โดนของ?
อวิ๋นซูนับว่าเข้าใจหลิ่วอวิ๋นเหยาคนนี้ หลังจากที่สั่งสอนนางไปหลายครั้งก็เชื่อฟังขึ้นไม่น้อย หากว่าไม่รู้สึกแปลกประหลาดจริงๆ นางจะไม่กล้ามาพูดจามั่วๆ ภายในเรือนของตนอย่างเด็ดขาด
ครั้งนี้หลิ่วอวิ๋นฮว๋าไปขอร้องฮูหยินผู้เฒ่าว่าต้องการพาหลิ่วอวิ๋นชิงไปขอพรที่วัดเทียนฝู เดิมทีนางก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง วันนี้ได้ฟังหลิ่วอวิ๋นเหยาพูดเช่นนี้ อวิ๋นซูจึงตัดสินใจได้
ภายในเรือนของอนุสี่
“อวิ๋นชิง ไม่ได้พบกันหลายวัน เหตุใดจึงผอมลงมากเช่นนี้? เร็ว รีบนั่งลงดื่มชาหน่อยเถิด หงเอ๋อร์ รีบไปที่โรงครัว หยิบขนมที่คุณหนูชอบกินมาให้มากหน่อย เร็วๆ เข้าเถิด!” อนุสี่ไม่พบหลิ่วอวิ๋นชิงมาหลายวัน รู้สึกคิดถึงยิ่งนัก เมื่อเห็นสีหน้าขาวซีดของสตรีอายุน้อยตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจ
อนุสี่ยื่นมือออกไปกุมหลังมือของนาง พลันรู้สึกแปลกประหลาดในใจ เหตุใดจึงได้เย็นเช่นนี้? “หนาวแย่แล้วกระมัง เร็วเถิด รีบไปเปลี่ยนไปสวมอาภรณ์อุ่นๆ เสียหน่อย”
อย่างไรก็ตาม สตรีที่นั่งอยู่นั้นกลับปล่อยให้นางจับพลิกไปมา ไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่ครึ่งประโยค สายตาเลื่อนลอยมองไปยังสถานที่ห่างไกล มีเพียงยามที่อนุสี่เรียกชื่อของนาง ดวงตานั้นจึงจะสั่นไหวเล็กน้อย
เมื่อเห็นการตอบสนองอันเย็นชาเช่นนี้ของบุตรีของตนเอง อนุสี่จึงรู้สึกระทมทุกข์อยู่ในใจ คิดว่านางยังไม่ปล่อยวางความรู้สึกไม่พอใจที่มีต่อตนเอง ความจริงแล้วเป็นเพราะเรื่องของคุณชายแปดและคุณชายเก้าจึงทำให้ระยะนี้ตนเองไม่ได้สนใจนางมากนัก แต่ตนก็ไม่มีหนทาง คุณชายทั้งสองอายุยังน้อย ฮูหยินผู้เฒ่าจึงดูแลอย่างระมัดระวังและเข้มงวดจริงจัง สิ่งที่นางเป็นกังวลที่สุดก็คือ คุณชายทั้งสองจะทำเรื่องผิดพลาดและถูกลงโทษ
“อวิ๋นชิง วันหน้าอย่าได้ไปหาเรื่องหย่งจี๋เสี้ยนจู่อีกเลย ครั้งนี้ฮูหยินผู้เฒ่าขังเจ้าอยู่ในห้องสำนึกตนก็เพราะว่าเจ้าทำเกินไป ดูเถิด หากว่าเรื่องที่เจ้าสวมรอยเป็นสาวใช้ของหย่งจี๋เสี้ยนจู่แพร่ออกไป ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาของจวนชางหรงโหวเลย วันหน้ายังจะมีตระกูลใดต้องการเจ้าอีก? เรียนรู้จากความผิดพลาดเสีย ขอเพียงพวกเราอยู่อย่างสงบ ก็จะมีวันเวลาที่สงบสุข…”
ระยะนี้อนุสี่เองก็พิจารณาตัวเองเช่นกัน จะอย่างไรก็เป็นบุตรีของตนเอง จะผิดพลาดเป็นพันเป็นหมื่นครั้งก็ผิดที่ตนเองไม่ได้สั่งสอนนางให้ดีๆ บางทีอาจเป็นเพราะในยามปกติตนเองใส่ใจหลิ่วอวิ๋นชิงน้อยเกินไป นางจึงมีนิสัยขบถเช่นนี้ ขอเพียงพูดคุยกับนางดีๆ ด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน ไม่แน่ว่านางอาจจะคิดตกก็เป็นได้
“อี๋เหนียงเจ้าคะ หงเอ๋อร์นำขนมฟูหรงที่คุณหนูชอบที่สุดมาแล้วเจ้าค่ะ”
ขนมที่ทำมาอย่างประณีตสองชิ้นวางเรียงอยู่บนโต๊ะ หลิ่วอวิ๋นชิงพลันยืนขึ้นเดินตรงเข้าไปแล้วกัดกินคำใหญ่ในทันที
วันนี้เช้าตั้งแต่ลงมาจากวัดเทียนฝู หลิ่วอวิ๋นฮว๋าไม่ได้ให้นางกินอะไรเลย
“หิวแล้วหรือ? กินช้าๆ ลงหน่อย…” ในใจของอนุสี่ขมฝาด อาหารที่กินในวัดเทียนฝูล้วนเป็นชาชั้นเลวและอาหารจืดชืด คิดว่าเด็กคนนี้คงจะรับไม่ไหวเป็นแน่
เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว ขนมสองชิ้นก็ไม่เหลือแม้แต่เงา ในใจของอนุสี่รู้สึกประหลาดใจ จึงรีบพูดขึ้นอีกครั้ง“หงเอ๋อร์ ไปหยิบขนมมาอีก…” ช่างเถิด นางไปหยิบมาเองดีกว่า จะได้ถือโอกาสไปหยิบน้ำแกงบำรุงร่างกายมาด้วย…
“อวิ๋นชิง เจ้ากินให้ช้าหน่อยเถิด อี๋เหนียงจะไปนำมาให้เจ้าอีก!”
อนุสี่จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินตรงออกไป ในตอนที่เดินผ่านหน้าต่างก็มองเข้าไปข้างในครั้งหนึ่ง หลิ่วอวิ๋นชิงยังคงก้มหน้าก้มตาเคี้ยวขนมอยู่ในปาก ท่าทางเช่นนั้นทำให้อนุสี่อดรู้สึกเจ็บปวดใจไม่ได้
นอกเรือน นางได้พบกับขบวนของอวิ๋นซู
“หย่งจี๋เสี้ยนจู่…”
“อนุสี่จะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?”
อนุสี่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ทุกวันนี้ทุกเรื่องในเรือนหลังล้วนเป็นอวิ๋นซูจัดการ ดูท่าทางแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจะมีใจฝึกฝนอวิ๋นซูให้กลายเป็นเจ้านายในบ้าน อนาคตของหย่งจี๋เสี้ยนจู่ในวันหน้าคงยาวไกลไร้ขอบเขต
“ดูเหมือนว่าคุณหนูห้าจะหิวมากเจ้าค่ะ ข้าจะไปหยิบขนมที่โรงครัวมาให้นางเสียหน่อย”
สายตาของอนุสี่ตกอยู่กับหลิ่วอวิ๋นเหยาที่ไม่ได้ออกจากเรือนมานาน อวิ๋นซูแย้มยิ้มบางๆ “น้องเจ็ดกล่าวว่าเห็นสีหน้าของพี่ห้าไม่ค่อยดี ข้าจึงมาดูเสียหน่อยว่ามีอะไรที่พอช่วยนางได้หรือไม่”
“ขอบคุณหย่งจี๋เสี้ยนจู่มากเจ้าค่ะ คุณหนูห้าเพียงแค่หิวเท่านั้น…ไม่เช่นนั้น รีบเข้าไปนั่งในห้อง…”
“อนุสี่ไม่จำเป็นต้องกระวนกระวายเจ้าค่ะ ไปโรงครัวสำคัญกว่า อวิ๋นซูไปดูเสียหน่อยแล้วก็ไปเจ้าค่ะ”
ภายในห้องเงียบสงบจนน่าแปลกประหลาด เมื่อพวกอวิ๋นซูเดินเข้ามา หลิ่วอวิ๋นชิงกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง
หลิ่วอวิ๋นเหยารู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง นางเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของอวิ๋นซู พี่หกคงไม่คิดว่าเป็นเพราะพี่ห้าเหนื่อยเกินไปหรอกนะ นางจะคิดว่าตนเองพูดจามั่วซั่วหรือไม่?
“พี่หกเจ้าคะ นาง…”
อวิ๋นซูก้มหน้าลง ทำเพียงแย้มยิ้มเล็กน้อย “ในเมื่อพี่ห้ากำลังนอนหลับอยู่ พวกเราก็ค่อยมาดูนางวันหลังเกิด”
“…” คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว หลิ่วอวิ๋นเหยาพยักหน้าอย่างจนใจอยู่บ้าง ในตอนที่กำลังจะเดินจากไปก็หันมองแผ่นหลังที่ซูบผอมของหลิ่วอวิ๋นชิงเป็นพิเศษ
เมื่อกลับมาถึงเรือนไผ่ แววตาของชุนเซียงเจือความสงสัย ในมือถือจดหมายฉบับหนึ่งและมีดบินเล่มหนึ่งที่ประณีตงดงามยิ่ง
“คุณหนูเจ้าคะ นี่เป็นของที่บ่าวพบบนเสาในสวนดอกไม้เมื่อสักครู่นี้เจ้าค่ะ”
เดิมทีคิดว่ารัชทายาทสั่งให้คนนำมาส่ง เพียงแต่ว่ามีดบินดูไม่เหมือนกับวิธีการของคนส่งจดหมายก่อนหน้านี้
อวิ๋นซูรับจดหมายไปเปิดอ่าน ชุนเซียงสังเกตเห็นถึงความยินดีที่วาบผ่านดวงตาสงบนิ่งทั้งสองอย่างชัดเจน “ชุนเซียง ข้าจะออกไปข้างนอก”
“คุณหนูเจ้าคะ แต่ว่า…”
คำพูดของนานยังไม่ทันจะกล่าวจบ อวิ๋นซูก็หมุนกายเดินเข้าไปในเรือนแล้ว
…
ยามเย็น
บนหอสูงงดงามที่หันหน้าเข้าสู่แม่น้ำ ภายในห้องแห่งหนึ่ง บุรุษผู้มีใบหน้างดงามเป็นเอกพิงอยู่บริเวณหน้าต่าง มองเรือหลายลำบนแม่น้ำที่เปล่งประกาย นิ้วมือเรียวยาวของเขาวางอยู่บนขอบหน้าต่าง เมื่อมีลมเย็นปะทะเข้ามาบนใบหน้า ดูราวกับภาพวาดในห้วงฝัน
“คุณชายเชิญด้านในขอรับ”
ด้านนอกมีเสียงของเสี่ยวเอ้อดังขึ้น เฟิ่งหลิงดวงตาเปล่งประกาย รีบยืนขึ้นมองไปยังผู้มาเยือนด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย ประตูค่อยๆ เปิดออก สายตาทั้งสองแลกเปลี่ยนกัน พริบตานั้น ราวกับว่าระหว่างคนทั้งสองถูกบรรยากาศแปลกประหลาดปกคลุม
“คุณชาย ยกอาหารขึ้นโต๊ะเลยหรือไม่ขอรับ?”
เฟิ่งหลิงพยักหน้าเบาๆ เสี่ยวเอ้อจึงถอยออกไปอย่างกระตือรือร้น
อวิ๋นซูมองบุรุษตรงหน้าที่ยังคงงดงามหล่อเหลาเช่นเคย บนใบหน้าของเขาไม่พบร่องรอยแผลเป็นใดๆ ในดวงตาเจือไปด้วยประกายอันอ่อนโยน มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มบางที่ทำให้คนมองอดไม่ได้ที่จะใจสั่น เรื่องราวที่น่าหวาดกลัวในวันวานปรากฏขึ้นมาในสมอง การพบหน้ากันในครั้งนี้ให้ความรู้สึกราวกับว่าห่างกันไปนานเหลือเกิน
เฟิ่งหลิงอ้าปาก ทันใดนั้นใบหน้าพลันแดงเรื่อ เกือบจะหลุดปากเรียกนางว่าซูเอ๋อร์
“คุณหนูหก ไม่ได้พบกันนาน สุขสบายดีหรือไม่?”
น้ำเสียงอันคุ้นเคย ความอ่อนโยนที่แฝงความนัย
อวิ๋นซูพยักหน้าเบาๆ ค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งลงตรงข้ามเขา “สุขภาพของคุณชายสามสบายดีหรือไม่? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ?”
นางไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่เขาไปไม่ลาในตอนนั้นแม้แต่คำเดียว สิ่งที่นางใส่ใจที่สุดก็คือ อาการป่วยของเขาหายดีแล้วหรือไม่
ในใจของเฟิ่งหลิงเต็มไปด้วยความยินดี “คุณหนูหกฝีมือล้ำเลิศ วันนั้น…ไม่ทันได้บอกลาคุณหนูหก วันนี้จึงต้องการมาชดเชยความผิดให้คุณหนูหกเป็นพิเศษ” ทุกครั้งที่กล่าวคำว่าคุณหนูหก ในน้ำเสียงของเขาจะแฝงไปด้วยความหยอกล้ออยู่หลายส่วน ในตอนนั้นพวกเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันทั้งคืน ความสัมพันธ์ดูเหมือนว่าจะไม่เหมือนวันวานอีกต่อไป เฟิ่งหลิงคิดจะพยายามทำให้บรรยากาศในตอนนี้อบอุ่นขึ้น คิดไม่ถึงว่าตนเองจะยังคงตื่นเต้นอยู่มาก
ดูเหมือนว่าอวิ๋นซูจะเห็นความตื่นเต้นและความกระอักกระอ่วนของอีกฝ่าย ทุกภาพทุกเหตุการณ์จึงฉายชัดขึ้นในสมองอีกครั้ง
ในยามนั้นสถานการณ์ของเขาอันตรายยิ่งนัก ราวกับว่าหากหลับตาลงก็จะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก ในใจของนางกระวนกระวายเป็นอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะคิดถึงกาลก่อน ทุกครั้งที่เขาช่วยนางจากอุปสรรคอันตราย ประหนึ่งว่าในช่วงที่อันตรายที่สุดจะสามารถเห็นเงาร่างของเขาที่โผล่ออกมาช่วยนางโดยไม่สนใจความปลอดภัยของตนเอง ทำให้เกราะป้องกันที่ห่อหุ้มด้วยความแค้นและแข็งกร้าวแตกร้าวลงในที่สุด นางกังวลจากใจจริงว่าหลังจากฟ้าสว่างแล้วจะไม่ได้เห็นบุรุษที่ปกป้องคุ้มครองนางอย่างสุดความสามารถผู้นี้อีก
ต่อให้ตอนนี้ไม่อาจตอบรับน้ำใจของเขาได้ แต่อวิ๋นซูกลับมีความคาดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพิ่มมากขึ้น
รอจนกระทั่งความแค้นใหญ่ได้รับการชำระ บางทีนางเองก็อาจจะมีชีวิตใหม่ได้
เขาสามารถรอคอยจนถึงเวลานั้นได้หรือไม่? เขาจะทำให้นางผิดหวังอีกครั้งหรือไม่? ยังคงจำได้ถึงฝ่ามืออันอ่อนแรงทว่าแข็งแกร่งมีพลังในคืนวันที่อันตรายที่สุด อวิ๋นซูเชื่อว่าเขาจะต้องรอจนถึงวันนั้นได้อย่างแน่นอน
ให้โอกาสตนเองและให้โอกาสเขาสักครั้ง ให้ตนเองได้รู้ว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่จะทุ่มเทอย่างโง่เขลา
ยาห่อหนึ่งถูกผลักไปเบื้องหน้า “นี่เป็นยาที่ข้าปรุงออกมาเอง ร่างกายของคุณชายสามอ่อนแอ ยานี้จะสามารถช่วยชำระล้างพิษในร่างกายได้ทั้งหมด และมีประสิทธิภาพในการกำจัดรอยแผลได้ดียิ่ง”
สายตาตกอยู่บนผิวขาวนุ่มลื่นของเขา ไม่ทราบว่ายังต้องการของสิ่งนี้อยู่หรือไม่
เฟิ่งหลิงได้ฟังประโยคของนางที่ว่าร่างกายอ่อนแอ จึงคิดได้ถึงภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาทั้งสองคนพบหน้ากันในครั้งแรก ตนเองไปหาหลงจู๊เพราะต้องการซื้อยาที่ทำให้ดูเหมือนป่วยไข้ เชื่อว่าด้วยความเฉลียวฉลาดของอวิ๋นซู หากว่านางตั้งใจฟังให้ดีก็จะทราบได้ทันทีว่ามีความนัยแฝงอยู่ในนั้น ช่างเป็นความทรงจำที่ทำให้ผู้คนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ
“หากว่าคุณหนูหกไม่ต้องการให้ข้าป่วยต่อไป…” ทันใดนั้น เฟิ่งหลิงคิดได้ถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้ชางติ้งโหวไปพูดเรื่องสู่ขอกับชางหรงโหว ดูเหมือนว่าชางหรงโหวจะรู้สึกกังวลกับเรื่องมงคลนี้เพราะอาการป่วยของตนเอง
ความหมายของเฟิ่งหลิงก็คือ ขอเพียงอวิ๋นซูตอบรับ เขาก็จะรีบไปสู่ขอนางถึงประตูจวนด้วยสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงในทันที
เหตุใดอวิ๋นซูจะฟังความหมายในคำพูดของเขาไม่ออก เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา
เมื่อมีคนที่รักถนอม ก็จำเป็นต้องเพิ่มความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวให้ตนเองเพื่อเดินไปบนเส้นทางนี้ นางเชื่อว่าแคว้นเฉินจะไม่ได้มีเวลาที่สงบสุขได้นานนัก ด้วยจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตของเซียวอี้เชินที่สามารถระเบิดความอันตรายออกมาได้ทุกเมื่อ มีเพียงแคว้นเฉินแข็งแกร่งพอถึงจะสามารถต่อต้านเขาได้ นางจึงจะมีวันเวลาที่สงบสุขได้
“สีหน้าของคุณชายสาม ดูไปแล้วก็ไม่เลวเลยเจ้าค่ะ” อวิ๋นซูแย้มยิ้ม สายตาทอดมองไปยังสถานที่ห่างไกล
สายตาร้อนแรงดุจเปลวเพลิงของอีกฝ่ายหดหู่ลงหลายส่วน ความหมายของนางก็คือ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา
เอาเถิด เขารู้ว่านางไม่ใช่สตรีธรรมดาทั่วไป และดูเหมือนนางจะมีความลับที่ผู้อื่นไม่รู้ ในเมื่อในใจมีตำแหน่งของนางอยู่แล้ว เฟิ่งหลิงก็ไม่สนใจหากจะต้องรอ ขอเพียงยังมีความหวัง
เฟิ่งหลิงไม่ได้สั่งอาหารมากมายเต็มโต๊ะ เพียงแต่สั่งกับแกล้มง่ายๆ มาหลายจาน เขาทราบว่านางไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับความหรูหราฟุ่มเฟือย เรียบง่ายแต่มีความสุขก็เพียงพอแล้ว
สิ่งที่อวิ๋นซูประหลาดใจก็คือ บุรุษผู้นี้ถึงกับมีความละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้ แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยพูดกับเขาถึงความชอบของตนเองมาก่อน แต่อาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะในวันนี้ล้วนเป็นอาหารที่นางชอบ นี่เป็นความบังเอิญ หรือว่าเขาเป็นคนที่เข้าใจจิตใจของนาง
ความรู้สึกหนึ่งที่ห่างหายไปนานเอ่อล้นขึ้นในใจ อวิ๋นซูใช้สายตามองสำรวจไปยังบุรุษที่อยู่ตรงหน้า พบว่าเขาและเซียวอี้เชินแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าการกระทำของเขาที่มีต่อนางล้วนไม่ต้องการสิ่งตอบแทน รอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากของเขาราวกับออกมาจากจิตวิญญาณ ช่วงเวลาห่างกันสองภพชาติ เมื่อย้อนคิดไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาแล้ว นางจึงเข้าใจว่าต้องผ่านความเจ็บปวดมาก่อนจึงจะทราบว่าอะไรคือความจริงใจ อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด
จิตใจที่เย็นชามานานของนางพลันเกิดความอบอุ่นขึ้นมา