งพลทหารอายุน้อยและทหารนายนั้น

        ทหารเหล่านี้แม้พลังจะไม่แกร่งนัก แต่เป็นนักรบของค่ายทัพหน้าเหมือนๆ กัน เข้านอกออกในความตายในสมรภูมิอยู่เสมอ เห็นหยาดฝนแห่งคาวเลือดมานับครั้งไม่ถ้วน เป็นเดนตายที่เคยเริงระบำกับคมดาบ แน่นอนว่ากลัวฐานะของอีกฝ่าย แต่อย่างไรก็ไม่มีทางทิ้งขว้างเพื่อนร่วมรบอย่างเด็ดขาด

        คนของพรรคเจ็ดดาวอินทนิลคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น พวกเขาลังเลเล็กน้อย

        หากทำเรื่องใหญ่แล้ว น่ากลัวว่ากองทัพโยวเยี่ยนจะตามปรามาสเอาได้

        ศิษย์น้องลิ่นเอ่ยเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ “อย่ากลัวไป ใครกล้าขัดขวาง ก็ฆ่ามันให้เรียบ เกิดเรื่องอะไรข้าจัดการเอง ฆ่าทหารเถื่อนไม่กี่คนก็เหมือนบี้มด ยังกล้าแข็งข้ออีก? แม้แต่แม่ทัพกองโจรของพวกมันหากเห็นข้ายังต้องก้มหัวให้เลย”

        เหล่าสาวกพรรคฮึกเหิมขึ้นทันตา

        โดยเฉพาะชายจมูกอินทรี เขาย่างสามขุมมาข้างหน้าแล้วหัวเราะร้าย “ข้าเองก็อยากเห็นว่าใครหน้าไหนจะกล้าขวางข้า…”

        เอ่ยไม่ทันจบ

        เพี้ยะ!

        เสียงชัดแจ๋วดังมา

        หน้าของชายจมูกอินทรีเห็นเป็นรอยฝ่ามือชัดเจนถึงที่สุด

        เขาอึ้ง ถูกแรงตบแรงจนกระเด็นไปห้าหกเมตร สีแดงและสีขาวกระเซ็นออกมากลางอากาศ ฟันร่วงหมดปาก เลือดสดๆ สาดกระจาย

        เกิดอะไรขึ้น?

        ไม่มีใครตอบโต้ได้

        ไม่มีใครเห็นว่าใครทำ

        จากนั้นเอง

        เพี้ยะๆๆๆ!

        สาวกพรรคเจ็ดดาวอินทนิลสี่ห้าคนโดนประทับรอยฝ่ามือบนใบหน้า

        ชายหนุ่มเหล่านี้เหมือนเห็นผี ปากพ่นเลือดสดออกมา หกคะเมนตีลังกาไปคนละทิศละทาง ล้มลงคลุกฝุ่น เหมือนน้ำเต้ากลิ้งหลุน ต่างคนต่างก็ตะเกียกตะกายปีนขึ้นมาไม่ได้

        แต่ก็ยังคงไม่มีใครเห็นว่าใครลงมือ

        พลทหารหนอนหนังสือมองเหล่าทหารที่ล้อมรอบ ทุกคนสบตากันโดยพร้อมเพรียง

        พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรกันขึ้น แต่ว่ากันตามจริงแล้ว การได้เห็นพลพรรคเจ็ดดาวอินทนิลแกร่งกล้าพวกนี้โดนตบเหมือนหมาตาย พวกเขาก็รู้สึกสบายอารมณ์เหมือนได้กินแตงโมเย็นเจี๊ยบยามหน้าร้อนเลยทีเดียว

        ศิษย์น้องลิ่นอ้าปากค้าง เขาทั้งโกรธและตะลึง ตะคอกเสียงกร้าว “ใคร? ใครลอบโจมตี เดินออกมาเดี๋ยวนี้…”

        ยามนี้เอง ที่น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังเปรยมา

        “ไม่เป็นวรยุทธ์ ต่อให้อัครเสนาบดีฝ่ายขวามาเอง ก็ไม่กล้าใช้ฐานะคนของพรรคมาพาลหาเรื่องทหารโยวเยี่ยนหรอก เจ้าก็แค่ฐานันดรราชนิกุลต๊อกต๋อยเท่านั้น ไม่สำนึกบุญคุณอาณาจักร กล้ายืมบารมีพยัคฆ์ข่มผู้คน…ไสหัวไป อย่ามาโผล่ให้เกะกะลูกตา!

        ไม่พูดพล่ามทำเพลง

        เพี้ยะ!

        รอยมือชัดๆ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

        ศิษย์น้องลิ่นลอยละลิ่วเหมือนว่าวขาดโครง ฟันร่วงหมดปาก หน้าบวมเป่งเหมือนลูกท้อสุกที่ร่วงจากต้นแล้วเน่าเฟะไม่มีผิด

        ในบรรดาพลพรรคเจ็ดดาวอินทนิลทั้งหมด เขาและชายจมูกอินทรีสภาพน่าอนาถที่สุด

        “คราวนี้ข้าไว้ชีวิตเจ้า สั่งสอนบทเรียนเจ้าสักบท มาถึงด่านโยวเยี่ยนทั้งทีก็จงส่ายหางทำตัวเป็นคนซะ คราวหน้าถ้าข้าเห็นพวกเจ้าทำผิดพรรค์นี้อีก ระวังให้ดีพวกหมาหลงทาง…”

        เสียงเย็นเยียบลึกลับแว่วมาเป็นคราสุดท้าย

        น้ำเสียงนั้นมีรังสีสังหารน่าสะพรึง

        ศิษย์น้องลิ่นและคนอื่นเหมือนเห็นผี พวกเขากลัวลนลานดั่งวิญญาณหลุดจากร่าง

        กระทั่งอีกฝ่ายอยู่ที่ไหนเขายังมองไม่ชัด พริบตาเดียวก็โดนซ้อมเหมือนหมูเหมือนหมา ระยะห่างระหว่างพลังเหมือนฟ้าห่างจากดิน อีกทั้งยังส่อชัดว่าไม่คิดไว้หน้าเสนาบดีฝ่ายขวาอะไรทั้งสิ้น วาจาเปิดเผยจางๆ ว่าเขาก็เป็นคนตำแหน่งสูงเช่นกัน แน่นอนว่าต้องรับมือกับพวกเขาได้อย่างใสสะอาด

        คนกลุ่มนี้ที่มาอย่างราชา ขากลับนั้นกลับหนีตาเหลือกเหมือนหมาเถื่อนขี้ขลาด

        พลทหารหนุ่มชั้นผู้น้อยเผยสีหน้าฉงน

        เขาคิดว่าเสียงนั่นแอบคุ้นหูอยู่บ้าง แต่ในเวลาเร่งด่วนเช่นนี้กลับนึกไม่ออก ว่าเขาเคยได้ยินเสียงนั้นจากที่ไหน

        ส่วนประชาชีและเหล่าทหารรอบด้านก็กู่ร้องยินดีอย่างห้ามไม่อยู่

        สถานการณ์พลิกจริงแท้ โดยเฉพาะตอนเห็นพวกสาวกพรรคเจ็ดดาวอินทนิลที่เคยวางโตทำพาลโกยอ้าวเหมือนหมา ใจก็เปี่ยมด้วยอารมณ์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สบายอารมณ์เหลือเกิน

        “ฮ่าๆ ให้พวกมันถือดีไปเถอะ”

        “ใต้เท้าคนไหนลอบลงมือกันนะ?

        “ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งของทัพโยวเยี่ยนเราเป็นแน่…บางทีอาจเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นแม่ทัพใหญ่ด้วย”

        “ฮ่าๆๆ สาแก่ใจข้าแท้”

        

        

        ไกลออกไป

        ในเงามืด

        เย่ชิงหยูผู้ยืนอยู่แถบกำแพงเตี้ยๆ ที่พังทลายลงมาเผยรอยยิ้ม

        เขาไม่ได้กลับไปจริงอยู่แล้ว

        นับแต่ตอนที่ชายจมูกอินทรีทิ้งคำร้ายกาจไว้ว่า รอก่อนเถอะเย่ชิงหยูก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ อีกฝั่งต้องกลับมาแก้แค้นเป็นแน่ ทว่าเขารอจนฟ้ามืด คู่กรณีก็ยังไม่มา เย่ชิงหยูครุ่นคิดแล้วบอกลาจะจากไป จากนั้นค่อยรอคอยอยู่ไกลๆ ในที่ลับแห่งนี้

        ผลเป็นเช่นเขาคาด พลพรรคเจ็ดดาวอินทนิลพวกนั้นมาแก้แค้นจริงๆ

        แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีชนชั้นสูงของอาณาจักรเข้าเป็นสาวกของพรรคด้วย

        ศิษย์ของพรรคเจ็ดดาวอินทนิลเหล่านี้ พลังอ่อนด้อยชัดยิ่งกว่าพวกเหว่ยเทียนหมิงของพรรคจื่อเวยเสียอีก การจะกำจัดพวกมัน สำหรับเย่ชิงหยูแล้วช่างง่ายเหมือนปอกกล้วย

        แต่การปรากฏตัวของชนชั้นสูงแซ่ลิ่นคนนั้น กลับทำให้เย่ชิงหยูล่วงรู้อีกเรื่องหนึ่ง

        ก่อนหน้านี้เขานึกมาตลอดว่าอาณาจักรคืออาณาจักร ชนชั้นสูงคือชนชั้นสูง พรรคคือพรรค ไม่เกี่ยวกันมากมายอะไรนัก แต่ตอนที่ศิษย์น้องลิ่นโผล่มา เย่ชิงหยูก็รู้ทันทีว่า ความคิดก่อนเก่าของเขานั้นเป็นเรื่องที่ผิด

        ที่แท้ตระกูลทรงอำนาจชนชั้นสูงแห่งอาณาจักร ก็อาจให้วงศาคณาญาติเข้าร่ำเรียนศิลปวิทยาของพรรคได้ด้วยเช่นกัน

        ตอนนี้คิดไปคิดมา ทุกอย่างก็สมเหตุสมผลดี

        ก่อนอื่นเลยคืออาณาจักรไม่ได้บัญญัติกฎหมายห้ามชนชั้นสูงเข้าพรรค ไม่ว่าจะสำหรับพรรคหรือสำหรับชนชั้นสูง ทั้งสองผนวกรวมกันถือเป็นเรื่องดี ความเกี่ยวพันทางผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายก็จะสามารถร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นได้ พรรคมีผู้แข็งแกร่งขั้นสูง และชนชั้นสูงมีตำแหน่งทางการปกครองและสิทธิพิเศษ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างก็จะได้เก็บเกี่ยวหลายสิ่งอย่างมากขึ้นไปอีก

        เย่ชิงหยูนึกคิด เรื่องของเบื้องบนอาณาจักรเสวี่ยคงต้องซับซ้อนกว่าที่เขาจะจินตนาการได้กระมัง

        และคราวนี้ที่อาณาจักรเลือกเกณฑ์คนของพรรค มาร่วมมือช่วยทัพโยวเยี่ยนเปิดฤดูกาลแห่งการบุกข้าศึก เหตุผลเบื้องหลังอาจซับซ้อนมากกว่าที่เขา เวินหว่านแล้วยังหลิวจงหยวนคิดไว้แต่แรกหลายเท่าตัว

        เมื่อเห็นว่าพลทหารชั้นผู้น้อยนายนั้นและคนอื่นๆ ไม่เป็นอะไรแล้ว เย่ชิงหยูจึงวางใจแล้วหันหลังเดินจากไปจริงๆ

        ก่อนหน้านี้ที่ไม่ยอมเผยตัว ก็เพราะเย่ชิงหยูเข้าใจว่าตอนนี้มีพวกที่แค้นหรือเกลียดเขาอยู่พอตัว จากนิสัยของหัวหน้าฝ่ายพลาธิการจางซานที่ต้องเอาคืนไม่ว่าหน้าไหนๆ แม้แต่คนที่ข้องเกี่ยวกับเขาก็อาจโดนลูกหลงไปด้วย ดังนั้นเขาจึงจัดการคลี่คลายปัญหาก่อนที่มันจะเกิด เย่ชิงหยูจึงไม่อาจสนิทสนมกับใครในด่านโยวเยี่ยนได้มากเกินควร หลีกเลี่ยงมิให้พวกเขาต้องพบเจอกับหายนะ

        แน่นอน ว่ายกเว้นเวินหว่านกับหลิวจงหยวน

        ตอนเดินทางกลับนั้น เย่ชิงหยูถูกสอบถามจากหน่วยลาดตระเวนหลายครั้งเหมือนกัน

        เพราะเผ่าปีศาจก่อเหตุกลางวันแสกๆ ดังนั้นการดำเนินการหวงห้ามยามค่ำคืนจึงเคร่งครัดกว่าเดิม ประชาชนทั่วไปหรือทหารธรรมดา หากไม่มีคำสั่งทหาร แต่ออกมาเดินเพ่นพ่านยามนี้ย่อมจะถูกจับตัวไปไต่สวนอย่างเข้มงวด ดีที่เย่ชิงหยูเป็นชนชั้นสูงของอาณาจักรแล้ว ไม่ต้องถูกหวงห้ามไม่ให้ออกนอกเคหสถานยามค่ำคืน หลังสอบสวนนิดหน่อย เหล่าทหารก็ปล่อยตัวเขาอย่างเคารพนบนอบ

        เส้นทางยามค่ำคืนเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเคียดแค้นและเศร้าโศก

        เย่ชิงหยูเข้าใจดีนัก ว่าหลังผ่านเรื่องราวเมื่อกลางวันมาแล้ว ไม่ว่าจะทัพโยวเยี่ยนหรือผู้คนตาดำๆ ความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อเผ่าปีศาจย่อมจะพุ่งสูงสู่ระดับใหม่ ภูเขาแห่งความเกลียดชังและเคืองแค้นระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจที่ทับถมอยู่แล้วเหมือนถูกจุดไฟใส่ ฤดูกาลแห่งการบุกของกองทัพ มีประชาชนเข้าสนับสนุนมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

        แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้ หาใช่ตรงนี้ไม่

        เย่ชิงหยูชำเลืองมองทิศทางของสำนักเจ้าด่านอันห่างไกล

        เทพสงครามลู่เฉาเกอบาดเจ็บ ตอนนี้จะเป็นเยี่ยงไรบ้างนะ?

        นี่ต่างหากคือปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะตัดสินกำลังรบและอัตราความสำเร็จของทั้งกองทัพโยวเยี่ยน

        เสียดายที่เรื่องนี้ แม้แต่เย่ชิงหยูผู้มีฐานันดรขั้นนี้ยังไม่อาจได้ล่วงรู้

        ระหว่างเดินทาง ใจเขาไม่วายหวนกลับไปนึกถึงซ่งเสี่ยวจวิน

        นามนี้กระเด้งออกมาในความคิดของเขา มุมปากเย่ชิงหยูยกขึ้นเป็นรอยยิ้มสบายๆ อย่างไม่รู้ตน จิตใจเขาสดใสขึ้นมากนัก

        ในที่สุดก็ได้เจอแม่ตัวน้อยอีกครั้งแล้ว แล้วก็รู้ความเป็นไปของนางในช่วงหลังอีกด้วย แม้ว่าจะไม่ทันได้ทักทาย แต่มีเบาะแสแล้ว ทุกอย่างก็ย่อมจะดีขึ้นเอง

        และสิ่งที่ต้องพึงทำอย่างเร่งด่วนในตอนนี้ คือรีบยกระดับพลังของตัวเองต่างหาก

        เด็กน้อยร่วมมือกับเผ่าปีศาจ เห็นได้ชัดว่าอยากได้สิ่งที่ขัดกับผลประโยชน์ของผู้ที่อยู่เหนือกว่าซึ่งไม่มีทางสำเร็จ นครอันธการปรากฏกาย ย่อมหมายความว่านางอาจเผชิญหน้าความเป็นความตายและอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นเย่ชิงหยูจึงต้องมั่นใจ ว่าคราวนี้ที่เขาเผยตัวต่อหน้านาง จะมีพลังมากพอปกป้องนางได้

        หลังคิดอะไรต่อมิอะไรหลากหลาย เย่ชิงหยูก็กลับมาถึงหอคอยอาชาขาวอย่างรวดเร็ว

        ไป๋หย่วนสิงกลับมาก่อนแล้ว เขายังไม่หลับ ตอนนี้กำลังฝึกกระบี่อย่างขันแข็ง เหงื่อไหลโซมกาย เมื่อได้ยินว่าเย่ชิงหยูกลับมาจึงรีบออกมารับ เย่ชิงหยูผุดยิ้มยามมองเขา ชี้ปัญหาในการฝึกให้จุดสองจุด ให้เขากลับไปฝึกเอาเอง

        ไม่นาน อูหม่าก็ยกอาหารมื้อค่ำมาบริการ

        เย่ชิงหยูท้องร้องจ๊อกๆ เขายุ่งตัวเป็นเกลียวมาทั้งวัน ไม่แปลกที่จะหิวจัด

        “ลำบากอูหม่าแล้ว” เย่ชิงหยูมองกับข้าวจานน้อยแสนวิจิตรตรงหน้า เขาคว้ามันขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

        อูหม่าตกใจไม่น้อย นางรีบแย้ง “เป็นเรื่องที่ข้าทาสควรทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

        เย่ชิงหยูเพียงยิ้มๆ เท่านั้น เขาถาม “อาการบาดเจ็บของสามีเจ้า…”

        “ดีแล้วเจ้าค่ะดีแล้ว โชคดีที่ได้นายท่านเมตตากรุณา เชิญท่านหมอมารักษาอาการให้ ใช้ยาขนานดีที่สุด ชีวิตสามีข้าต่ำต้อย ไม่ได้สูงส่งโสภาถึงเพียงนั้น เขาดีขึ้นเร็วมาก กลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมแล้วเจ้าค่ะ…” เอ่ยถึงตรงนี้ อูหม่าก็ซาบซึ้งใจจนปาดน้ำตา

        นางกลับไม่รู้เลยว่า ที่เย่ชิงหยูรับรองพวกนางดีถึงขั้นนี้ เป็นเพราะมีสาเหตุ

        ตอนอูหม่ากำลังสิ้นหวังอย่างที่สุด นางพร้อมรับผิดชอบทุกอย่างตัวคนเดียว ความซื่อสัตย์ภักดีนี้ทำให้เย่ชิงหยูเห็นควรว่าต่อจากนี้ต่อไป จะมองนางเป็นคนของเขาแล้ว

        “ครอบครัวเจ้ามีใครอีกหรือไม่?” เย่ชิงหยูถามไปตามสะดวก

        อูหม่ารีบตอบ “นอกจากสามีข้าแล้ว ยังมีแม่อายุเจ็ดสิบกว่าๆ อยู่คนหนึ่ง ลูกชายหนึ่งลูกหญิงหนึ่ง วัยกำลังโตทั้งนั้นเจ้าค่ะ ทำงานตามร้านค้าในเมือง…ตั้งแต่ข้าทาสมารับใช้ในหอคอยอาชาขาวนี้ ครอบครัวทาสก็ดีขึ้นมาก ฮิๆ คนอื่นพอรู้ว่าข้าทาสทำงานอยู่ในหอคอยอาชาขาว ต่างก็อิจฉากันทั้งนั้นเจ้าค่ะ คิดว่าศัตรูที่คอยทำความลำบากให้ครอบครัวข้าทาสมาโดยตลอดน่าจะสงบเสงี่ยมลงแล้ว”

        ตอนเอ่ยเรื่องพวกนี้ อูหม่าก็ยิ้มหน้าบาน

        นางคิดว่าชีวิตนาง ช่างดีเหลือเกิน 

Author เทพมารุต