ในฐานะที่เป็นรองแม่ทัพแห่งเมืองหยู เขาย่อมรู้จักภูเขาจ้งเป็นอย่างดี ที่นั่นมีเสือขาวล้ำค่าอยู่ตัวหนึ่ง แต่มันดุร้ายยิ่งนัก ดังนั้นตลอดมาจึงไม่มีผู้ใดล่ามันได้
“นายท่าน หากไม่เชื่อท่านสามารถลงมาตรวจสอบด้วยตัวเองได้เลยขอรับ หากชาวบ้านผู้ต่ำต้อยอย่างข้ากล้าหลอกลวงท่าน นายท่านก็ตัดหัวข้าน้อยได้เลยขอรับ”
รองแม่ทัพทั้งสองสบตากัน กำลังคิดว่าจะจัดการอย่างไรดี หากเป็นหนังเสือขาวจริงๆ เช่นนั้นวันนี้พวกเขาก็โชคดีแล้ว!
เฉิงหู่รีบถือหนังเสืออันเปล่งประกายเดินไปข้างหน้า “นายท่าน ท่านดูสิ นี่เป็นเสือขาวแห่งเขาจ้งจริงๆ ข้าน้อยกินดีของมันไปแล้ว ไม่กล้าหลอกนายท่านหรอกขอรับ”
สายตาของรองแม่ทัพทั้งสองมีประกายความโลภวาบผ่าน สัมผัสหนังเสือเรียบลื่นอย่างชอบใจ สีขนเช่นนี้ เนื้อสัมผัสเช่นนี้ เป็นเสือขาวแห่งเขาจ้งจริงๆ เพียงแต่…
เฉิงหู่เห็นความสงสัยบนใบหน้าของทั้งสอง “นายท่านกำลังคิดว่าเหตุใดหนังเสือผืนนี้จึงได้เล็กเช่นนี้ใช่หรือไม่ขอรับ ข้าน้อยไม่กล้าหลอกลวงท่าน นี่เป็นเพียงหนังของลูกเสือขาวเท่านั้น! หากไม่ใช่เพราะมันเป็นลูกเสือ ด้วยฝีมือของข้าน้อยจะจับมันได้อย่างไรขอรับ?”
รองแม่ทัพทั้งสองไตร่ตรอง คิดว่ามีเหตุผล ด้วยเหตุนี้รอยยิ้มบนใบหน้าจึงยิ่งลึกล้ำมากขึ้น กระทั่งส่งเสียงว่าดีออกมา
แต่เมื่อเฉิงหู่เตรียมจะตามพวกเขาเข้าเมืองไป กลับถูกหนึ่งในนั้นผลักออกมาอย่างแรง
“ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเข้าเมือง?”
เฉิงหู่ตกตะลึง ใบหน้ายังคงเจือไปด้วยรอยยิ้มประจบประแจง “นายท่าน ท่านรับหนังเสือของข้าน้อยไปแล้ว? ไม่ได้หมายถึงให้ข้าน้อยเข้าไปหรือขอรับ?”
รองแม่ทัพหัวเราะเสียงเย็น “รองแม่ทัพอย่างข้าบอกว่าจะให้เจ้าเข้าเมืองตั้งแต่เมื่อไร?”
“นายท่าน เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้ รับหนังเสือของข้าน้อยไปแล้ว เหตุใดไม่ให้ข้าน้อยเข้าเมือง?”
“ไร้สาระ หนังเสือนี้เป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อไร? เห็นได้ชัดว่าเจ้าขโมยไปจากมือของรองแม่ทัพอย่างข้า!” รองแม่ทัพปรายตามองเฉิงหู่ รับของไปแล้วทว่ากลับไม่ยอมรับ
“ท่าน…พวกท่าน…”
รองแม่ทัพอีกคนก็ผลักเขาจนล้มลงไปที่พื้น “ไปๆๆ …รีบไปหัวไปเสีย! มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
เฉิงหู่โกรธมาก สองคนนี้ช่างไร้ยางอาย! อย่างไรก็ตามเขาคิดถึงคำกำชับของอวิ๋นซู จึงทำเพียงลุกขึ้นยืนเงียบๆ หันไปมองด้วยความไม่พอใจแวบหนึ่ง
…
ภายในวัด อวิ๋นซูได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ เป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดเดาอยู่แล้ว ที่นางต้องการก็คือผลลัพธ์เช่นนี้
อีกด้านหนึ่ง รองแม่ทัพที่ได้รับของล้ำค่ามากำลังโอ้อวดอย่างโจ่งแจ้งบนกำแพงเมือง หนังเสือสีขาวราวหิมะราวกับมีเวทมนตร์ ทำให้คนที่พบเห็นอดไม่ได้ที่จะเข้าไปลูบสักหลายครั้ง นี่คือเสือขาวแห่งเขาจ้ง ต่อให้เป็นเพียงลูกเสือก็เป็นของล้ำค่าอย่างมาก ไม่มีผู้ใดที่ไม่คิดจะแย่งชิงกันเข้ามาดูความสง่างามของมัน
ความสงบยามค่ำคืนถูกทำลายด้วยเสียงโอดครวญ ทหารที่รักษาประตูเหล่านั้นไม่ทราบว่าเหตุใดจู่ๆ จึงได้เจ็บปวดตามร่างกายขึ้นมา ทั้งร่างถูกความเจ็บปวดทิ่มแทงจนทนไม่ไหว ราวกับมีมดนับหมื่นเจาะเข้าไปยังหัวใจ…มีทหารบางคนกระทั่งลงไปชักที่พื้น บนผิวหนังเต็มไปด้วยตุ่มพุพองสีแดง เจ็บปวดจนยากจะทานทน
ที่เลวร้ายที่สุดคือรองแม่ทัพทั้งสอง พวกเขาเกาตามผิวหนังของตนเองอย่างบ้าคลั่ง ต่อให้เกาจนตุ่มพุพองแตกจนมีเลือดซึมออกมาตามผิวหนังก็ไม่อาจระงับความเจ็บปวดในยามนี้ได้ ใบหน้าอัปลักษณ์ทำให้ผู้คนหวาดกลัวยิ่ง!
ทหารชั้นผู้น้อยหลายคนไปตามหมอในเมืองมาในยามค่ำคืน แต่เมื่อหมอท่านนั้นได้ฟังก็ไม่ยอมเหยียบย่างเข้าประตูไป กลับคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ร้องไห้ออกมาพลางโขกศีรษะ “นายท่านไว้ชีวิตด้วย! นายท่านไว้ชีวิตด้วย! ที่บ้านข้าน้อยมีคนชราและเด็ก ข้าน้อยตายไม่ได้!”
“เพ้อเจ้ออันใด! พวกเราไม่ได้บอกว่าจะฆ่าเจ้า!” รองแม่ทัพโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“นายท่านขอรับ โรคนี้คือโรคห่า เป็นโรคที่รักษาไม่หาย ขอนายท่านโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยเถิด!”
“เจ้าว่าอะไรนะ? นี่คือโรคห่าหรือ?” คนผู้หนึ่งในห้องอดไม่ได้ที่จะกล่าวเสียงสูงขึ้นมา ตอนนี้บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลจากการเกาทั้งเล็กทั้งใหญ่
“พูดจาไร้สาระ! เหตุใดจึงเป็นโรคห่าไปได้?” พวกเขาไม่ได้ปล่อยให้ผู้ลี้ภัยเข้ามาแม้แต่คนเดียวแท้ๆ
“นายท่านขอรับ นี่เป็นโรคห่าจริงๆ หากไม่เชื่อท่านลองขึ้นไปบนกำแพงเมือง ดูผู้ลี้ภัยที่ติดโรคเหล่านั้นว่ามีอาการเช่นนี้หรือไม่?” หมอผู้นี้ถูกทำลายความกล้าไปหมดแล้ว ด้วยวิชาแพทย์ของเขาไม่สามารถรักษาโรคห่าได้
เพิ่งจะกล่าวจบ คนข้างในก็พุ่งทะยานออกไป จากนั้นยกดาบในมือขึ้นฟัน หมอผู้นั้นยังไม่ทันได้ตอบสนอง รู้สึกเพียงเจ็บแปลบที่คอแล้วก็ไม่มีความรู้สึกอีกเลย
ทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว รองแม่ทัพติดโรคห่าแล้ว เช่นนั้นคนอื่นๆ …
นายทหารคนสนิทหยัดกายมองไปยังทหารผู้นั้นอย่างดุดัน “จำไว้ เรื่องนี้ห้ามพูดกับใครเด็ดขาด โดยเฉพาะคนใหญ่คนโต! เข้าใจหรือไม่?”
“แต่ว่า…แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ หากเจ้าไม่อยากเป็นเหมือนผู้ลี้ภัยด้านนอกนั่น ก็หุบปากเชื่อฟังเสีย!” ทหารคนสนิทยกดาบเปื้อนเลือดขึ้นกดลงไปบนคอของทหารผู้นั้น
“ขอรับ ขอรับ! ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ!”
วันต่อมา อวิ๋นซูคำนวณเวลาอย่างดีแล้วจึงเปลี่ยนไปสวมชุดหมอ เดินทางมายังกำแพงเมือง
นางเคาะประตูแรงๆ นายทหารผู้หนึ่งที่อาการป่วยไม่รุนแรงพยายามประคองร่างยื่นศีรษะออกมา “ผู้ใดมา? ข้าบอกแล้วว่าหลายวันนี้ปิดเมือง ผู้ใดก็เข้าไปไม่ได้!”
อวิ๋นซูเงยหน้าขึ้น ใบหน้าซีดขาวอ่อนแอปรากฏสู่สายตา มุมปากอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มเย็นชา เพียงแค่คืนเดียวก็สามารถเล่นงานทหารโอหังบ้าอำนาจเหล่านี้ได้
“ข้าเป็นหลานของท่านหมอในเมือง รีบเดินทางจากเมืองหลวงมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือท่านลุงขอรับ”
“หลานชายของท่านหมอ?” คำพูดอ่อนแรงที่ออกจากปากของนายทหารเจือไปด้วยความสงสัยอยู่หลายส่วน มองไปยังบุรุษอายุน้อยที่แต่งกายเหมือนหมอด้านล่างกำแพงเมือง คิดไปถึงการตายของหมอไร้ฝีมือเมื่อคืน “เจ้าก็เป็นหมอหรือ?”
“ใช่ขอรับ”
“ฮึ…ข้าว่าเจ้ากลับไปเสียจะดีกว่า! ท่านลุงของเจ้ารักษาโรคไม่ได้ เด็กอย่างเจ้าจะรักษาได้หรือ?” กล่าวจบ ทหารผู้นี้ก็ยากจะทานทนความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างกายของตน
อวิ๋นซูยิ้มอย่างเรียบเฉย “นายท่านผู้นี้ ตอนนี้ท่านรู้สึกคันไปทั้งร่างจนทนไม่ไหวใช่หรือไม่? ทั้งยังมีตุ่มพุพองสีแดงขึ้นเต็มไปหมด?”
นายทหารตกตะลึง…เจ้าหนุ่มนี่รู้ได้อย่างไร? ไม่ ไม่ถูก! ระหว่างทางมีผู้ลี้ภัยมากมาย เขารู้เรื่องอาการเหล่านี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา
“เจ้าคนถ่อย! ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย รีบไสหัวไปเสีย! มิเช่นนั้นอย่าโทษที่ข้าต้องลงมือ!” ไม่ต่างกับการตกนรกทั้งเป็นเลยจริงๆ เขาเจ็บปวดขนาดนี้แล้ว รองแม่ทัพก็ยังให้เขามาเฝ้ากำแพงเมืองอีก หรือกลัวว่าผู้ลี้ภัยเหล่านั้นจะก่อกบฏ?
อวิ๋นซูคาดเดาได้ว่าเขาคงไม่เชื่อง่ายๆ เช่นนั้น นางยิ้มบางๆ แล้วหันกายไป กล่าวออกไปอย่างควบคุมน้ำเสียงให้อยู่ในขอบเขตที่เขาสามารถได้ยิน “น่าเสียดาย น่าเสียดาย ก่อนหน้านี้ข้ายังส่งหนังสือให้ท่านลุง บอกว่าหายารักษาโรคระบาดพบแล้ว แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอลาก่อน”
เพิ่งกล่าวจบ ผู้ลี้ภัยที่เดิมทีล้อมอยู่นอกกำแพงเมืองพลันกรูกันเข้ามา “ท่านหมอ…ท่านหมอ…ท่านช่วยพวกเราด้วย! พวกเราไม่อยากตาย ท่านหมอ…ท่านหมอ…ท่านช่วยพวกเราด้วยเถิด…”
อวิ๋นซูขมวดคิ้ว หลังจากพิจารณาสถานการณ์แล้วก็ถอนใจออกมา “ทุกท่าน ยาที่ผู้น้อยนำมามีจำกัด ช่วยทุกคนไม่ได้ แต่ว่าในเมื่อพวกเขาไม่ให้ข้าเข้าเมือง เช่นนั้นข้าก็จะมอบยาให้พวกท่านทั้งหมด!”
“ขอบคุณท่านหมอ ขอบคุณท่านหมอ!” เหล่าผู้ลี้ภัยรีบคุกเข่าลงที่พื้นแล้วโขกศีรษะให้อวิ๋นซูอย่างแรง
นางหยิบยาลูกกลอนที่จัดไว้ดีแล้วออกมาจากห่อผ้าที่นำติดตัวมาด้วย แล้วจึงเริ่มแจกจ่ายยาต่อหน้าต่อตาของนายทหารบนประตูเมือง
นายทหารผู้นั้นเห็นอวิ๋นซูมียาจริงๆ ในใจพลันร้อนรนจนทนไม่ไหว รีบหันกายวิ่งเข้าไปรายงาน อย่างไรเสียเรื่องนี้เขาก็ไม่อาจตัดสินใจได้ รองแม่ทัพทั้งสองได้ฟังก็มองไปยังคนข้างกายอย่างกระวนกระวายใจ “ยังมัวตะลึงอะไรอยู่อีก? ยังไม่รีบไปเชิญท่านหมอผู้นั้นเข้ามาอีก!” ในที่สุดพวกเขามีทางรอดแล้ว!
ตอนที่ยาในมือของอวิ๋นซูแจกจ่ายไปจนเกือบหมดแล้วนั้น ประตูเมืองพลันเปิดออก นายทหารสิบคนวิ่งมาทางนางอย่างรวดเร็ว ทั้งยังล้อมนางไว้แล้วตะโกนไล่เหล่าผู้ลี้ภัยออกไป
“ท่านหมอ รีบตามพวกเราเข้าเมืองเถิดขอรับ!” ท่าทางเช่นนี้เปลี่ยนไปราวหน้ามือกับหลังมือ
“ไม่!” อวิ๋นซูส่ายหน้า “ครอบครัวของผู้น้อยยังรออยู่บริเวณไม่ไกล หากพวกเขาไม่สามารถเข้าเมืองได้ ผู้น้อยยอมตายกับพวกเขาที่นอกกำแพงเมืองดีกว่า!”
“ท่านหมอ…นี่ท่าน…” รองแม่ทัพสั่งเพียงให้เชิญเขาเข้าเมืองไปคนเดียว นี่ควรจะทำอย่างไรดี?
ตอนนี้เอง บนประตูเมืองมีเสียงตะโกนอย่างโกรธเคืองดังแว่วมา ไม่ทราบว่ารองแม่ทัพทั้งสองประคองร่างของกันและกันมายืนอยู่ข้างบนตั้งแต่เมื่อไร “เจ้าคนไร้ประโยชน์! ยังไม่รีบเชิญท่านหมอและครอบครัวเข้ามาในเมืองอีก?”
ทหารได้ยินดังนั้นก็รีบพาอวิ๋นซูและพวกจี้จิ่นอีกสี่คนซึ่งกำลังรออยู่ข้างๆ ตามที่นางชี้เข้าเมืองไปด้วยกัน
ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่า มุมปากของท่านหมออายุน้อยคนนี้ปรากฏรอยยิ้มขึ้น ทุกอย่างเป็นไปตามที่นางคาดเดา
หลังจากถูกพาเข้าไปในเมืองหยูแล้ว ด้วยคำขอของนาง จี้จิ่นและคนอื่นๆ จึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดาที่สะอาดสะอ้าน ตอนนี้พวกเขามีฐานะเป็นครอบครัวของอวิ๋นซู เนื่องด้วยร่างกายของรองแม่ทัพทั้งสองไม่ปกติ จึงไม่มีใครสังเกตว่าคนเหล่านี้ก็คือพวกสามัญชนที่ต่อสู้กับตนเองที่หน้าประตูเมืองเมื่อหลายวันก่อน
“ท่านหมอ โรคของข้ารักษาได้หรือไม่?” ในห้อง รองแม่ทัพทั้งสองมองไปที่นางด้วยใบหน้าคาดหวัง
อวิ๋นซูทำเพียงหัวเราะเบาๆ สะบัดชายเสื้อนั่งลงทำทีเป็นตรวจโรคให้พวกเขาอย่างจริงจัง ตอนนี้เอง เหล่าผู้ลี้ภัยนอกกำแพงได้ก่อจลาจลขึ้นมาอีกครั้ง
เนื่องจากพวกเขามีจำนวนคนมหาศาล จึงทำกระทั่งเหยียบคนเพื่อปีนป่ายขึ้นไปบนกำแพงเมือง
ทุกคนโมโหอย่างถึงที่สุด “เหตุใดพวกเขาถึงเข้าไปได้? เหตุใดไม่ให้พวกเราเข้าไป? ให้พวกเราเข้าไปเถิด!”
บริเวณประตูเมืองมีเสียงดังสนั่นออกมา เหล่าทหารยกธนูขึ้นตะโกนออกไปเสียงเข้ม “ไป! ไปให้หมด! ผู้ใดกล้าตะโกนจะยิงให้ตาย!” แต่เมื่อมองเงาร่างที่อัดแน่นกันอยู่นั้น บนหน้าผากของเหล่าทหารพลันมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา ต่อให้ฆ่าหนึ่งคนเพื่อเตือนอีกร้อยคน แต่หากเหล่าผู้ลี้ภัยที่ดวงตาแดงก่ำเหล่านี้พุ่งขึ้นมาทั้งหมด พวกเขาก็ต้านไม่ไหว!
“อาศัยอะไรเล่า? ให้พวกเราเข้าไป ปล่อยพวกเราเข้าไป!” ไม่ว่าทางใดก็คือความตาย เหล่าผู้ลี้ภัยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อทราบว่าหมออายุน้อยเมื่อครู่สามารถรักษาโรคห่าได้ ความคิดของทุกคนล้วนเปลี่ยนไป พวกเขาไม่อาจรอความตายอยู่ที่นี่ได้ ขอเพียงบุกเข้าไปในเมืองไปตามหาท่านหมอผู้นั้นให้พบ พวกเขาก็มีทางรอดแล้ว!
เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังมาถึงจี้จิ่นที่ถูกจัดให้อยู่ในห้องข้าง ดวงตาน่าหลงใหลคู่นั้นมองไปนอกหน้าต่าง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่านางจะพาพวกเขาเข้าเมืองมาด้วยวิธีนี้
คุณหนูหกแห่งจวนโหวผู้นี้ ทำให้เขาต้องเปลี่ยนมุมมองต่อนางแล้ว